จุดเริ่มต้นของความวุ่นวาย #2

985 Words
ยุพเรศลองส่งเสียงออกมาดู แม้มันจะแหบแห้งมากแต่ก็ทำให้ใจชื้นขึ้น เธอเริ่มตั้งสมาธิให้มั่นแม้จะทรมานแค่ไหนก็ตาม พยายามเค้นเสียงของตัวเองส่งเสียงเรียกพ่อแม่ออกมาในที่สุด แม้จะไม่ดังมากแต่พ่อที่ยังไม่นอนบวกกับบรรยากาศยามค่ำคืนที่เงียบสงัดก็ทำให้ได้ยินเสียงเรียกของลูกสาว จึงเดินมาเคาะประตูและเอ่ยเรียก เมื่อไม่ได้ยินเสียงตอบรับอะไรไปมากกว่าเสียงเรียกตนเบา ๆ และเสียงร้องที่ดูเจ็บปวด พ่อจึงรีบไปหยิบกุญแจและไขเข้ามาในห้อง ยุพเรศจึงได้รับการช่วยเหลือไว้ได้ทัน โชคดีที่ยุพเรศได้รับการรักษาทัน ทำให้รอดชีวิตมาได้ คุณหมอวินิจฉัยว่าอาการของเธอเป็นเคสที่แปลกเพราะตรวจไม่พบเจออะไรเลย ร่างกายของเธอปกติดีทุกอย่าง ในตอนนั้นคุณหมอจึงทำเพียงรักษาตามอาการเท่านั้น แต่ยุพเรศก็ยังคงปวดท้องอยู่ทุกเดือน และในทุก ๆ เดือนอาการปวดท้องก็มักจะมาในวันเดิม ๆ ที่บ้านเองก็พาไปรักษาทั้งหมอคน หมอผี แต่ก็ยังไม่หาย ท้ายที่สุดคุณหมอเจ้าของเคสที่เธอไปหาประจำจึงจัดหายามาให้ทานแทน ซึ่งมันก็ได้ผล เธอทานยาไว้ก่อนทุกเดือนตั้งแต่อายุสิบแปดมาจนถึงตอนนี้ และต้องทานยาทุกวันจนกว่าจะหายปวดท้อง บางทีเธอก็คิดเหมือนกันว่าถ้าหายจากโรคประหลาดนี้แล้วคงได้เป็นโรคไตแทน… ในเวลาเที่ยงคืนที่หลาย ๆ คนคงจะหลับใหลไปแล้ว หากแต่ยุพเรศยังคงนั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ มือข้างหนึ่งถือปากกาขีดเขียนลงบนกระดาษด้วยลายมือขยุกขยิก ส่วนอีกข้างก็เลื่อนเมาส์ไปมา ปากก็ขมุบขมิบพูดกับตัวเองไปด้วย บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียดด้วยเพราะยังแก้งานชิ้นนี้ไม่ได้สักที เป็นแบบนี้มาตั้งแต่สามทุ่มแล้ว และคิดว่าคงจะเป็นแบบนี้ไปตลอดทั้งคืน "โอ๊ย !" พลันความเจ็บปวดที่ช่วงท้องทำให้ยุพเรศชะงักแล้วกุมท้องตัวเองอย่างรวดเร็ว "ไม่นะ ทำไมเป็นวันนี้ล่ะ" หญิงสาวร้องครางออกมาเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ขยับตัวหวังจะไปหยิบยาที่วางอยู่ข้างหัวเตียงมากินระงับอาการ แต่ก็นึกได้ว่าเพิ่งกินยาไปเมื่อตอนหัวค่ำนี่ แล้วทำไมอาการถึงกำเริบกะทันหันขึ้นมาได้ ยุพเรศพยายามยันตัวลุกขึ้นทว่าแข้งขาที่เคยมีแรงกลับอ่อนแรงลงเสียอย่างนั้น ร่างบางล้มลงไปนั่งอยู่ข้าง ๆ เก้าอี้ตัวเดิมที่เคยนั่ง ความเจ็บปวดที่เคยมียิ่งทวีคูณมากขึ้นไปอีก เล่นเอาเธอแทบจะนอนแนบลงไปกับพื้น "อึก ! เจ็บ…" นัยน์ตาสวยคลอไปด้วยหยดน้ำสีใส ก่อนที่หยดน้ำเหล่านั้นจะค่อย ๆ ไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้าง ยุพเรศตัดสินใจจะคลานไปที่หัวเตียง นั่นคือสิ่งสุดท้ายที่เธอพอจะทำได้ แต่ฟ้ากลับไม่เป็นใจอีก… เพราะแม้แต่แรงจะขยับตัวสักนิดยังไม่มี ร่างกายของเธอโอนเอนคล้ายจะนั่งไม่ไหวอยู่รอมร่อ "ฮึก... อึก ! เจ... เจ็บ…" ยุพเรศร้องไห้โฮออกมาทันทีเมื่อรับรู้ได้ว่าตัวเองกำลังจะตาย ใช่ เธอกำลังจะตาย ! ถ้าหากไม่ได้กินยาตอนนี้ละก็ เธอต้องตายจริง ๆ แน่ ๆ ร่างเล็กค่อย ๆ เอนตัวนอนลงที่พื้นพร้อมทั้งคุดคู้ร่างกายเข้ามากอดตัวเองไว้แน่นด้วยความเจ็บปวด พ่อ… แม่… ยุกำลังจะตาย… …ปรีดา นายคิดถึงฉันด้วยนะ …ขอโทษคุณวรงค์ด้วยนะคะที่ทำงานไม่เสร็จ …ขอโทษคุณลุงเจ้าของร้านกล้วยทอดด้วย ยุคงไม่ได้ไปอุดหนุนอีกแล้ว ยุพเรศคนนี้น่ะ… ต้องไปแล้วนะ เธอรู้สึกทรมานมากเหลือเกิน ลาก่อนนะคะทุกคน… "เอาวางไว้ตรงนั้นแหละ เดี๋ยวคุณหนูตื่นมาจะได้กิน" "จะตื่นเหรอป้า ไม่ใช่ตายแล้วเหรอ" "เอ๊ะ ! นั่นปากเอ็งเหรอ ออกไปเลยไป !" "เออ ๆ ไปก็ได้วะ" เสียงพูดคุยเบา ๆ ที่ลอยเข้ามากระทบใบหูทำให้ร่างเล็กที่นอนอยู่ภายใต้ผ้าห่มผืนหนาขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดใจก่อนจะค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมาพบกับเพดานสีขาวสะอาดและแสงแดดที่ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้เจ้าของร่างย่นคิ้วด้วยความมึนงง ที่นี่ที่ไหน… เธอตายไปแล้วไม่ใช่เหรอ ยุพเรศค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาก่อนจะพบว่าแขนที่เคยเป็นสีขาวอมเหลืองของตัวเองนั้นในตอนนี้มันกลับกลายเป็นสีขาวซีดเซียว อีกทั้งยังดูบอบบางเสียเหลือเกิน ไม่เหมือนหญิงถึกอย่างที่เคยเป็น นี่มันเรื่องอะไรกัน… "ว้าย ! คุณหนูคะ ฟื้นแล้วเหรอคะ !" น้ำเสียงตื่นเต้นมาพร้อมกับร่างของผู้หญิงอายุราว ๆ ห้าสิบปีคนหนึ่ง รูปร่างท้วม ๆ ของเธอทรุดตัวลงนั่งข้าง ๆ เตียงแล้วกุมมือของยุพเรศไว้ด้วยสายตายินดี "นะ... น้ำ" ยุพเรศพยายามเอ่ยขอออกไป ตอนนี้ลำคอของเธอแห้งผาก ร่างเล็กค่อย ๆ พยุงตัวขึ้นนั่งพิงขอบเตียงและยกน้ำขึ้นจิบโดยได้รับการช่วยเหลือจากคนที่เรียกตัวเองว่าป้าทอง "ที่นี่ที่ไหน" หญิงสาวเคยคิดว่าคำถามพวกนี้มันงี่เง่ามาก แต่ตอนนี้เธอกลับใช้มันเสียเอง ป้าทองทำหน้างงแล้วเอ่ยตอบอย่างไม่เข้าใจ "คะ ? เอ่อ… บ้านไงคะคุณหนู" “คุณหนู ?” ยุพเรศทวนคำ ขณะที่ป้าทองพยักหน้าหงึกหงัก "ค่ะ คุณหนูไงคะ คุณหนูมิ้ม"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD