บทนำ
การแต่งงานไม่ใช่เรื่องล้อเล่น จะทำเป็นทีเล่นทีจริงไม่ได้ เพราะคนที่จะแต่งงานกันนั้น นั่นหมายความว่าทั้งคู่มั่นใจและตกลงปลงใจกันแล้วว่าจะร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นในภายภาคหน้า ต่างต้องพึ่งพาอาศัยดูแลกัน เสมือนสามีภรรยา เสมือนเพื่อนพี่น้อง เสมือนคนรักที่แทบจะใช้ลมหายใจเดียวกัน...
นั่นเป็นคำสอนของบิดาที่ ‘หยาดฟ้า’ จำได้ดี แต่ในตอนนี้ เธอกลับรู้สึกว่าสิ่งที่บิดาพร่ำสอนกรอกหูเธอมานั้นเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งหมด
ทำไมน่ะหรือ?
ก็ไอ้เรื่องการแต่งงานบ้าๆ นั่น แท้จริงแล้วมันไม่ได้เกิดจากการตกลงปลงใจของเธอเลยสักนิดนี่นา!
ทำเอาเธอที่ผิดหวังจากคำพร่ำสอนของบิดาต้องระเห็จระเหินมา
พักใจที่บ้านพักตากอากาศในชนบทของจังหวัดทางภาคกลางตอนบนเพียงลำพัง หยดน้ำตามากมายไหลออกจากดวงตาคู่สวยเป็นระลอกเมื่อคิดวกวนถึงคำพูดของคนเป็นพ่อที่ประกาศกร้าว...
‘ถ้าแกไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ฉันหาให้ แกก็ออกจากบ้านนี้ไป แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก!’
เป็นการทะเลาะกันที่รุนแรงมากเสียด้วยล่ะ เพราะนอกจากหยาดฟ้าจะไม่ยอมรับการบังคับของบิดาแล้ว เธอยังท้าทายด้วยการออกจากบ้านมาตามคำสั่งของบิดา และไม่คิดจะหวนกลับคืนไปที่บ้านหลังใหญ่ชานเมืองกรุงเทพฯ อีกตลอดชีวิต!
ทว่าเด็กนักเรียนนอกที่เพิ่งจะเรียนจบและกลับไทยมาอย่างเธอก็ไม่รู้จะไปที่ไหน ญาติคนอื่นๆ ก็ไม่สนิทมากพอที่จะไปขอพักอาศัยอยู่ด้วย เธอจึงตัดสินใจเลือกบ้านพักตากอากาศที่ครอบครัวไม่ค่อยได้มาอยู่เป็นที่พักพิงชั่วคราวระหว่างที่รอให้อารมณ์เดือดดาลและปัญหาระหว่างเธอกับพ่อคลี่คลายลง
แต่เอาล่ะ จะขอย้อนความกันหน่อย เผื่อจะยังไม่เข้าใจที่มาที่ไปว่าเหตุใดบิดาของหญิงสาวถึงได้หาผู้ชายมาประเคนให้เธอถึงที่ขนาดนี้
