Out to be
:: 5 ::
ก็ดีมั้ง
กระจกสะท้อนเงาของฉันที่สวมชุดเดรสสีดำที่น้ำหนึ่งบังคับให้สวมใส่สำหรับไปดูหนังกันในวันนี้ ฉันยืนมองตัวเองก็รู้สึกเคอะเขินเล็กน้อย ปกติแต่งตัวสไตล์ลุคเท่ๆ นิดนึง พอต้องมาสวมชุดนี้ก็เลยดูหวานยังไงบอกไม่ถูก ผมสีดำยาวมันรวบเป็นหางม้าและปล่อยหน้าม้าแบบซีทรูแสกกลาง แต่งแต้มใบหน้าโทนอ่อนให้เหมาะสมกับลุคในวันนี้ หยิบกระเป๋าแบรนด์สีดำสะพายข้างใบนี้พ่อซื้อให้ฉันหลังจากที่รู้ว่าสอบเข้ามหาลัยเอกชนได้
“ผิงอาจจะกลับเย็นหน่อยนะคะ มีนัดกับน้ำหนึ่งค่ะ”
“โอ้โห ลูกสาวแม่แต่งตัวสวยมากเลย”
“น้ำหนึ่งน่ะค่ะบังคับให้ผิงใส่” แม่เดินมาโอบไหล่และหมุนตัวฉันหนึ่งรอบ
“ปกติเห็นใส่แต่เสื้อผ้าออกแนวเท่ๆ มาลุคนี้แม่เองก็อยากเห็นผิงแต่งตัวแบบนี้เหมือนกัน คุณว่าไหมคะ?” แม่ถามความเห็นของพ่อที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงโต๊ะอาหาร
“นั่งรถระวังด้วยนะลูก กระโปรงสั้นเอากระเป๋าปิดดีๆ”
“ค่ะ ไม่ต้องเป็นห่วงนะคะผิงดูแลตัวเองได้อยู่แล้ว” พ่อกับแม่เป็นห่วงฉันอยู่เสมอนั่นแหละ ไม่เคยรู้สึกไม่ดีนะที่แบบโตแล้วทำไมพ่อกับแม่ถึงต้องห่วงเหมือนเด็ก เอาจริงฉันเข้าใจพวกท่านเพราะฉันเป็นลูกสาวเพียงคนเดียว ท่านก็อยากให้ฉันได้เจอกับสิ่งที่ดีที่สุดโดยเฉพาะเรื่องของความรัก
ฉันส่งแชทหาน้ำหนึ่งที่บอกว่ากำลังจะออกไป ถ้าถึงก่อนจะรอที่ร้านชาบู ดังนั้นฉันจึงสวมรองเท้าผ้าใบเสริมส้นสีขาวและเดินออกจากรั้วบ้านเพื่อเดินไปโบกรถแท็กซี่ ระหว่างนั้นช่างประจำของพ่อหลายคนก็มองฉันตาค้างกันบ้างและสะกิดพากันไปมาจนได้แต่ยิ้มแห้งให้กับพวกเขา แปลกตาสินะที่เห็นฉันแต่งตัวหวานขนาดนี้
“ว้าว! ขนมผิงจริงปะเนี่ย ทำไมสวยขนาดนี้” ฉันหยุดเดินเมื่อหม่องกับแต้งท์เดินดักหน้าพลางมองฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ตอนนี้อู่ยังไม่เปิดแต่พวกเขาก็มาทำงานก่อนเวลากำหนด
“แต่งตัวแบบนี้โคตรน่ารักเลยผิง”
“ขอบใจ”
“ไอ้คิง มึงดูผิงดิ แต่งตัวน่ารักชิบเป๋ง!” แต้งท์กวักมือเรียกคิงที่ผละใบหน้าจากกระโปรงรถหรูและเดินมาหยุดตรงหน้าฉัน พลางขมวดคิ้วมองตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าไร้คำพูดใดๆ ออกมายกเว้นก็แต่สายตาที่จ้องเขม็งมานิ่งๆ
“ไม่ติดว่าขนมผิงชอบมึง กูจีบไปละ”
“ทำยังกับว่าถ้ามึงจีบ ผิงจะเอามึงงั้นแหละไอ้หม่อง!” มองแต้งท์ที่ตบศีรษะของหม่องจนหน้าคะมำ
“จำได้ว่าในห้องไม่มีชุดแบบนี้?” คิงเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงสงสัย “ใครซื้อให้”
“หึงหรือไง”
“เงียบปาก” คิงหันไปตวัดสายตามองเพื่อนของตัวเองที่เบ้ปากและพากันไปทำงานต่อ ปล่อยฉันให้ยืนเผชิญหน้ากับคิงที่ยังคงรอฟังคำตอบจากปากของฉัน
“น้ำหนึ่งน่ะ บอกว่าอยากเห็นฉันเปลี่ยนสไตล์การแต่งตัวบ้าง”
“...”
“นายไม่ชอบเหรอ?” คำถามของฉันทำให้คิงเงียบ จำต้องหลุบสายตามองตัวเองว่ามันมีตรงไหนผิดพลาดหรือเปล่า คนอื่นเห็นชมกันเสียยกใหญ่ยกเว้นก็แต่คนที่อยากให้ชม ดันไม่ชมฉันสักนิดเลย
“จะไปยังไง”
“นั่งแท็กซี่”
“เดี๋ยวไปส่ง” พูดจบก็หมุนตัวไปหยิบผ้าเช็ดมือและล้างมือที่เลอะคราบน้ำมันดำๆ ออก เขาก็เดินนำฉันไปหน้าอู่ขึ้นคร่อมมอเตอร์ไซค์แต่ก็หันมามองฉันที่กำลังยืนคิด ถ้านั่งมอเตอร์ไซค์กระโปรงต้องถลกขึ้นแน่เลยกระเป๋าจะปิดอยู่ไหมนะ? ถึงจะสวมกางเกงซับในก็เถอะ
พรึ่บ
“อ๊ะ!”
“เอาเสื้อฉันปิดไว้” เสื้อช้อปสีเทาที่คิงสวมถูกโยนใส่หน้าฉันเต็มๆ จนรับแทบไม่ทัน “สวมหมวกกันน็อกด้วย”
“โอเค” โกรธอะไรฉันเปล่าเนี่ย ทำไมคิงดูพูดน้อยหรืออารมณ์จะไม่ดีตั้งแต่เมื่อวานที่ฉันไม่ค่อยได้คุยกับเขา เนื่องจากคิดเรื่องของเชสอยู่ ไม่ใช่อะไรนะ คิดเรื่องที่เขาไม่ยอมหยุดที่จะจีบฉันทั้งที่บอกไปว่ามีคนที่ชอบแล้ว ยิ่งอยู่ใกล้เขาก็ยิ่งกลัวลึกๆ เชสมีนิสัยที่ดูเหมือนพูดจาไม่โผงผางใส่ หากแต่ว่าบางคำมันเหมือนเป็นการข่มขู่นิดๆ ซึ่งทำให้ฉันไม่ค่อยจะสบายใจเสียเท่าไหร่
นั่งหันด้านข้างและเอาเสื้อช้อปของคิงคลุมขาเอากระเป๋าทับไว้อีกที จากนั้นก็กอดเอวสอบที่ขับรถพาฉันไปส่งที่ห้างสรรพสินค้า อย่างน้อยที่ฉันยังอยากเอาชนะใจคิงก็ตรงนี้ล่ะ เขามีมุมที่แบบทำเหมือนไม่สนใจแต่จริงๆ สนใจ ลับหลังฉันไม่รู้หรอกนะว่าคิงจะสนใจผู้หญิงที่อยากนอนด้วยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือฉันขอหลงตัวเองว่าเป็นคนเดียวที่คิงสนใจก็แล้วกัน
“วันนี้พ่อปิดอู่ครึ่งวัน นายจะไปไหนต่อ?”
“ว่าจะไปตัดผม”
“จริงเหรอ!” โผล่หน้าไปคุยกับคิงที่ไม่ได้มองฉันหรอกนะ กำลังมองไปด้านหน้ามากกว่า “อยากเห็นแล้วสิ”
ฉันยิ้มร่าพลางกอดเอวหนาแน่นขณะที่คิงขับรถพาฉันไปส่งที่ห้างสรรพสินค้า เอาเข้าจริงถ้าเป็นเดตของเราก็คงดีน่ะสิ ฉันคงจะมีความสุขมากกว่านี้ด้วยซ้ำ หากแต่ว่าก็ไม่ได้อยากที่จะบังคับใจของคิง แค่เขาขับรถมาส่งฉันก็รู้ดีเป็นบ้าเลยล่ะ มีความสุขจริงๆ นะ มากจนมันล้นอกไปหมดแล้ว...
“ขอบใจที่มาส่ง” เมื่อถึงหน้าห้างฉันก็กระโดดลงจากรถของคิงซึ่งมันไม่ได้สูงมากหรอกนะ แต่ด้วยความเคยชินไง ฉันถอดหมวกกันน็อกออกและส่งให้คิงพลางจัดแต่งทรงผมของตัวเอง
“เอาเสื้อไปด้วย” คิงคว้าข้อมือฉันไว้จากนั้นก็ยัดเสื้อช้อปของตัวเองมาให้ฉัน
“ทำไมอะ?”
“บางทีเธอชอบลืมตัวว่าสวมกางเกง นั่งแหกขาเดี๋ยวคนอื่นก็เห็นไปถึงลิ้นปี่กันพอดี”
“จะบ้าหรือไง! ฉันรู้ตัวเองนะว่าสวมกระโปรงสั้นคงไม่นั่งแหกขาขนาดนั้นหรอก” เขาคิดว่าฉันเป็นคนยังไงกันแน่เนี่ย คิดว่าฉันจะนั่งโชว์ให้คนอื่นมองหรือไง มองค้อนใบหน้าหล่อเหลาที่มองหน้าฉันนิ่งพลางย่นจมูกใส่คิงอย่างหงุดหงิด
“อย่าทำหายล่ะ เสื้อช้อปฉันมีไม่เยอะ” เด็กบ้าคนนี้คิดว่าฉันกี่ขวบกันแน่เนี่ย ฉันแก่กว่าเขานะเว้ยจะ 20 อยู่แล้ว!
“ตกลงฉันสวยปะเนี่ย ทำไมนายไม่เห็นชมฉันเลย”
“ทำไมต้องชม?”
“แต้งท์กับหม่องยังชมฉัน มีแต่นายเนี่ยล่ะ ตายด้านหรือไง” บ่นคิงกลับ เขาก็ถอนหายใจพลางถอดหมวกกันน็อกออกวางบนตัวเครื่องข้างหน้าและเอาแขนวาง พลางเลื่อนสายตามองฉันตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า
“อยากให้ฉันชมขนาดนั้นเลย” ก็เออน่ะสิ! ทำไมเขาซึนทำมึนขนาดนี้ด้วยไม่เข้าใจ
“ว่าไง”
“ก็ดีมั้ง”
“ทำไมต้องมีมั้งด้วย”
“เธอนี่เอาใจยากชะมัด ฉันไปละ”
คิงสวมหมวกกันน็อกและขับรถออกไปเลยจนฉันได้แต่มึนงงกับคำพูดของเขา จะชมสวยก็ไม่ได้ทำไมต้องมีมั้งด้วยอะ ชักไม่มั่นใจแล้วดิ หลังจากมองท้ายรถมอเตอร์ไซค์ของคิงขับหายลับไปบนท้องถนน ฉันก็เข้ามาในห้างสรรพสินค้าเพื่อตรงไปยังโรงหนังที่นัดกับน้ำหนึ่งเอาไว้ ฉันเอาเสื้อช้อปของคิงถือติดมือมาด้วยก็ไม่เข้าใจ จะให้ฉันถือมาให้รกมือเพื่อ?
“ขนมผิง ทางนี้!”
“น้ำหนึ่ง” ฉันโบกมือให้กับเพื่อนที่นั่งอยู่บนโซฟาหน้าโรงหนังเนื่องจากเปลี่ยนใจจากนัดที่ร้านชาบู เปลี่ยนเป็นไปกินปิ้งย่างแบบบุฟเฟ่ต์แทน วันนี้น้ำหนึ่งแต่งตัวได้คาวาอิสุดๆ สวมกระโปรงลายสก็อตสีน้ำเงินตัดดำและเสื้อครอปเอวลอยติดกระดุมหน้าอวดร่องอก แน่นอนว่าเพื่อนฉันตัวเล็กก็จริงแต่ทรวดทรงองค์เอวคือไม่ได้เล็กตามนะ
“โอ้โห สวยมากเลยผิง”
“ขอบใจ”
“แล้วเอาเสื้ออะไรมาเหรอ?” น้ำหนึ่งถามพลางเสมองมาที่มือของฉัน
“เสื้อช้อปของคิงน่ะ เขาให้มาคลุมขา”
“หือ แหน่ะ... ชอบกันเหรอ”
“ไม่ใช่” ปฏิเสธเพื่อนเสียงแข็ง เออ ฉันน่ะชอบคิงมากแต่คิงไม่ได้ชอบฉันไง จะให้พูดยังไงได้นอกเสียจากบอกปัด “ไปกินปิ้งย่างกันเถอะ ฉันหิวแล้ว”
“แต่ถามจริงๆ นะ ทำไมถึงไปไหนมาไหนด้วยกันบ่อยอะ” น้ำหนึ่งควงแขนฉันและพากันเดินหาร้านปิ้งย่างที่มีหลากหลายให้เลือกสรร ฉันหันไปสบตากับน้ำหนึ่งที่เตี้ยกว่าฉันเซ็นหนึ่งเธอสูงแค่ 159 ซม. เอง ส่วนฉันสูง 160 ซม. เห็นปะ น้ำหนึ่งตักเล็กน่ารักน่ากอดจะตายใครเห็นก็หลงเสน่ห์เพื่อนทั้งนั้น
“ก็รู้จักกัน แค่นั้นเอง”
“แค่นั้นจริงเหรอ?”
“เอาเป็นว่าฉันกับคิงเราไม่ได้เป็นอะไรกัน ไม่ต้องคิดลึกเลย” เอามือผลักศีรษะน้ำหนึ่งที่ทำหน้าบูดบึ้งใส่ฉัน “ไปกินข้าว ดูหนังกันเถอะ ยังไงเธอน่ะกับพี่ฟินน์”
“ดูหนังเสร็จจะไปหาพี่ฟินน์ที่ห้อง”
“จีบให้ติดล่ะ”
“แน่นอน”
ให้กำลังใจน้ำหนึ่งที่เอนศีรษะซบแขนฉัน จากนั้นเราสองคนก็มากินปิ้งย่างกันจนอิ่มพุงกาง พอมาถึงโรงหนังเราก็ซื้อน้ำอัดลมกับข้าวโพดเข้าไปกินด้วย ฉันไม่รู้หรอกนะว่าน้ำหนึ่งเลือกดูหนังอะไร แต่ไม่ว่าจะเรื่องไหนฉันก็ดูได้หมด กระทั่งเข้ามานั่งในโรงหนังคนไม่ค่อยเยอะ เก้าอี้ที่ห่างกันไปจำต้องลอบมองไปด้านข้าง ด้านหน้าและด้านหลัง
“อิจฉาจัง มีแต่คู่รักเข้ามาดูหนัง” น้ำหนึ่งบ่น “คราวหน้าเราต้องชวนพี่ฟินน์มาดูหนังบ้าง”
“นั่นสิ” อิจฉาจริงๆ นั่นแหละ ฉันเองก็อยากชวนคิงมาดูหนังและเดินเล่นเหมือนกับคู่รักทั่วไป ต่างกันก็แค่ฉันไม่ควรคาดหวังว่าจะได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการ มันไม่มีทางเป็นแบบนั้นอยู่แล้ว ฉันถอนหายใจและหยิบข้าวโพดกินอย่างหงุดหงิดใจ ทำไมต้องมาเจอคู่รักนับสิบมานั่งดูหนังด้วยกันล่ะเนี่ย เห็นแล้วตาร้อนเป็นบ้า!
[50%]
*---------------------------------------------------*