ห้างสรรพสินค้า
ใช้เวลาในการขับรถประมาณสิบนาที ผมก็พาแก้มใสมาถึงห้างสรรพสินค้าของเลโอ ซึ่งพี่มิรินเปิดร้านเสื้อผ้าอยู่ที่นี่
“เดี๋ยวแก้มไปเปลี่ยนชุดก่อนนะคะ แล้วแก้มจะเอาเสื้อมาคืนให้” แก้มใสหันมาบอกกับผมก่อนที่เธอจะลงรถแล้วเดินเข้าไปในห้างฯ ผมนั่งรออยู่สักพักแก้มใสก็เดินกลับมาพร้อมกับเสื้อยืดของผม แก้มใสอยู่ในชุดพนักงานของร้านพี่มิริน ซึ่งเป็นชุดสูททันสมัยสำหรับผู้หญิง เสื้อตัวในยาวขึ้นมาถึงคอทำให้สามารถปกปิดร่องรอยจ้ำแดงได้พอดี ใจจริงผมไม่อยากให้ปิดด้วยซ้ำ แต่ว่า... ถ้าลูกค้ามาเห็นคงจะมองแก้มใสในแง่ไม่ดีแน่ ๆ
“แล้วตอนกลับล่ะ จะใส่เสื้อตัวไหนกลับ” ผมยื่นมือไปรับเสื้อมาพร้อมกับเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“เดี๋ยวแก้มใส่ชุดพนักงานกลับก็ได้ค่ะ”
“เลิกงานกี่โมง ให้พี่มารับไหม” ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ยินคำตอบว่า ได้ แต่อีกใจก็คาดไว้แล้วว่าคงไม่
“ไม่เป็นไรค่ะ ได้เวลาทำงานของแก้มแล้ว ขอตัวนะคะ” แล้วแก้มใสก็เดินกลับเข้าไปในห้างสรรพสินค้าอีกครั้ง วันนี้คงต้องพอแค่นี้ก่อน ให้แก้มใสได้มีเวลาหายใจหายคอบ้าง ถ้าหากเยอะไปคงไม่ดี
ผมจึงขับรถไปยังโชว์รูมรถซุปเปอร์ไบค์ของตัวเอง ไม่ได้เข้าไปหลายวันไม่รู้ว่ามีปัญหาอะไรหรือเปล่า
B Bike Racing
โชว์รูมนี้ผมเป็นคนสร้างเองกับมือ เพราะเป็นความชอบส่วนและนำมาสู่การทำธุรกิจไปด้วย จากที่ซื้อมาเพื่อสะสมก็เริ่มนำเข้ามาเพื่อขายด้วย และเพื่อให้คนที่มีรสนิยมเหมือนกันได้เข้ามาเชยชมและซื้อต่อ
ด้านหน้าเป็นตึกกระจกขนาดใหญ่ มีรถซุปเปอร์ไบค์จอดเรียงอยู่หลายคันและหลายรุ่น ส่วนด้านหลังผมทำเป็นอู่แก๊งรถซิ่งของผมเอง ซึ่งมีปอร์เช่เป็นผู้ช่วยในการดูแล น้องชายของผมมันเรียนอยู่โรงเรียนอาชีวะของเอกชนแห่งหนึ่ง เพราะด้วยความที่มันชอบเรื่องรถเหมือนกับผม มันจึงเลือกที่จะไปเรียนตามสาขาที่ชอบโดยตรง
“หวัดดีเฮีย ลมอะไรหอบเฮียมาล่ะเนี่ย”
เทนทักทายผมก่อนใคร เพราะมันพึ่งละมือจากการเช็กสถาพรถจึงหันมาเจอกับผมพอดี เทนเป็นเด็กในแก๊งรถของผมเอง บางครั้งก็ลงแข่งบ้าง ซึ่งส่วนใหญ่มันจะเป็นคนคอยเช็กและดูแลรถในการแข่งซะมากกว่า
“ไม่ได้เข้ามาหลายวัน เรียบร้อยดีเปล่า” ผมเดินเข้าไปตบบ่าเทนหนึ่งครั้งเป็นทักทายรุ่นน้อง เทนถือว่าสนิทกับผมรองจากเพื่อนในกลุ่มและปอร์เช่ ด้วยความที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ก็เลยทำให้เราสนิทกันมาก
“เรียบร้อยดีครับ” เทนตอบ
“แล้วไอ้เช่ไปไหน” ผมหันไปถามรุ่นน้องในแก๊ง แล้วทุกคนก็พร้อมใจกันก้มหน้าก้มตาไม่ยอมตอบ อะไรวะ! ทำไมทุกคนต้องหลบหน้าด้วย
“นี่อย่าบอกนะว่ามัน...” ผมหันกลับมาหารุ่นน้องคนสนิท เทนจึงพยักหน้าให้หงึก ๆ ก่อนจะเหล่ตาไปทางด้านหลังที่มีห้องกระจกทึบซึ่งเป็นห้องทำงานของผมเอง
“ไอ้เช่...” ผมเอ่ยชื่อน้องชายลอดไรฟันอย่างนึกโมโห
ผมไม่รอช้ารีบเดินเข้าไปที่ห้องทำงานของตัวเองทันที และเมื่อผมเดินเข้ามาใกล้เสียงเอฟเฟคซาวก็ดังถี่ขึ้นชวนขนลุก
“เช่ขา...แรง ๆ เลยค่ะ อ๊า...”
พลึก! ผมผลักประตูเข้าไปทันที และสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ไม่ได้ผิดเพี้ยนไปจากที่ได้ยินเลยสักนิด น้องชายของผมมันกำลังทำกิจกรรมเข้าจังหวะกับสาวสวยคนหนึ่งอยู่หลังโต๊ะทำงานของผม ถึงจะมองเห็นไม่หมดแต่มันก็ชัดเจนพอที่จะรู้ว่ามันกำลังทำอะไรกัน ซึ่งถ้าจำไม่ผิดผู้หญิงที่ปอร์เช่เล่นด้วยก็คือเซลล์ขายรถในโชว์รูมของผมนี้เอง
“อ้าวเฮีย มานานแล้วเหรอ” มันยังมีหน้ามาทักผมด้วยรอยยิ้มแสนระรื่นอีก และมันก็ไม่หยุดการเคลื่อนไหวของร่างกายด้วย
“ปอร์เช่! ยะ หยุดก่อน!” สาวสวยร้องห้ามปอร์เช่ พร้อมกับมองหน้าผมด้วยความตกใจสุดๆ แต่ไอ้น้องชายก็ไม่เชื่อฟังใครเลย
“หยุดทำไม จะแ...ก แล้วเนี่ย” ไม่รู้ว่ามันน่ามึนได้ใคร มันไม่สนด้วยซ้ำว่าผู้หญิงจะอายหรือเปล่า มันสนแต่ความใคร่ของตัวมันเอง
“ตะ แต่ว่า...” สาวสวยหันมามองหน้าผมอีกครั้ง
“เฮียเขาก็ไม่ได้เวอร์จิ้นอะไรหรอก นั้นก็หลอกฟันหญิงไปทั่วเหมือนกัน ไม่ต้องอายไป” ดูมันพูดเข้า นี่มันนินทาระยะเผ่าขนชัดๆ
“นี่มันห้องทำงานเฮียนะปอร์เช่ แกควรให้เกียรติสถานที่บ้าง” ผมพยายามพูดดีๆ กับน้องชายตัวเอง เพราะไม่อยากใช้อารมณ์กับมัน เดี๋ยวจะทะเลาะกันเปล่าๆ
“แหม...เฮีย เมื่อก่อนก็ลากสาวมาฟันในนี้เหมือนกันแหละ” ปอร์เช่ยอกย้อน
ผมเริ่มจะหมดความอดทนกับน้องชายตัวเองแล้วล่ะ มันกวนทีนผมจริงๆ
“ถ้าแกไม่หยุดภายในสองวิ เฮียจะตัดหุ้นแกออก”
“โธ่! เฮีย!” ปอร์เช่ยอมหยุดการกระทำทันที
“เธอนี้ แม่ง! เอาไม่มันเลยวะ!” ปอร์เช่ผละตัวออกจากสาวสวยแล้วรีบแต่งตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งมันก็ไม่ได้มากมายอะไรเพราะปอร์เช่ไม่ได้ถอดเสื้อผ้าออกหมด มันแค่ปลดตะขอกางเกงแค่นั้นแหละ
เมื่อปอร์เช่ผละตัวออกสาวสวยก็รีบรั้งกระโปรงที่รัดติ้วของเธอลงพร้อมกับจัดทรงผมให้เข้าที่ ก่อนจะรีบเดินออกไปจากห้องทันที
“เมื่อไรแกจะเลิกกินไม่เลือกสถานที่สักที ห้ะ! ไอ้เช่!” ผมนี่ไม่กล้าเดินไปนั่งที่หลังโต๊ะเลย ผมเลี่ยงเดินไปนั่งที่โซฟาแทน
“จะบ่นไรนักหนา” ปอร์เช่เดินมานั่งลงที่โซฟาอีกตัวพร้อมกับมองหน้าผมอย่างเซ็งๆ
“ระวังเหอะ จะทำผู้หญิงท้องเอาได้ ไข่เรี่ยราดไปทั่ว”
“ระดับเช่ ไม่มีทางอยู่แล้ว เพราะเช่เซฟตัวเองดี” ผมล่ะเหนื่อยกับมันจริงๆ มันอายุแค่สิบห้าเองนะ แล้วดูความประพฤติของมันสิครับ น่าปวดหัวแค่ไหน
“เอ้อๆ ขี้เกียจเถียงกับแกละ อย่าให้มีปัญหาภายหลังก็แล้วกัน” ผมได้แต่บอกปัดอย่างหัวเสีย
“และอีกอย่างนะ ห้ามแกพาผู้หญิงมาทำอะไรในห้องนี้อีก ไม่งั้นเฮียตัดหุ้นแกออกแน่!” ผมขู่มันทิ้งท้ายไว้ก่อนจะเดินออกมา
“เทน”
“ครับ”
“บอกให้แม่บ้านเข้าไปทำความสะอาดด้วย แล้วก็ สั่งเปลี่ยนเฟอร์นิเจอร์ใหม่ทั้งหมดด้วยนะ” เมื่อสั่งรุ่นน้องคนสนิทเสร็จผมก็เดินกลับมาขึ้นรถทันที อยู่นานไม่ได้ ปวดหัวกลับไอ้ปอร์เช่เหลือเกิน
ฉันเดินกลับมาที่ร้านของพี่มิรินเพื่อเตรียมตัวทำงานในชั่วโมงของตัวเอง ฉันเดินดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้าแต่ล่ะราวอย่างตั้งใจ และเมื่อเดินมาถึงราวเสื้อยืดแฟชั่นของผู้ชายมันก็ทำให้ฉันอดนึกถึงใครบางคนไม่ได้
พี่บิ๊กไบค์ยอมเดินตัวเปลือยท่อนบนเพื่อไปซื้อยามาให้ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูก เขาทำให้ฉันรู้สึกว่าเขาใส่ใจฉันมากแค่ไหน ถ้าหากว่าฉันต้องลงไปซื้อเอง ฉันก็นึกอายอยู่เหมือนกัน เพราะร่างกายของฉันเต็มไปด้วยรอยจ้ำแดงจากเขา
“สรุป พี่เป็นคนยังไงกันแน่นะ” ฉันเอ่ยพูดกับตัวเองอย่างเลื่อนรอย
“ใครเหรอ” ฉันถึงกลับสะดุ้งโหยงเมื่อพี่โต้งยื่นหน้าเข้ามาถามในระยะใกล้
“เป็นอะไรไป ทำไมดูใจลอยจัง” พี่โต้งยื่นมือหนามาวางไว้บนหัวฉันพร้อมกับโยกไปมาอย่างเอ็นดู ถ้ายังเป็นแบบนี้อยู่ ฉันจะตัดใจจากพี่โต้งได้อย่างไรกัน
“แก้มไม่เป็นอะไรคะ” ฉันเอื้อมมือขึ้นไปจับมือพี่โต้งออก แล้วยกมือขึ้นมาสางผมตัวเองให้เข้าที่เหมือนเดิม
“ก็พี่เห็นเราพูดอะไรอยู่คนเดียวนิ ไม่สบายหรือเปล่า เดี๋ยวพี่บอกมิรินให้เอาไหม เราจะได้พักผ่อน” พี่โต้งเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“ไม่เป็นไรค่ะ แก้มสบายดี” ฉันรีบเอ่ยห้าม พร้อมกับรั้งข้อมือพี่โต้งไว้ ก่อนที่เขาจะเดินไปบอกพี่มิรินจริงๆ
“แน่นะ” พี่โต้งหันมาจ้องหน้าฉันอย่างจับผิด
“แน่ค่ะ” ฉันจึงส่งยิ้มสดใสไปให้
ในระหว่างที่ฉันกำลังพูดคุยกับพี่โต้งอยู่พี่มิรินก็เดินเข้ามาพอดี
“สวัสดีค่ะ พี่มิริน” ฉันจึงยกมือไหว้พี่มิรินทันที
“ไม่ต้องไหว้พี่ก็ได้แค่ทักทายก็พอ” พี่มิรินส่งยิ้มหวานมาให้ มันทำให้ฉันพึงนึกได้ว่าไม่ควรทำลายรอยยิ้มแสนด้วยนี้ให้หม่นหมอง พี่มิรินดีกับฉันมาก ฉันไม่อาจเห็นแก่ตัวแล้วแทรกกลางระหว่างพวกเขาได้ ฉันอยากให้พี่มิรินยิ้มแบบนี้ให้กับฉัน
“เสร็จแล้วใช่ไหม” พี่โต้งหันไปโอบเอวบางของพี่มิรินอย่างแสดงความเป็นเจ้าของ
“เรียบร้อยแล้วล่ะ”
“กินข้าวเสร็จแล้วเนี่ย ขอกินมิรินต่อเลยได้ปะ” พี่โต้งพูดหยอกล้อพี่มิริน
“โต้ง! พูดอะไรนะ น้องก็ยืนอยู่ตรงนี้ด้วย นิสัยไม่ดีเลย” ฉันได้แต่ยืนยิ้มขำ ๆ ไปให้พวกเขา ถึงแม้ในใจจะไม่ได้ยิ้มตามก็เถอะ
“จงลืม ๆ” พี่โต้งยื่นมือข้างหนึ่งมานวดขมับให้ฉัน เหมือนกับว่าทำแบบนี้แล้วจะทำให้ฉันลืมคำพูดเมื่อกี้ไปได้อย่างนั้นแหละ
“พี่โต้ง” ฉันยกมือขึ้นปัดพร้อมกับขำไปด้วย
“เล่นเป็นเด็ก ๆ ไปได้” พี่มิรินเองก็ขำเช่นกัน
“พี่ไปก่อนนะ”
แล้วพี่โต้งก็โอบเอวพี่มิรินเดินออกจากร้านไป เมื่อให้หลังทั้งคู่แล้ว ความรู้สึกวูบโหวงก็เกิดขึ้นแกใจของฉัน ฉันอยากเป็นคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นจัง แต่ก็คงได้แค่ฝัน เพราะพี่โต้งไม่มีวันหันมามองฉันอย่างแน่นอน
หลังจากทำงานหมดชั่วโมงของตัวเอง ฉันก็นั่งรถแท็กซี่กลับมายังหอพักของเพื่อนโดยที่ไม่ลืมซื้อของติดไม้ติดมือมาด้วย เพราะแพรวกับน้ำชอบทานของหวานเป็นอย่างมาก
“กลับมาแล้วเหรอแก้ม” แพรวทักขึ้นทันทีที่ฉันเดินผ่านประตูเข้ามาในห้อง
“จ้ะ” ฉันตอบเพื่อนก่อนจะเดินไปยังครัวเพื่อวางของที่ซื้อมา
“แล้วต้าหนิงล่ะ ไม่กลับมาด้วยกันเหรอ” น้ำถามขึ้น
“เดี๋ยวแก้มลองโทรถามก่อนนะ” ฉันเดินเลี่ยงมายังระเบียงเพื่อโทรต้าหนิง
ตุ๊ดดด ตุ๊ดดด
“ต้า! ตอนนี้ต้าอยู่ไหน จะกลับมาที่หอหรือเปล่า” เมื่อมีคนกดรับสายฉันก็เอ่ยถามทันทีโดยที่ไม่ได้ฟังเสียงจากปลายสายก่อน
“แก้มใส นี่พี่เรซเอง”
“อ้าว เหรอคะ แก้มนึกว่าต้ารับสาย” ฉันได้แต่ยิ้มแห้ง ๆ ให้กับหน้าจอโทรศัพท์ของตัวเอง
“ตอนนี้ต้าหลับอยู่ มีอะไรหรือเปล่า”
“คือว่าเพื่อน ๆ เป็นห่วงน่ะค่ะ และก็อยากรู้ด้วยว่าต้าจะกลับมานอนที่หอหรือเปล่า”
“คงไม่กลับล่ะครับ ฝากแก้มใสบอกเพื่อน ๆ ให้ด้วยนะ”
“ได้ค่ะ”
ตุ๊ด ๆ ๆ ๆ
“ว่าไงบ้างแก้ม” แพรวถามขึ้นเมื่อเห็นฉันวางสายแล้ว
“ต้าหนิงคงไม่กลับมานอนหอแล้วล่ะ แต่ว่า... ไม่ต้องเป็นห่วงไปนะ ต้าหนิงมีคนดูแลอยู่แล้ว” ฉันรีบอธิบายให้จบเมื่อเห็นน้ำกำลังอ้าปากจะถามอีกคน
“งั้นเหรอ” แพรวเอ่ยขึ้นก่อนจะเดินไปที่ครัวเพื่อดูขนมหวานในถุง
“ต้าหนิงอยู่กับพี่ราเรซใช่ไหม” น้ำถามขึ้น
“คือ...”
“ชั่งต้าหนิงเหอะ สวย ๆ อย่างต้าหนิงคงมีคนดูแลเยอะอยู่แล้วล่ะ” แล้วน้ำก็สรุปเอาเอง
“แต่ที่น้ำอยากรู้มากกว่าเรื่องของต้าหนิงก็คือ เรื่องของแก้มกับพี่บิ๊กไบค์ต่างหาก” แล้วประเด็นเปลี่ยนมาเป็นฉันซะงั้น
“ใช่ แพรวก็อยากรู้เหมือนกัน” แพรวเดินถือจานขนมมายืนข้าง ๆ ฉัน
“ไม่มีอะไรหรอก” ฉันเลี่ยงไปหยิบผ้าขนหนูแล้วเดินเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ขอโทษนะเพื่อนๆ แก้มยังไม่พร้อมที่จะเล่าหรือตอบอะไรจริงๆ
เช้าวันรุ่งขึ้น
ในระหว่างที่ฉันกับเพื่อนอีกสองคนกำลังแต่งตัวในชุดนักศึกษาเพื่อไปมหาลัย ต้าหนิงก็เดินเข้ามาในห้องแล้วหยิบชุดนักศึกษาของตัวเองไปเปลี่ยนในห้องน้ำ ไม่มีใครกล้าผลิปากถามอะไรต้าหนิงสักคำ สำหรับฉันนั้น ไม่ได้มีข้อสงสัยอะไรทั้งนั้น เพราะฉันรู้อยู่แล้วว่าต้าหนิงไปไหนมา
เช้านี้ฉันได้ประหยัดค่ารถไปหนึ่งเที่ยวเพราะติดรถของพี่ราเรซมา เห็นต้าหนิงกับพี่ราเรซสนิทกันแบบนี้แล้วฉันก็อดที่จะยิ้มตามไม่ได้ เพราะมีแต่ฉันเท่านั้นแหละที่รู้ว่าต้าหนิงรู้สึกอย่างไรกับพี่ราเรซ และการที่ได้เห็นรอยยิ้มของต้าหนิงแบบนี้แล้ว มันทำให้ฉันคิดว่าทั้งคู่กำลังไปได้ด้วยดี
“นี่ๆ แก้มใส สรุป ต้าหนิงกับพี่ราเรซนี่ยังไงกันเหรอ” น้ำถามขึ้นทันทีที่ลงจากรถพี่ราเรซได้
“นั้นสิ แพรวก็อยากรู้”
“แก้มก็ไม่รู้เหมือนกันอะ ถ้าแพรวกับน้ำอยากรู้ ลองไปถามต้าดูสิ” ฉันตอบเพื่อนอย่างบ่ายเบี่ยงเพราะไม่อยากพูดลับหลังเรื่องของเพื่อน อีกอย่างก็ไม่รู้จริงๆ ด้วย ว่าสถานะของทั้งคู่ในตอนนี้ คืออะไร จะว่าไปนะ เรื่องของฉันเองก็ยังไม่เคลียร์เลย ฉันไม่อาจไปคิดเรื่องของใครได้หรอก
ฉันหยิบลูกอมรสสตรอว์เบอร์รี่ขึ้นมาแกะแล้วอมมันไว้ในปากหวังให้ความหวานจากลูกอมลดความเครียดลงได้บ้าง
“พี่แก้ม!”
ฉันกำลังจะเดินเข้าตึกเรียนก็ได้ยินเสียงคนเรียก และเมื่อหันไปมองก็เจอกับเกรซ เธออยู่ในชุดนักเรียนม.ปลาย เสื้อเข้าในกระโปรงอย่างเป็นระเบียบ ผมยาวถูกมัดรวบไว้กลางศีรษะอย่างเรียบร้อย
“เกรซ” ฉันเดินมาหาน้องสาวต่างแม่ของตัวเองทันที แพรวกับน้ำไม่ทันเห็นเกรซเพราะทั้งสองคนเดินขึ้นตึกไปก่อนแล้ว ฉันจึงเดินนำเกรซมานั่งที่ม้าหินอ่อนข้างตึกคณะ
“มีอะไร” ฉันเอ่ยถามเกรซพร้อมกับรอบสังเกตไปด้วยว่าเธอมีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องที่ผับในวันนั้น มันก็ทำให้ฉันระแวงเกรซไม่น้อย ฉันไม่อาจไว้ใจเธอได้อีก
“พอดีว่า แม่ให้เกรซเอาน้ำหอมมาให้พี่แก้มน่ะ” ฉันขมวดคิ้วเป็นปมอย่างสงสัย ร้อยวันพันปีบ้านนั้นไม่เคยสนใจไยดีอะไรฉันเลย จู่ ๆ ทำไมถึงได้ให้น้ำหอมแก่ฉัน
“ให้ทำไม” ฉันยังไม่รับในทันทีเพราะยังไม่ไว้ใจคนตรงหน้า
“ก็แค่ อยากขอบคุณพี่แก้มกับแม่กาญที่คอยช่วยเหลือพวกเราตลอดเลย และอีกอย่าง เกรซอยากจะขอโทษเรื่องวันนั้นด้วย พี่แก้มให้อภัยเกรซได้ไหม” เกรซพูดพร้อมกับทำสีหน้าเศร้าสร้อย ฉันชั่งใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยพูดออกไป