Moonlight : One

2223 Words
“หลัน เดี๋ยวเราเอาของ...” เสียงของฉันขาดห้วงลง เมื่อหันไปสบมองที่ทางด้านหลัง เพราะตอนนี้ฉันกำลังเห็นว่าคนที่ฉันรักอย่างสุดหัวใจ และเป็นหัวใจดวงเดียวของฉันเสมอมาอย่างบุหลัน...กำลังยืนเหม่อมองอยู่ที่ภาพถ่ายของคู่รักชายหญิง นั่นก็คือตัวของเธอกับแฟนหนุ่มของเธอนั่นเอง อยู่ ๆ ไหล่ของบุหลันก็ค่อย ๆ สั่นไหว เสียงสะอื้นดังขึ้นมาอีกครั้งจนฉันต้องก้าวเท้าเดินเข้าไปชิดใกล้ ฉันหยุดยืนอยู่ที่ด้านหลังของเธออย่างเว้นระยะห่าง แววตาของฉันสั่นไหวด้วยความรู้สึกปวดหนึบที่อยู่ในหัวใจของฉันเอง ภาพของเธอที่กำลังบอบช้ำทำเอาหัวใจของฉันดวงนี้ราวกับกำลังจะแตกสลายออกเป็นเสี่ยง ๆ ถ้าฉันรู้อย่างนี้ว่าตอนนี้เธอจะต้องเสียน้ำตา...ฉันขอสาบานกับตัวเองในตอนนั้นเลยว่าฉันจะสารภาพว่ารู้สึกกับเธออย่างไร เพราะตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว...สายเกินไปจนเธอยกใจไปให้กับใครคนอื่นที่ไม่ใช่ฉัน ซึ่งเขาก็กำลังทำให้เธอเศร้าเสียใจ และมันทำให้ฉันเองก็เจ็บปวดมากจนเกินจะทนไหว “คุณ...” ฉันเสียงแผ่วเอ่ยเรียกคนที่อยู่ตรงหน้า ซึ่งเธอก็ยกมือขึ้นมาเช็ดคราบน้ำตาของตัวเองบางเบาอย่างไม่ใส่ใจ ก่อนจะหันกลับมาสบมองกันและยกยิ้มให้อย่างฝืดฝืน ฉันรู้ดีว่าเธอเจ็บปวดจนจะฝืนยิ้มออกมาแทบไม่ไหว แต่เพราะนิสัยของเจ้าตัวที่มักจะแคร์ผู้คนรอบข้างอยู่เสมอ...บุหลันถึงฝืนยิ้มให้ฉันอยู่เช่นตอนนี้ที่เจ้าตัวกำลังทำอยู่ ฉันอยากจะบอกกับเธอเสียเหลือเกินว่าเธอสามารถอ่อนแอกับฉันได้เต็มที่ตามแต่ใจของเธอที่ต้องการ แต่สุดท้ายแล้วฉันก็พับเก็บคำเหล่านั้นให้มันอยู่แต่ภายในหัวใจ และยกมือขึ้นไปลูบที่กลุ่มผมของเธอเอาไว้อย่างต้องการจะปลอบประโลม “เรียกคุณอีกแล้ว...เมื่อไหร่จะยอมเป็นกันเองกับเราสักที” เจ้าหล่อนฉายยิ้มออกมา แต่ดวงตาของเธอไม่ได้ยิ้มอย่างที่กำลังเป็นอยู่เลย “เราเป็นเพื่อนกันมากี่ปีแล้วนะ...สิบสามปีแล้วไม่ใช่หรือไงกัน ทำไมยังต้องเรียกด้วยความห่างเหินแบบนั้นด้วย” เธอว่าและพองลมใส่แก้มอย่างที่มักจะทำกับฉันเป็นประจำอยู่เสมอ และใช่...เราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่ชั้นมัธยมสี่จนลากยาวมาถึงปัจจุบัน แล้วก็ใช่อีกนั่นแหละ...ที่ฉันยังคงตกหลุมเธอเหมือนดั่งวันแรกที่รอยยิ้มสดใสของเธอปรากฏขึ้นมาให้ฉันได้พบเห็น “เราเก็บของเสร็จหมดแล้ว ไปกันเลยไหม?” “พอเราพูดถึงเรื่องนี้ทีไร ติก็ชอบเปลี่ยนเรื่องตลอดเลย” แล้วเธอก็ยู่หน้าใส่ฉันอย่างง้องอน ก่อนจะเดินกระแทกเท้าแสร้งทำเป็นไม่พอใจออกไปให้ฉันได้แต่มองเธอทั้งรอยยิ้มที่ประดับขึ้นมาอยู่บนใบหน้า เธอคือเหตุผลของรอยยิ้มทั้งหมดของฉัน...