ตอนที่ 10
ริมฝีปากอวบอิ่มอ้าออก ดวงตาเบิกกว้าง พร้อมส่ายศีรษะเบาๆ
โอ๊ย!! อยากจะบ้าตาย แค่เจอกันครั้งแรกก็แทบจะเอาตัวไม่รอดอยู่แล้ว เจอกันครั้งต่อไปมีหวังเอาตัวไม่รอดแน่ ไม่! ใครก็ได้ช่วยลูกที ขออย่าให้ลูกต้องเจอกับผู้ชายคนนี้อีกเลยค่ะ แค่นี้ลูกก็ไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรแล้ว
“ทำไมล่ะจันตี เธอไม่อยากเจอฉันหรือสาวน้อย แต่ฉันว่าพรหมลิขิตคงขีดเส้นทางเดินเราไว้คู่กัน เลยทำให้ฉันได้เจอเธอในคืนนี้” อินซอฟอยากหัวเราะคำพูดตัวเองเหลือเกิน นี่เขาพูดไปได้อย่างไรกัน คำพูดเลี่ยนๆ ที่พวกหญิงในฮาเร็มขององค์ประมุขนาสเซอร์ชอบเอามาพูดกัน
ไม่หรอก...คงเป็นเพราะไอ้งานงี่เง่านี่ต่างหาก ที่ทำให้เธอต้องมาอยู่ในเหตุการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ จะขยับตัวไปทางไหนทีก็ติดไปหมด มือเรียวค่อยๆ ขยับออกจากการเกาะกุมทีละนิด อย่างที่จะไม่ให้ชายหนุ่มร่างหนาใหญ่ได้ทันสังเกต
“ตอนนี้นายก็รู้จักชื่อฉันแล้ว นาย...นายก็สมควรปล่อยตัวฉันได้แล้ว”
ใบหน้าคมคร้ามแย้มยิ้ม ริมฝีปากอุ่นร้อนเคลื่อนไปประทับบนเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม เรื่องอะไรจะยอมปล่อยตัวสาวน้อยแสนหวานไปง่ายๆ กันเล่า ทั้งความจริงอยากจับมัดใส่รถแล้วพาไปด้วยเสียคืนนี้เลยด้วยซ้ำ ปลายลิ้นสากระคายลากไล้ไปบนริมฝีปากอิ่มเต็ม แต่ก็ยังเป็นเหมือนเดิมคือสาวน้อยจันฑีรายังคงต่อต้าน ปลายนิ้วยาวใหญ่เคลื่อนไหวราวกับผีเสื้อกำลังโบยบินไปบนผิวเนื้อเนียนนุ่ม จับต้องกดคลึงปลายยอดถันสีเข้ม
“อือ...” กายบอบบางสั่นไหวระริก เมื่อถูกโจมตีอย่างช่ำชองและจัดเจน ศีรษะทุยที่พยายามส่ายหนีหยุดชะงัก ดวงตาเบิกกว้าง หัวใจสั่นไหวและเต้นแรงเร็ว เรียวปากอิ่มเต็มที่พยายามจะขบรั้งเอาไว้อ้าออกอย่างรวดเร็ว เปิดโอกาสให้ปลายลิ้นสากร้อนที่รออยู่ก่อนแล้วล่วงล้ำเข้าไปซอกซอนหาความหวานอย่างอิ่มเอม
ริมฝีปากหนาตามติดเรียวปากนุ่ม มือใหญ่ฟอนเฟ้นสองบัวตูมสลับลากไล้ผิวเนื้อขาวเนียน พยายามดึงทึ้งเอาเสื้อผ้าเนื้อหนาออกจากกายบาง เพื่อให้มือใหญ่ได้สัมผัสกับเนินดอกรักอย่างถนัดถนี่ ปลายนิ้วยาวใหญ่กรีดไล้รอยแยกกลีบกุหลาบนุ่ม สลับกับกดคลึงเกสรดอกรัก
ความใหม่สดของเรือนกายสาวสร้างความปวดร้าวให้กับอินซอฟเป็นอย่างมาก ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนเลาะเล็มริมฝีปากอวบอิ่ม ขบเม้มไปทั่วใบหน้างาม เคลื่อนไหวแผ่วเบาและนุ่มนวลไปขบเม้มติ่งหู ปลายลิ้นสากระคายกระเซ้าเย้าแหย่ไปในช่องหูนุ่ม แล้วขยับเคลื่อนไปตามลำคอระหง แอ่งชีพจรและประทับระหว่างทรวงอกสล้างหอมกรุ่น
ถึงคราวนี้จันฑีราต่อต้านอารมณ์ปรารถนาที่ลุกเป็นเพลิงไฟไม่ได้อีกแล้ว กายบอบบางอ่อนระทวยอิงซบกับร่างหนาใหญ่ ลมหายใจหอบกระเส่า ดวงตากลมโตฉ่ำเยิ้ม หน้าท้องแบนราบเรียบขยับเป็นลอน ใบหน้าส่ายไปมาเบาๆ ขบเม้มริมฝีปากอย่างต้องการสะกดเสียงร้องหวานๆ เอาไว้ เอวและสะโพกกลมมนส่ายสะบัดตามมือใหญ่
เมื่อเห็นว่าจันฑีราไม่ต่อต้านแล้ว อินซอฟก็ปล่อยมือเรียวเป็นอิสระหันมาฟอนเฟ้นปทุมถันอวบอิ่มแทน ริมฝีปากอุ่นร้อนเคลื่อนไหวแผ่วเบาไปตามเนินเนื้อสล้างขาว จากซ้ายไปขวาแล้ววกกลับมา ปลายลิ้นสากระคายแต่งแต้มไปบนปลายยอดถันสีเข้ม กลืนกินทับทิมผลหวานนุ่มแผ่วเบา ก่อนจะเพิ่มความรุนแรงพร้อมลากไล้กรีดกรายไปตามรอยแยกของกลีบดอกรักอย่างแผ่วเบา
“นะ...นาย...” ใบหน้าขาวสวยส่ายไปมา ลมหายใจหอบกระเส่า ความร้อนผ่าวเสียวซ่านและรัญจวนใจแล่นพล่านไปตามกระแสเลือด จนความเย็นของลมที่พัดมาแตะต้องร่างกายแทบจะไม่เป็นผล เรือนกายบอบบางบดเบียดเข้าหากายใหญ่อย่างขอไออุ่น สองมือขยับเคลื่อนไปตามบ่ากว้าง โอบรอบลำคอแกร่ง ปลายนิ้วซุกไซ้ซอกซอนพัวพันกับเส้นผมหนานุ่ม
คืนนี้เป็นงานเลี้ยงกึ่งแฟนซี การไม่อยากดูแตกต่างไปกว่าคนอื่นๆ ฟารฮานเลยบอกให้เขาสวมใส่เสื้อผ้าคล้ายๆ กับพนักงานคนอื่น ทางหนึ่งจะได้กลมกลืนกัน อีกทางก็เพื่อป้องกันภัยอันตรายที่จะเกิดขึ้นด้วย
กายแกร่งถึงกับร้อนผ่าว กึ่งกลางเรือนกายเริ่มขยายตัว อินซอฟถึงกับร้องครางเสียงกระเส่า ริมฝีปากหนาอุ่นร้อนจำต้องขยับเคลื่อนขึ้นไปบดเบียดซอกซอนหาความหอมหวานจากโพรงปากนุ่ม ริมฝีปากหนาบดคลึงเต็มๆ แรง สองแขนใหญ่กอดรัดร่างบอบบางแนบอก
“จันตี...”
“จ๋า...” จันฑีราเผลอตัวตอบกลับไป ริมฝีปากนุ่มขยับตามติดริมฝีปากหนา สองมือจิกทึ้งเส้นผมหนานุ่ม ขาเรียวยาวสั่นสะท้าน เท้าเรียวยาวขยับตามติดร่างหนาใหญ่ เมื่อรู้สึกว่าความอบอุ่นอ่อนหวานและเร่าร้อนเริ่มจากหายไป
“อือ...” น้ำเสียงนุ่มเปล่งออกจากลำคอระหงด้วยความขุ่นเคืองใจ
แขนใหญ่กดกอดร่างบอบบางแนบแน่น ลมหายใจหอบแรง ค่อยผ่อนลมหายใจหอบเกร็งเข้าและออกอย่างเชื่องช้า มือหนาลูบไล้ไปตามผิวกายเนียนนุ่ม จวบจนสามารถกลับสู่สภาวะปกติได้จึงได้ดันร่างบอบบางออก และด้วยความกลัวว่าจะระงับอารมณ์ปรารถนาไว้ไม่ได้ อินซอฟเลยรีบจับทึ้งดึงเสื้อผ้าที่หล่นกองบนสะเอวจัดให้เข้าที่ด้วย
ปลายมือใหญ่ช้อนคางมนขึ้น ดวงตาคมดุสบกับดวงตากลมโตที่ยังคงเปล่งประกายหวานเชื่อม ลากไล้ปลายนิ้วบนเรียวปากนุ่มอิ่มเต็ม แม้อยากจะก้มหน้าลงไปมอบจุมพิตหวานเชื่อมให้อีก แต่ก็กลัวเสียแล้วว่าตัวเองจะระงับอารมณ์ปรารถนาเอาไว้ไม่ได้ ด้วยแม่สาวจันฑีราช่างหอมหวานเสียเหลือเกิน ที่การตอบสนองทำเอาเขาหัวหมุนไปได้เหมือนกัน
ใบหน้าคมคร้ามแต่งแต้มด้วยรอยยิ้ม “จบงานเลี้ยงคืนนี้เจอกันหน้าประตูทางออกนะจันตี แล้วฉันจะรอ” อย่างไม่รอให้จันฑีราได้ปฏิเสธ ใบหน้าคมคร้ามก้มลงไปประทับริมฝีปากอุ่นร้อนบนหน้าผากกว้าง แล้วเดินผิวปากกลับเข้าไปในงาน ปล่อยให้เธอยืนอึ้งอยู่เป็นนาน
เรือนร่างบอบบางสองร่างกระหืดกระหอบ ใบหน้าตื่นตระหนกเดินเข้ามาในงานเกือบจะพร้อมกัน ต่างกันเพียงแค่ประตูที่เข้ามาเท่านั้นเอง แต่ใบหน้ารูปกายภายนอกกลับแทบจะไม่มีอะไรแตกต่างกันเลย เมื่อริมฝีปากบวมช้ำและแดงก่ำ ตามผิวกายที่อยู่นอกเหนือเสื้อผ้าก็มีร่องรอยเหมือนกับถูกจับต้องแรงๆ ผมที่มัดเกล้าทำมวยไว้อย่างสวยงามก็หลุดออกมาระต้นคอบ้างบางส่วน
แม้ใจอยากจะถามเพื่อนรักว่าไปทำอะไรมาและเกิดอะไรขึ้นทำไมสภาพถึงได้ดูไม่จืดแบบนี้ แต่เมื่อนึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วก็ให้ละอายแก่ใจ ดวงตากลมโตสอดส่ายหาหนุ่มร่างหนาใหญ่ที่สร้างความตื่นตระหนกและหวาดกลัวให้ แล้วก็ได้พบกับร่างหนาใหญ่ยืนคุยกับชายหนุ่มคนที่ลงมาให้การช่วยเหลือตอนที่รถเกยไปบนทางเท้า สองหนุ่มจ้องมองมายังเธอและจันฑีรา และกระซิบกระซาบบางอย่างกันอยู่
ร่างบอบบางสั่นสะท้านหวั่นไหว รีบเอนตัวเข้าใกล้เพื่อนรักอย่างรวดเร็ว โดยไม่ทันได้สังเกตเลยว่าตอนนี้จันฑีราเองก็มีสภาพไม่ต่างจากเธอสักเท่าไหร่ สองมือที่จับกระเป๋าเย็นเฉียบ ดวงตาเบิกกว้าง ใบหน้าหันรีหันขวางเพื่อหาทางออกและหนีจากหนุ่มตัวร้ายที่มองมาอย่างลามเลียและเรียกร้อง
“มัดหมี่...มัดหมี่...” เมื่อเรียกเสียงเบาเพื่อนไม่ได้ยิน จันฑีราก็ยื่นปากไปแนบใบหูและเรียกเสียงดังขึ้นอีกนิด
“อะไร เรียกทำไมเสียงดังจันตี ก็อยู่กันใกล้ๆ แค่นี้เอง” ปิยาพัชรหันไปดุเพื่อน ดวงตายังคงไม่คลาดไปจากร่างหนาใหญ่ที่ดูเหมือนว่ากำลังจะเดินมายังที่เธอสองคนนั่งอยู่ แต่ก็ถูกขัดจังหวะจากชายหนุ่มอีกคนที่เดินเข้ามากระซิบกระซาบ แล้วใบหน้าของสองหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นแดงจัด และเหมือนมีประกายไฟซุกซ่อนอยู่ในดวงตา
“ว่าแต่แกมีอะไรหรือเปล่าจันตี”