หยาดฟ้า หรือ ‘คุณหนูหยาดฟ้า’ เธอเป็นบุตรสาวหัวแก้วหัวแหวนคนเดียวของเศรษฐีที่ดินรายหนึ่งที่ครอบครองที่ดินทองมากมาย ทำให้บิดาหวงแหนเธอมากประหนึ่งไข่ในหิน เมื่อครั้งที่ส่งเธอไปเรียนต่อปริญญาโทที่เมืองนอกเมืองนา เขาก็กังวลเหลือเกินว่าบุตรสาวจะไปคว้าเอาฝรั่งมังค่ามาเป็นแฟน โชคดีที่หยาดฟ้าเป็นคนคงแก่เรียน กลับมาอย่างไร้พันธะให้ได้สบายใจ แต่เป็นบิดานี่ล่ะที่สร้างพันธะให้กับเธอเสียเอง ด้วยเห็นว่าผู้ชายหน้าไหนก็ไม่เหมาะสมที่จะครองคู่กับเธอ นอกเสียจากชายหนุ่มคนหนึ่งที่เขาจัดหามาให้
หยาดฟ้าไม่รู้จักผู้ชายคนนั้นเลยแม้แต่น้อย กระทั่งชื่อก็ไม่เคยได้ยิน อันที่จริงจะต้องบอกว่าเธอไม่สนใจจะฟังและจำมากกว่า เพราะเธอคัดค้านหัวชนฝาเมื่อคนเป็นพ่อหมายมั่นปั้นมือจะจับเธอคลุมถุงชน
‘นี่มันสมัยไหนแล้วคะพ่อ พ่อยังจะจับฟ้าคลุมถุงชนอีกเหรอ’
‘เพราะเป็นสมัยนี้ยังไงเล่า ฉันถึงจะต้องเฟ้นหาคนดีๆ ให้แก อยากแต่งไปแล้วน้ำตาเช็ดหัวเข่า เป็นทุกข์เป็นโศกเพราะมีผัวแย่ๆ หรือไง’
‘แต่ฟ้าไม่ได้รักเขา แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเห็นเลย’
‘เรื่องนั้นจิ๊บจ๊อย ฉันนัดให้แกได้เจอเขาได้ ส่วนเรื่องรัก...แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเองแหละ’
แต่งๆ กันไป เดี๋ยวก็รักกันเอง...หยาดฟ้ารังเกียจประโยคนี้ที่สุด
มันเป็นประโยคที่เธอไม่เคยเชื่อเลยว่ามันจะเป็นความจริง และเพราะไม่เชื่อ เธอจึงได้โต้เถียงกับบิดาคอเป็นเอ็น จากการโต้เถียงกันไปมาก็ลุกลามใหญ่โตเมื่อหญิงสาวไม่มีท่าทีอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย ทำให้บิดาของเธอต้อง
ตวาดกร้าวด้วยความเหลืออด
‘หยาดฟ้า! ฉันเลี้ยงแกมา มอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก แต่ครั้งนี้แกไม่รับ
ก็ถือว่าแกโง่เต็มทนแล้วรู้ตัวไหม เสียแรงที่ส่งไปเรียนถึงเมืองนอกเมืองนา!’
‘แต่มันไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับการที่พ่อจะจับฟ้าคลุมถุงชนเลยนะคะ ไม่รู้ล่ะ ยังไงฟ้าก็ไม่แต่ง’
‘ถ้าแกไม่ยอมแต่งกับผู้ชายที่ฉันหาให้ แกก็ออกจากบ้านนี้ไป แล้วไม่ต้องมาเรียกฉันว่าพ่ออีก!’
และนั่น...ก็เป็นประโยคสุดท้ายที่หยาดฟ้าได้ยินจากปากคนเป็นพ่อ
หญิงสาวยกมือขึ้นปาดน้ำตา ไม่ใคร่สนใจสิ่งที่รบกวนจิตใจอีกต่อไป
เฮอะ พ่อนะพ่อ มาตัดพ่อตัดลูกกันเรื่องนี้หรือ? ก็ได้ แล้วจะได้รู้ว่าหยาดฟ้าไม่ใช่ตุ๊กตาที่พ่อจะจับแต่งตัวได้ตามใจ!