ดังนั้นต่อแต่นี้ไปฉันจะเยียวยารักษาเธอเอง หลังจากนั้นเราก็เดินทางกลับมายังบ้านของฉันด้วยกัน ซึ่งฉันรับหน้าที่เป็นสารถีขับรถโดยที่มีตุ๊กตาหน้ารถอย่างเธอนั่งอยู่ที่เคียงข้างกัน บุหลันเอาแต่เหม่อมองออกไปที่นอกหน้าต่าง และก็เอาแต่นิ่งเงียบไม่ยอมปริปากพูดอะไรไม่เหมือนกับบุหลันคนเดิมที่ฉันนั้นเคยได้รู้จัก แท้จริงแล้วผู้หญิงคนนี้ทั้งร่าเริงและสดใส บุหลันเป็นพลังบวกให้กับชีวิตของฉันได้ในทุก ๆ วัน...แต่มันคงไม่ใช่สำหรับวันนี้ ฉันเอื้อมมือไปเปิดวิทยุในรถ ก่อนจะกดเปิดเพื่อให้เพลงช่วยดึงสติของเธอให้กลับมาได้บ้างจนบุหลันนั้นคิดแปลกใจกับการกระทำของฉันและหันกลับมาสบมอง และเพราะว่าเพลงที่เปิดนั้นล้วนแล้วแต่เป็นเพลงเศร้า มันจึงทำให้ฉันต้องกดเปลี่ยนคลื่นไปเรื่อย ๆ ด้วยความหงุดหงิดใจ แต่มันกลับสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่นั่งข้าง ๆ กันได้ไม่ยากเลย “ไหนบอกว่าไม่ชอบเปิดเพลงเวลาขับรถไง ติชอบบอกว่ามันจะเสียสมาธิ...” มือของฉันที่กำลังจะเปลี่ยนคลื่นต่อไปหยุดชะงักในทันใด ฉันเคยพูดแบบนั้นก็จริงอยู่...แต่มันก็นานหลายปีมาแล้วตั้งแต่ที่ฉันขับรถใหม่ ๆ ตอนช่วงมหาลัยฯ เลยก็ว่าได้ ไม่อยากจะเชื่อว่าเธอยังจำมันได้มาจนถึงวันนี้ “เพลงนี้เพราะนะ...เราชอบ” เธอบอกออกมาเมื่อเพลงใหม่ค่อย ๆ บรรเลงบทเพลงขึ้น และมันเป็นเพลงภาษาอังกฤษที่มีเนื้อหาค่อนข้างกินใจ และเนื้อเพลงมันดันตรงกับชีวิตของเธอไปเสียอย่างนั้น ตอนนี้ฉันจึงจำใจกดปิดมันเพราะไม่อยากให้เธอต้องคิดมากอีกแล้ว แค่นี้ดวงตาของเธอก็ปูดบวมจนฉันบอบช้ำไปหมด...ทั้ง ๆ ที่ตั้งใจว่าจะให้เพลงช่วยเธอให้ดีขึ้นแท้ ๆ แต่ฉันคนนี้มันดันไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย “อ้าว...” “เราไม่มีสมาธิจริง ๆ ด้วย ไว้ค่อยกลับไปฟังที่บ้านแล้วกันนะ” หลังจากนั้นเราก็เงียบสงบกันมาตลอดทั้งเส้นทาง แต่จริง ๆ แล้วหากฉันจะเงียบมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะฉันก็มักจะไม่ค่อยพูดอะไรเท่าไรอยู่แล้วเป็นทุนเดิม ที่มันจะผิดแปลกไปก็คงจะเป็นบุหลัน เพราะเดิมทีเจ้าตัวมักจะเจื้อยแจ้วเสมอเวลาที่เราได้เจอกัน แต่ฉันก็เข้าใจได้ว่าเธอคงกำลังเศร้าและเสียใจอยู่ เราสองคนถึงแม้ว่าจะเรียนจบกันไปหลายปีแล้วและแต่ละคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ของตน แต่ฉันและบุหลันเราก็มักจะแวะเวียนไปหากันเสมอ รวมถึงเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ในกลุ่มด้วยที่มักจะนัดทานข้าวด้วยกันอยู่บ่อย ๆ เอาจริง ๆ ก็เป็นเพราะว่าฉันเองนี่แหละที่อยากจะเจอเธอแต่ก็ไม่รู้ว่าจะใช้เหตุผลไหนให้มันดูไม่น่าสงสัย ดังนั้นการที่ชวนคนอื่น ๆ ไปด้วยก็ทำให้บุหลันคิดว่าเป็นการกลับมารวมตัวกันธรรมดา ๆ ของแก๊งเพื่อน ๆ แต่ความเป็นจริงแล้วเป็นฉันเองต่างหากที่อยากจะมาเจอเธอ...แต่มันก็ไม่กล้าพอหากจะต้องมาเจอกันตามลำพัง เพราะฉันกลัวว่าเธอจะสงสัย...และรู้ว่าแท้จริงแล้วใจฉันมันคิดกับเธอมากเกินกว่าการเป็นเพื่อนกัน เราสองคนมีหน้าที่ และบุหลันเองก็มีแฟนหนุ่มที่ต้องให้ความสำคัญ ดังนั้นหากบางทีเธอจะหลงลืมฉันไปบ้างมันก็ไม่เป็นไร เพราะที่ว่างข้าง ๆ สำหรับฉันมันก็มีเอาไว้เพื่อเธอคนเดียวมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว “ไหน ๆ ซุกแฟนไว้หรือเปล่าเนี่ย?” เจ้าคนที่แสร้งทำเป็นปกติดีเดินสำรวจไปรอบ ๆ บ้านในทันทีที่ก้าวเท้าเข้ามาถึง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอมาบ้านของฉัน แต่นี่มันจะเป็นครั้งแรกที่เราอาจจะได้อยู่ด้วยกันนานกว่าครั้งไหน ๆ เพราะคอนโดที่บุหลันอาศัยนั้นเธออยู่กับแฟนหนุ่มที่พึ่งเลิกรากันไปได้ไม่นานนี้เอง “ก็ยังรักสะอาดและชอบความเป็นส่วนตัวไม่เปลี่ยนเลยน้า” เธอว่าและทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มสีขาวสะอาดของฉัน “ขอโทษที ลืมล้างเท้าก่อนเลย เผลอกระโดดใส่ไปด้วยเสียแล้วสิ” และเธอก็รีบลุกออกมาในทันใด สร้างรอยยิ้มให้กับฉันได้ไม่ยากเลย ถึงแม้ฉันจะรักความสะอาดและชื่นชอบความเป็นส่วนตัว แต่ก็อย่างว่าแหละ...คนเรามักจะมีคนหนึ่งที่เป็นข้อยกเว้นของมันตลอดไม่ว่าเรื่องไหน และทุก ๆ เรื่องของฉันมันก็คงจะเป็นบุหลันแต่เพียงผู้เดียวที่เป็นข้อยกเว้นของทุก ๆ อย่าง “ทำไมถึงยังไม่รีบมีแฟนสักทีล่ะ อีกแค่สองปีก็จะสามสิบแล้วนะ” และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกเหมือนกันที่บุหลันถามคำถามนี้กับฉัน หากเป็นแต่ก่อนฉันก็มักจะบ่ายเบี่ยงและชวนเธอพูดคุยเรื่องอื่น ๆ อยู่เสมอ เพราะฉันไม่ต้องการให้เธอรู้ถึงข้อเท็จจริงของนั้น...ว่าฉันมีคนที่ฉันรักอยู่ก่อนแล้ว และเธอคนนั้นก็อยู่ในหัวใจของฉันมานานถึงสิบสามปีเลยทีเดียว “เรา...มีคนที่ชอบแล้วน่ะ” แต่ครั้งนี้ฉันตัดสินใจพูดความจริงออกไป ซึ่งบุหลันที่พึ่งเดินออกมาจากห้องน้ำก็เบิกตาโพล้งและสบมองกันในทันทีอย่างตื่นตระหนกตกใจ “จริงเหรอ! ทำไมเรื่องนี้ติถึงไม่เคยบอกเราเลย” และฉันก็ถูกบุหลันลากให้ลงมานั่งอยู่ที่เตียงด้วยกัน “เขาคนนั้นเป็นใคร อะไร ยังไง เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยนะ! ทำไมเก็บเงียบไม่บอกกันเลย...เราไม่สำคัญกับติแล้วเหรอ” และใบหน้าของเธอก็เซื่องซึมลงไปถนัดตา แต่มันกลับทำให้ฉันเผยยิ้มออกมาอย่างรู้สึกเอ็นดูเสียจนล้นอก “ดูทำหน้าทำตาเข้าสิ” และฉันก็ยกมือขึ้นไปจับที่ศีรษะของเธอเอาไว้ และออกแรงโยกไปโยกมาให้บุหลันได้แต่พองลมใส่แก้มอย่างง้องอน “ก็เมื่อก่อนมีอะไรติก็บอกเราตลอดเลยนี่หน่า...