: CHAPTER 4 : Older twin brother
เมอร์เซเดสเบนซ์สีบรอนซ์เงิน รถประจำตำแหน่งแล่นฉิวไปพร้อมด้วยความคิดหลายอย่าง ไม่ใช่แค่เรื่องแฟนที่วีณาพูดขึ้นมาให้ต้องเก็บมาคิด ยังมีคำทวงถามเรื่องคนสนิทอย่างพวกเขา
สนิท... ขนาดว่าไม่มีสิทธิ์มีชีวิตของตนเอง ไม่ควรมีความคิดปลีกตัวไปจากเธอ หากว่ามันยังไม่ถึงเวลาอันสมควรแก่การก้าวขา กางปีกผงาดบินออกไปจากบ้านหลังนี้
ภากรไม่เคยเห็นมันเป็นปัญหา ในเมื่อเขาไม่เคยสนใจใครนอกจากน้องชายและสองพ่อลูกคู่นี้
คุณอาอนันต์เปรียบเสมือนแสงสว่างสุดท้ายในชีวิตของเขามาเสมอ ตั้งแต่มารดาซึ่งเป็นหัวหน้าแม่บ้านมาลาจากโลกไปด้วยโรคมะเร็งระยะที่สาม ท่านเป็นผู้ใหญ่ใจดีที่คอยปกป้องดูแลเขา ให้ความเมตตาเป็นลูกหลาน เป็นเพื่อนเล่นของเด็กสาวตัวน้อยเวลาคุณพ่อไปทำงาน พบปะสังสรรค์เพื่อนฝูงประสาหนุ่มโสดที่ยังละจากผู้หญิงและสังคมคนมีฐานะร่ำรวยไม่ได้เสียทีเดียว
นับเป็นบุญคุ้มกะลาหัวฝาแฝดหนุ่มหน้าตาดี อาภัพอับโชคกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ดันกลายมาเป็นหนูตกถังข้าวสาร
เขาจึงชอบทำตัวติดเธอเช่นเงา เฝ้ามองเด็กสาวค่อย ๆ เติบใหญ่ด้วยแววตาหลงใหลและความจงรักภักดี
ทั้งสี่ห้องหัวใจของเขามีแต่วีณา...
นัยน์ตาคู่สวยสีน้ำตาลอ่อนเปรียบเสมือนแสงอรุณยามเช้า ทอแสงประกายหล่อเลี้ยงชีวิตอันต่ำเตี้ยเรี่ยดินให้เติบโตมาด้วยความตั้งใจ ทะเยอทะยาน จากเด็กชายกำพร้าแม่สู่ชายผู้เพียบพร้อม ดีกรีปริญญาโทจากอังกฤษ Bournemouth University
แล้วใครจะกล้าว่าอะไร? เมื่อเขากลับมาเมืองไทยพร้อมกระดาษหนึ่งใบที่ทำให้เธอภาคภูมิใจ จบการศึกษาจากประเทศอังกฤษได้ด้วยเกียรตินิยมอันดับสอง
พูดไปเหมือนโกหกเปล่า ๆ หน้าตาและดีกรีระดับตัวเขากลับหลงสาวคนหนึ่งได้ถึงขั้นตั้งปณิธานชีวิตไว้ว่าจะไม่แตะต้องนวลเนื้อนางไหนต่อให้สวยปานนางฟ้า ถึงวัยสามสิบย่างเข้าสามสิบเอ็ดปีนี้ก็ยังไม่เคยเปลี่ยนความคิด
เสียงโทรศัพท์ดังผ่านลำโพงในรถยนต์ รองเท้าหนังดีไซน์สวยสีดำมันวับแตะเบรกเบา ๆ เมื่อมาถึงลานจอดรถกว้างขวางหน้าตึกสูงตระหง่าน ผู้คนละลานตาทั้งลูกค้าแม่ค้าเดินลากกระเป๋าใส่ผ้าผ่านไปผ่านมา กลางย่านธุรกิจขายเสื้อผ้าที่ใหญ่ที่สุดอย่างประตูน้ำ
“ว่าไง...?”
นั่นไม่ควรเป็นคำทักทายของน้องชายเลย ภากรผ่อนลมหายใจหนัก สองมือกำพวงมาลัยอย่างหนักใจบอกปลายสายผ่านลำโพงในรถ
“ไปคุยมาแล้วนางอารมณ์ไม่ดีนะ ไม่ฟังอะไรสักอย่าง มึงไปจัดการเองล่ะภาม กูไม่ยุ่งดีกว่า”
“ไปคุยใหม่ คุยให้หน่อยภีม ถ้านางไม่หายโกรธกู มึงเดือดร้อน”
สายที่ตัดไปทำให้ภากรหงุดหงิดพอสมควร เขาเดาได้ว่าเป็นเรื่องอะไร...
แม่บ้านคนเก่าแก่อย่าง ‘ป้าอร’ เล่าให้เขาฟังว่าหลายวันก่อนวีณาโมโหเป็นฟืนเป็นไฟเพราะท่าทีห่างเหินของภาคิน เนื่องมาจากว่าเจ้าตัวกำลังคบหาดูใจกับนักร้องสาวในไนต์คลับแห่งหนึ่ง เธอจึงเรียกตัวไปใช้งานหย่อนอโรม่าในอ่างน้ำ สั่งให้ยืนรอจนว่าจะอาบน้ำเสร็จเป็นการประชดประชัน จากนั้นก็ประท้วงใส่กันด้วยการเสแสร้งเป็นคนแปลกหน้า
งานนี้ไม่รู้ว่าใครเป็นคนเริ่ม แต่ไม่ใช่เรื่องปกติแน่กับการที่วีณาจะออกคำสั่งกับคนในบ้านเกินความจำเป็น
นึกย้อนไปหลายปีก่อน ตอนเขาไปเรียนหลักสูตรบัตเลอร์ถึงประเทศอังกฤษ British Butler Institute สถาบันสอนบัตเลอร์ที่ดีที่สุดในโลก ได้โอกาสต่อปริญญาโทสายบริหารธุรกิจการโรงแรม เป็นตัวเขาที่อยากเรียนสายเดียวกับคุณอา อนันต์จึงเมตตาเขาเป็นอย่างมาก คอยให้ความช่วยเหลือสนับสนุนค่าเล่าเรียนนอกเหนือจากที่เขาสอบทุนได้ ด้วยคำอ้างว่าเป็นสวัสดิการของหัวหน้าแม่บ้านอยู่แล้วตามสัญญาที่แม่ของพวกเขาเป็นคนเซ็น
ในขณะที่ภาคินเลือกเรียนการโรงแรมมหาวิทยาลัยนานาชาติ เพื่อที่จะคอยดูแลลูกสาวท่านอย่างใกล้ชิด ในช่วงวีณาย่างเข้าวัยรุ่นไฮสคูลด้วยอายุสิบสามปี
เป็นเรื่องโง่เง่าทั้งเพ! ภากรคิดว่าตัวเองกลับมาช้าไป... ไม่สิ เขาไม่ควรไปจากวีณาแต่แรกเลยต่างหาก...
เกิดอะไรขึ้นในระหว่างที่เขาไม่อยู่กันแน่...
แววตาประกายกร้าวโกรธร้อนรุ่มริษยา ร่างสูงสง่าก้าวขาอย่างฉับไวไปถึงลิฟต์ที่เปิดอ้าออกกว้าง อกผึ่งผายทำให้เขาดูน่าเกรงขามทว่ากิริยามารยาทดี เขายกมือไหว้ตอบรับลูกน้องอย่างหัวหน้าพึงกระทำอย่างเป็นมิตร
งานโรงแรมคืองานบริการ ‘รอยยิ้ม’ เป็นหนึ่งข้อสำคัญในหน้าที่การงาน ณ ที่นี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีอารมณ์ยิ้มให้ใครก็ต้องยิ้ม และต่อให้ผู้จัดการที่นี่จะถูกย้ายไปอีกสาขาหนึ่งเพราะเขา คงช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องยิ้มให้กลุ่มคนชอบนินทาลับหลัง
GM เส้นใหญ่... เด็กท่านประธาน... เขาดูท่าจะชอบคำนั้นเสียอีกเพราะมันดี! ตรงไม่มีใครกล้าหืออือออเวลาเขาออกคำสั่งให้ทำงานกันอย่างตั้งใจ
ผ่านล้อบบี้กว้างขวางของโรงแรมสไตล์โมเดิร์นผสมผสานแบบไทยดั้งเดิม มีสระว่ายน้ำในชั้นลอย ห้องรับประทานอาหารเช้าสามารถชมวิวรอบเมืองกรุงได้ 360 องศา ร้านอาหารร้านค้าสะดวกซื้อเปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ติดแหล่งการค้าขนาดใหญ่ เอาใจสายช้อปปิ้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าโรงแรมห้าดาวแห่งนี้สร้างมานานถึงยี่สิบห้าปี
ภายใต้ชื่อบริษัทอสังหาฯ Ananda ธุรกิจครอบครัวสืบทอดต่อมาจากบรรพบุรุษ ลูกหลานคนอื่น ๆ ของ ‘ธนะโชติสกุล’ แบ่งงานกันไปในแต่ละส่วนโรงแรม ร้านค้า สินค้านำเข้า โดยมีลูกชายคนโตสุดถือหุ้นใหญ่นั่นก็คือนายอนันต์
ที่นี่เป็นแค่โรงแรมในเครือ ส่วนนัดหมายในวันนี้ก็ไม่มีอะไรมาก ชายหนุ่มมาถึงชั้นบนสุดของตึกในอีกไม่นาน ตามองประตูบานใหญ่ถัดจากพื้นที่รับรองแขก เลขานุการสาวอายุราวห้าสิบในสูทเข้ารูปกระโปรงประหน้าขายืนรอเขาอยู่ มีเลขานุการหน้าใหม่สองคนที่เขาไม่รู้จัก แต่พวกหล่อนกลับรู้จักเขาเอง
“คุณอนันต์กำลังรอคุณภีมอยู่เลยค่ะ เชิญค่ะ” สาวใหญ่ผายมือเชื้อเชิญเปิดประตูสีดำสนิทให้เขาเข้าห้องไป ภากรไม่ลืมเอ่ยอีกคำเสมอคือ 'ขอบคุณ' กระตุกยิ้มหวานหลอกล่อให้หล่อนผงะหน้าแดงซ่านถอยหลังไปนั่งบริเวณพื้นที่ของเลขาฯ หน้าห้อง
ใต้หน้ากากแสนหล่อเหลาปานเทพบุตรรูปงามใต้รอยยิ้มที่แฝงเขี้ยวคมตรงมุมปาก เรือนกายกำยำในสูทราคาแพงกระชับเข้าที่ด้วยมือหนาที่มีนาฬิกาเรือนโก้หรู ชายหนุ่มพบเจ้าของห้องนั่งหน้าเครียดอยู่ ประนมมือแนบอกทักทาย
“สวัสดีครับคุณอา”
“เอ้าลูกภีม มาพอดี อากำลังจะโทรหาให้ไปเข้าประชุมแทนอาหน่อย งานเยอะมากเลย” เจ้าของบริษัทตัวจริงในสูทสีดำสลับเสื้อเชิ้ตสีขาวดูดีตามอายุวัยสี่สิบห้าปี อนันต์วางทุกอย่างจากมือทั้งปากกา แท็บเล็ต กองเอกสาร เพื่อแนะนำพนักงานอีกคนให้รู้จัก
“นี่คุณนันท์นะ เลขาฯ คนใหม่เพิ่งมาวันแรก มาช่วยงานคุณแป๋ว อาขอป้า ๆ ไว้ให้มาช่วยภีมกับภามด้วยอีกแรง”
เลขาฯ สาวในเชิ้ตกางเกงเรียบร้อยยืนขนาบข้างโต๊ะรอรับงานจากเจ้านาย คนหนึ่งเตรียมถ้วยชา กาแฟให้ GM หนุ่มอย่างรู้หน้าที่ และด้วยความมีอายุค่อนข้างมากของพวกหล่อนแล้วคงไม่มีใครถือว่าคำว่าป้า...
“สวัสดีครับคุณนันท์ ผมภากรครับ จะเรียกภีมก็ได้ครับ... ยินดีที่ได้รู้จัก”
“ค่ะคุณภีม เช่นกันค่ะ เรียกใช้งานป้า ๆ ได้ทุกเมื่อเลยนะคะ” คนใหม่รับคำอย่างเป็นมิตรในฐานะเพื่อนร่วมงาน ก่อนเดินเลี่ยงไปไม่ให้น่าเกลียด ยกกาแฟและเก้าอี้หมุนหนึ่งตัวมาให้เขานั่งพร้อมเอกสารการประชุม