หญิงสาวหมายมั่นปั้นมือว่าจะมาตั้งหลักยังสถานที่แห่งนี้ก่อน จากนั้นก็จะหางานทำ แล้วออกไปใช้ชีวิตด้วยลำแข้งของตัวเองตามประสาสาวมั่นสมัยใหม่...ที่เธอคิดเอาเองว่าเธอเป็นสาวมั่น ทั้งที่จริงแล้ว เธอไม่ได้เป็นคนมั่นใจในตัวเองอะไรสักเท่าไรเลย ค่อนไปทางขี้กลัวด้วยซ้ำ แต่แปลก...เวลาที่ถูกท้าทาย เธอมักจะตัดสินใจหุนหันพลันแล่นทุกที ครั้งนี้ก็เช่นกันที่เธอพรวดพราดออกจากบ้านเพื่อประชดพ่อ
เป็นการกระทำที่...โง่เง่า
หญิงสาวรู้สึกผิดอยู่ลึกๆ เหมือนกัน แต่ทำอย่างไรได้ล่ะ ในเมื่อออกมาแล้วก็ต้องเดินหน้าต่อไป ถอยหลังกลับไปก็คงมีแต่ถูกจับแต่งงานเท่านั้น
เธอนั่งฟุบหน้านิ่งอยู่บนเคาน์เตอร์ในครัวเงียบๆ จนกระทั่งเสียงท้องร้องจ๊อกขึ้นมา หญิงสาวถึงได้ขยับตัวไปเปิดประตูตู้เย็นเพื่อดูว่าพอจะมีอะไรมาประทังความหิวได้บ้าง
ไม่มี...ไม่มีเลย
บ้านหลังนี้ไม่มีคนอยู่มานาน ต่อให้มีแม่บ้านมาทำความสะอาดสัปดาห์ละครั้ง แต่ก็ใช่ว่าแม่บ้านจะซื้ออาหารมาตุนไว้ให้เสียหน่อย ทำให้หยาดฟ้าจำต้องคว้าเอากุญแจรถยนต์มาถือไว้ในมือ แล้วตรงออกไปนอกบ้านเพื่อที่จะไปหาอะไรกิน
แต่การหาของกินในชนบทแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสักเท่าไรนัก เพราะบ้านพักตากอากาศของครอบครัวเธออยู่ในพื้นที่ห่างไกลชุมชนหลายกิโลเมตร ที่ใกล้ที่สุดก็คือโรงสีข้าวขนาดใหญ่ที่อยู่ถัดไปอีกไม่กี่สิบไร่ ร้ายกว่านั้นคือหยาดฟ้าไม่รู้ว่าเมื่อเข้าเมืองไปแล้ว จะไปหาซื้อข้าวของจากที่ไหน จึงตัดสินใจที่จะขับรถไปยังโรงสีข้าวก่อนเพื่อจะถามไถ่คนที่นั่นเป็นข้อมูล
ใช้เวลาไม่นานก็ขับถึง ร่างสะโอดสะองที่หย่อนตัวลงจากรถนั้นเรียกสายตาของคนงานที่กำลังแบกกระสอบข้าวเปลือกให้หันมามองเป็นตาเดียว คิดกันไปในทางเดียวด้วยว่าทำไมจู่ๆ โรงสีแห่งนี้ก็มี ‘นางฟ้า’ เหาะจากสวรรค์ลงมาสถิตบนโลกมนุษย์
แต่หยาดฟ้าไม่ได้สนใจสายตาเหล่านั้นเลย หรือบางที...เธออาจจะชินไปแล้วก็ได้ เพราะชื่อว่าหยาดฟ้าของเธอนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ทว่าได้มาเพราะเธอมีดวงหน้าที่งดงามหยาดฟ้ามาดินตั้งแต่เยาว์วัย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ทำให้บิดารักเธอดั่งไข่ในหิน
หญิงสาวเดินผ่านสายตาคนงานพวกนั้นไปข้างใน ก่อนจะชะเง้อชะแง้อยู่บริเวณหน้าออฟฟิศห้องกระจกราวกับว่ามองหาใคร
“มาหาใครเหรอครับ”
เสียงของชายหนุ่มดังขึ้นจากทางด้านหลัง เมื่อหยาดฟ้าหันไปมองก็พบว่าเป็นเสียงของ...เอ่อ...คนงานหนุ่มที่เหงื่อโทรมกายเลยทีเดียวล่ะ สงสัยคงเพราะไปแบกกระสอบข้าวเปลือกมา
“ถ้าจะมาหาเถ้าแก่ เถ้าแก่ไม่อยู่หรอกนะครับ ออกไปทำธุระ ไม่กลับเข้ามาแล้ว คงต้องมาพรุ่งนี้”
เขาว่าต่อเมื่อเห็นว่าเธอไม่พูดอะไร หยาดฟ้าจึงรีบโบกมือแล้วเปิดปาก
“ไม่ได้มาหาใครหรอกค่ะ ฉันแค่จะมาถามอะไรสักหน่อยเฉยๆ”
เรียวคิ้วเข้มของชายหนุ่มคนนั้นเลิกขึ้นสูง “ถามอะไรเหรอครับ”
“ก็...มาถามว่าแถวไหนมีของกินขายบ้างน่ะค่ะ”
คำถามแปลกประหลาดนี้ทำให้คนฟังย่นคิ้วลงมาทันควัน พร้อมกับยกหลังมือขึ้นเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนใบหน้าคร้าม
“ของกินมีขายเยอะแยะครับคุณ ในตลาดน่ะ ขับรถเข้าเขตชุมชนไปก็จะมีตลาดใหญ่อยู่ เป็นตลาดเย็น กับข้าวขายเพียบ ถ้าจะซื้อวัตถุดิบไปทำกับข้าว ผมก็แนะนำตลาดเช้า แต่คงต้องไปพรุ่งนี้ เปิดตั้งแต่ตีสี่ตีห้า”
เขาว่าส่งๆ หยาดฟ้ายกมือขึ้นพนมไหว้ขอบคุณเขา
“ขอบคุณมากค่ะ พอดีฉันไม่ค่อยได้มาอยู่ที่นี่ ก็เลยไม่คุ้นเส้นทาง”
“คุณเพิ่งมาอยู่?”
เขาเดาเอาจากคำพูดของเธอ ทำให้หยาดฟ้าพยักหน้า
“ค่ะ เพิ่งมาอยู่วันนี้วันแรกเลย”
แล้วเธอก็ตอบรับโดยลืมคิดไปสนิทว่าการบอกเรื่องส่วนตัวกับ
คนแปลกหน้าอย่างนี้ไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรนัก ยิ่งถ้าหากมีใครรู้ว่าเธออาศัยอยู่คนเดียว มันยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่ แต่...ไม่รู้เพราะอะไร เธอถึงได้พูดคุยกับชายหนุ่มตรงหน้าได้อย่างเป็นมิตร คงเป็นเพราะว่าเขา...อืม...หน้าตาดีล่ะมั้ง
ใช่ เขาหน้าตาดี...มากทีเดียวเลยล่ะ ใบหน้าคร้ามคมได้รูปสมมาตร ดวงตาเหยี่ยว จมูกโด่งเป็นสัน ปากกระจับ ผิวสีบ่มแดด เนื้อตัวเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อตามประสาคนใช้แรงงาน ถ้าไม่ติดว่าเขาดูมอมแมมสกปรกไปด้วยคราบฝุ่นเกาะตามตัวและเหงื่อท่วมกายอย่างนี้ เขาจะดูดีมากเลยทีเดียวล่ะ
“งั้นก็รีบไปทำธุระเถอะครับ จะได้ไม่กลับมืด แถวนี้มันเปลี่ยว
กลับมืดๆ ค่ำๆ ไม่ดีเท่าไรนัก”
“ขอบคุณมากค่ะ”
หยาดฟ้ายกมือไหว้เขาอีกครั้ง ก่อนตรงไปที่รถของตัวเอง หากทว่ายังไม่ทันที่จะได้ก้าวขึ้นรถไป เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ดวงตากลมสวยมองไปยังชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอแล้วก็แทบจะเขวี้ยงโทรศัพท์ทิ้ง แต่สุดท้ายก็ต้องรับสายจนได้เมื่ออีกฝ่ายกระหน่ำโทรมาไม่หยุดหย่อนแม้ว่าเธอจะตัดสายทิ้งหลายต่อหลายสายก็ตาม
“มีอะไรอีกคะพ่อ”
เป็นสายเรียกเข้าของบิดาเธอนั่นเอง พอเธอกรอกเสียงลงไป ก็ต้องรีบดึงออกห่างจากใบหูเมื่ออีกฝ่ายตะคอกเสียงดังกลับมา
[แกจะกลับมาไหมไอ้ลูกไม่รักดี ถ้าแกไม่กลับมาบ้านวันนี้ ก็ไม่ต้องเรียกฉันว่าพ่อ!]
อะไรกัน ก่อนหน้านี้ก็ไล่เธอออกจากบ้าน ตอนนี้ก็มาเรียกเธอให้กลับบ้าน เธอสับสนแล้วนะ!
และเธอก็ไม่ยอมด้วย พอได้ยินอย่างนั้น หยาดฟ้าก็โวยวายขึ้นน้อยๆ
“ฟ้าไม่กลับค่ะ พ่อไล่ฟ้าออกจากบ้านแล้ว ฟ้าไม่กลับไปหรอก”
[ถ้าแกไม่กลับ ฉันจะไปลากคอแกกลับมาให้แต่งงานให้จงได้!]
ยิ่งได้ยินประโยคนี้ หยาดฟ้าก็รู้สึกเหมือนไมเกรนจะขึ้น พร้อมกับเดือดดาลขึ้นมาทีละน้อยแล้ว ทำให้เธอพลั้งปากโต้เถียงกลับไปเสียงดัง
“ก็ลองมาลากคอหนูกลับไปดูสิคะ หนูจะได้เอาผู้ชายแถวนี้ทำผัวให้พ่ออกแตกตายเลยคอยดู!”
แรงมาก็แรงกลับ หยาดฟ้าไม่โกง ทำเอาบิดาของเธอต้องข่มเขี้ยวเคี้ยวฟัน
[นังฟ้า! นี่แก...แกกล้าประชดประชันฉันเหรอ!]
“แล้วทำไมฟ้าจะไม่กล้าล่ะคะ”
[ที่ฉันจับแกคลุมถุงชน ก็เพราะฉันหวังดีกับแกนะรู้ไหม!]
หวังดีหรือ? ถ้าหวังดีจริง พ่อก็ต้องไม่ข่มเขาโคขืนให้กินหญ้าสิ!
หยาดฟ้าน้อยใจขึ้นมาฉับพลันที่บิดาไม่ฟังอะไรเธอเลย จะเอาแต่ใจอย่างเดียวเท่านั้น พลันเธอก็สูดลมหายใจเข้าปอดลึกแล้วว่าออกมาเสียงแข็ง
“ถ้าจะต้องไปแต่งกับผู้ชายที่พ่อหามาให้ สู้ฟ้าไปเอาคนงานโรงสีมาเป็นผัวจะดีกว่าอีก อย่างน้อยฟ้าก็เลือกด้วยตัวเอง”
[นังฟ้า! นี่แกกล้าบอกกับฉันว่าจะเอาพวกกุลีมาทำผัวเลยเหรอฮะ!]
ดูท่าอีกฝ่ายจะโมโหสุดขีดแล้ว แต่หยาดฟ้าก็สูดลมหายใจเข้าปอด และไม่สนใจสิ่งนั้น ย้ำคำพูดของตัวเองเข้าไปอีก
“ใช่ ฟ้าจะเอากุลีโรงสีมาทำผัว ผู้ชายกะหลั่วๆ ผู้ชายไม่เอาไหน พ่อก็คอยดูแล้วกัน!”
จากนั้นเธอก็ตัดสายไปก่อนที่จะได้ยินว่าบิดาก่นด่าเธอว่าอะไรบ้าง หญิงสาวหมดแรงจะทำอะไรต่อทันที ท้องที่หิวก็ชักจะไม่หิวแล้วเพราะจู่ๆ ก็เกิดเครียดขึ้นมา
เครียดเสียจนเธอต้องหลั่งน้ำตาสะอึกสะอื้นอยู่ตรงข้างรถ ท่าทางของเธอนั้นอยู่ในสายตาของชายหนุ่มที่ได้พูดคุยกับเธอก่อนหน้ามาโดยตลอด เขาเห็นเธอรับโทรศัพท์แล้วมีสีหน้าไม่ดี ก็เลยยังไม่เดินไปไหน รอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น พอเห็นว่าท้ายที่สุดแล้ว เธอร้องไห้ เขาก็รีบก้าวเข้าไปหาพร้อมกับสอบถามด้วยความเป็นห่วง
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่าครับ”
“...คะ?”
“อยากให้ช่วยไหม”
ตอนนี้เองที่หยาดฟ้ารู้สึกตัวว่าตกอยู่ในสภาพไหน สองมือยกขึ้นเช็ดน้ำตาป้อยๆ สูดน้ำมูกเข้าจมูกน้อยๆ แล้วส่ายหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ”
“แต่คุณร้องไห้...”
“มีปัญหากับทางบ้านนิดหน่อยน่ะค่ะ ไม่มีอะไร”
อีกฝ่ายได้ยินอย่างนั้นก็ไม่กล้าถามต่อแล้ว ปัญหาทางบ้านหมายถึงเรื่องส่วนตัว เขาไม่กล้าละลาบละล้วงเรื่องส่วนตัวของคนที่ไม่รู้จักกันหรอก
แต่...ถึงอย่างนั้นก็อดเป็นห่วงไม่ได้
“ถ้าคุณมีปัญหาอะไร ก็แวะมาหาผมที่นี่ได้นะครับ เผื่อผมจะช่วยอะไรได้ เช่น ไปซื้อของกินให้ หรืออะไรประมาณนั้น”
เขาเสนอไมตรี พร้อมกับฉีกยิ้มระบายบนใบหน้า หยาดฟ้ามองแล้วก็พบกับความหล่อเหลาภายใต้คราบเนื้อตัวสกปรกนั้น ก่อนที่เธอจะพนมมืออีกครั้ง แต่ไม่ทันที่เธอจะได้ไหว้ อีกฝ่ายก็ห้ามเสียแล้ว
“ไม่ต้องไหว้แล้วครับ ตามสบายเถอะ ผมก็แค่คนงาน ไม่ต้องพิธีรีตองหรอก”
หยาดฟ้าจึงพยักหน้า แล้วพินิจดวงหน้าเขาดูอีกครั้ง
นี่น่ะหรือคนงาน? หล่อเหลาแบบนี้น่ะหรือ?
ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ ไม่ว่าคนทำงานสาขาอาชีพไหนก็ย่อมมีคนหน้าตาดีปะปนไปด้วยอยู่แล้ว แต่สิ่งที่เธอสนใจมากกว่านั้นก็คือความสุภาพและเป็นห่วงเป็นใยคนแปลกหน้าของเขาต่างหาก
การแสดงออกของเขาแบบนี้จะถือว่าเป็นคนดีได้ไหมนะ?
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้ว ผมขอตัวนะครับ คุณก็กลับได้แล้ว เดี๋ยวจะมืดเสียก่อน”
หยาดฟ้าไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าชายหนุ่มจะเดินจากไป เธอก็รีบร้องเรียกโดยพลัน
“เดี๋ยวค่ะคุณ”
“ครับ?”
“ฉันขอรู้ชื่อคุณได้ไหมคะ”
จู่ๆ ก็ถามชื่อออกไป ทำเอาฝ่ายตรงข้ามชะงักไปเหมือนกัน แต่ก็ยิ้มออกมาแล้วบอกเสียงดังฟังชัด
“ดินครับ จะเรียกชื่อเฉยๆ หรือเรียกไอ้ดินอย่างที่คนอื่นๆ เรียกกันก็ตามใจ”
“นายดิน...” หญิงสาวครางชื่อเขาเสียงแผ่ว
‘ไอ้ดิน’ ได้ยินเสียงนั้นเต็มสองรูหู เขายิ้มแล้วทำท่าจะเดินจากไปอีก หยาดฟ้าเลยต้องรีบตะโกนไล่หลัง
“ฉันชื่อหยาดฟ้านะคะ จะเรียกว่าฟ้าเฉยๆ ก็ได้”
“ครับ...คุณฟ้า”
ไอ้ดินหันมาค้อมศีรษะเล็กน้อย จากนั้นก็เดินหายไปกับกลุ่มเพื่อนคนงานด้วยกัน ทิ้งให้หญิงสาวมองไล่หลังพร้อมกับแผนการบางอย่างที่
ผุดพรายขึ้นมาในใจ
จะเอาพวกกุลี ผู้ชายกะหลั่วๆ มาทำผัวประชดพ่ออย่างนั้นหรือ?
คงจะต้องเป็นผู้ชายที่ชื่อดินคนนั้นนั่นแหละ เหมาะสมที่สุดแล้ว!