ทำไมเดี๋ยวนี้มีคนที่ชอบถึงไม่ยอมบอกกันล่ะ” และเธอก็หันหน้าหนีฉันไปอีกทาง สร้างเสียงหัวเราะให้กับฉันจนเริ่มแปลกใจตัวเองเข้าแล้ว ว่าฉันยิ้มและหัวเราะมากเกินกว่าที่ควรหรือเปล่า ก็นะ...บุหลันเป็นเหตุผลของรอยยิ้มฉันอยู่แล้วนี่หน่า “ไว้ถึงเวลานั้น...เราจะบอกให้คุณรู้เป็นคนแรกเลยนะ” และฉันก็สบมองใบหน้าของเธออย่างสื่อความหมาย โดยที่ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกัน...ว่าเธอจะเข้าใจความหมายที่ฉันกำลังสื่อไปให้ถึงตัวของเธอหรือเปล่า? และแล้วก็ราวกับโลกทั้งใบหยุดหมุนไปชั่วขณะ เมื่อเราทั้งสองต่างก็สบมองกันโดยที่ไม่มีฝ่ายไหนคิดที่จะผละออกไปก่อน และนี่เป็นครั้งแรกของฉันเลย...ที่กล้าสบมองดวงตาเธอในระยะที่ประชิดขนาดนี้ ตึกตัก ตึกตัก หัวใจของฉันเต้นแรงจนมันแทบจะทะลุออกมาจากอกข้างซ้ายเมื่อได้สบมองดวงตาของเธอที่ฉันหลงรักมาตลอดทั้งชีวิตของฉัน แต่ในแววตาของเธอนั้นมันกลับสั่นไหว...มันทำให้ฉันรับรู้ไปถึงใจของเธอเลยว่าบุหลันนั้นกำลังเศร้าเสียใจกับเรื่องที่พึ่งเกิดขึ้นกับตัวเองมากมายขนาดไหน “แล้วจะนั่งมองหน้าเราอีกนานไหม...รีบไปอาบน้ำแล้วรีบมาเข้านอนเถอะ ดึกมากแล้วนะ” สุดท้ายฉันก็เอ่ยปากบอกออกมาทำลายความเงียบสงบที่มันกำลังเกิดขึ้น พร้อม ๆ กับที่บุหลันพยักหน้ายอมรับอย่างเห็นด้วย และเดินไปเตรียมเสื้อผ้าเพื่อที่จะเตรียมตัวไปอาบน้ำที่ห้องนอนของตัวเองซึ่งอยู่ข้าง ๆ กับห้องนอนของฉัน คล้อยหลังที่เธอจากไปจนลับสายตา ฉันก็ลุกขึ้นยืนจนเต็มความสูงก่อนจะเปิดประตูออกไปที่นอกระเบียงห้องนอนของตัวเอง ฉันเหม่อมองไปที่ดวงจันทร์ซึ่งวันนี้มันมีแต่เพียงครึ่งเสี้ยว กับหมู่ดาวมากมายร้อยพันที่เมื่ออยู่เคียงข้างกับดวงจันทร์แล้วมันยิ่งทำให้ภาพที่ได้สบมองนั้นสวยงามราวกับประติมากรรมชิ้นใหญ่ แต่หากจะมีใครไหมที่มองเห็นเวลากลางคืนว่ามันเองก็มีส่วนสำคัญไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าใคร เพราะเวลารัตติกาล...จะเป็นเวลาที่มีทั้งดวงจันทร์และหมู่ดาวมากมายมารายล้อม และเพราะความมืดมิดของมันที่เกิดขึ้น ทำให้ทั้งดวงจันทร์และหมู่ดาวนั้นได้ส่องแสง และได้เจิดจรัสมากที่สุด จนยากที่จะหาสิ่งใดมาเทียบเคียง และถึงแม้ว่าตอนกลางคืนอย่างฉันอาจจะเป็นสิ่งที่ทำให้ใครหลายคนไม่ชอบใจและหวาดกลัวกับความมืดมิด แต่ฉันก็อยากจะขอเพียงแค่สิ่งเดียวที่มองเห็นฉันและไม่มองข้ามในเวลากลางคืน... นั่นก็คือดวงจันทร์ผู้เปรียบเสมือนตัวแทนแห่งเวลากลางคืน...หรือบุหลันผู้ซึ่งเป็นเจ้าของของรัตติกาลอย่างฉันเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD