ตอนที่ 3 : อุปสรรค
เจ้าจอมค่อยๆเปิดเปลือกตาอันหนักอึ้งของตัวเองในเช้าวันใหม่ แต่ก็ต้องยกมือกุมขมับเมื่อรู้สึกว่าปวดหัวตุบๆแทบจะระเบิด ไม่นานก็พยุงตัวลงจากเตียงแล้วเดินออกมาสูดอากาศในยามเช้าตรงระเบียง
“กูปวดหัวเป็นบ้า!”
“สมควรปวดอยู่หรอก เมาหนักขนาดนั้น”
คริษฐ์เอ่ยกับอีกฝ่ายทั้งที่ยังคงทอดสายตามองวิวทะเลหมอกในยามเช้าตรงหน้า โดยที่ในมือถือถ้วยกาแฟไว้ บ่งบอกว่าเขาได้มายืนจีบกาแฟอยู่ตรงนี้นานแล้ว
เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนทำให้เขานอนไม่หลับ ต้องใช้ความคิดอย่างหนักในการหาสาเหตุของอาการแปลกๆที่เกิดขึ้น แต่คิดแล้วคิดอีกก็ยังคิดไม่ออกสักที กระทั่งตอนนี้เขาก็ยังไม่มีคำตอบให้กับตัวเอง
“ว่าแต่เมื่อคืนใครแบกกูกลับมาวะ ภาพมันตัดไปตอนไหนจำอะไรไม่ได้เลย”
เจ้าจอมเดินมายืนข้างๆร่างสูงใหญ่ ก่อนจะเอ่ยถามถึงเรื่องเมื่อคืนเพราะจำเหตุการณ์อะไรไม่ได้เลยจริงๆ
“ก็จะมีใครอีกถ้าไม่ใช่กู รู้งี้ปล่อยให้นอนหนาวตายอยู่ข้างนอกก็ดี”
คำตอบของคริษฐ์ทำให้คนฟังต้องหัวเราะหึๆในลำคอ เมื่อรับรู้ได้ถึงอารมณ์หงุดหงิดของอีกฝ่าย แต่กระนั้นก็ไม่คิดที่จะเก็บมาใส่ใจกับประโยคท้ายของเขานัก ก่อนจะเปลี่ยนเรื่องคุย
“ว่าแต่วันนี้มึงจะออกไปไหนหรือเปล่า”
“ไปสิ กูมีงานต้องไปเคลียร์ที่โรงพัก จะไปตามเรื่องเมื่อวานสักหน่อย แล้วมึงอะ...จะลงไปโรงพยาบาลพร้อมกูหรือเปล่าวะ”
“อืม...ไปดิ”
คำตอบหนักแน่นของเจ้าจอม ทำให้คริษฐ์ต้องหันมามองใบหน้าหยกขาวเนียนแวบหนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองร่างสูงโปร่งตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างจงใจ
“แล้วสภาพแบบนี้จะไหวเหรอ”
“สบายมาก กินยาเม็ดเดียวก็วิ่งได้เลย”
คำตอบของนายแทพย์หนุ่มทำให้คริษฐ์รู้สึกเบาใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก แวบหนึ่งเขาเผลอมองแก้มขาวเนียนหอมละมุนที่ยังคงตราตรึงอยู่ในจิตไม่เสื่อมคลายของอีกฝ่าย ก่อนที่เหตุการณ์เมื่อคืนจะผุดขึ้นมาในหัวอีกครั้ง
‘ให้ตายสิ!’
คริษฐ์สบถกับตัวเองในใจ เมื่อไม่สามารถลืมความรู้สึกแปลกๆที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ แต่แล้วก็ต้องสะบัดศีรษะแรงๆเพื่อเรียกสติกลับคืนมาอีกครั้ง เมื่อเจ้าจอมเอ่ยขอตัว
“กูไปอาบน้ำแต่งตัวก่อนนะ แล้วเดี๋ยวเจอกัน”
“อืม”
คริษฐ์มองตามร่างสูงโปร่งที่เดินหายลับเข้าไปในห้องนอนด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งที่บอกกับตัวเองว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมันไม่มีอะไร แต่หัวใจของเขาก็ยังรู้สึกว่ามันแปลกๆอยู่ดี ยิ่งได้เห็นหน้าหยกขาวเนียน ความอยากใกล้ชิดอยากลองอีกครั้งก็ก่อเกิดจนยากที่จะควบคุมความคิดของตัวเอง
“ไม่ได้นะเว้ย! ไอ้คิง ไอ้หมอเป็นผู้ชาย และที่สำคัญมันเป็นเพื่อนมึง จำเอาไว้!”
คริษฐ์พึมพำเตือนสติตัวเอง ไม่ให้สมาธิหลุดเตลิดไปไกล ก่อนจะหมุนตัวกลับเข้าไปในห้องอีกคน
...............................................................
หลังจากไปส่งเจ้าจอมที่โรงพยาบาลแล้ว คริษฐ์ก็เดินทางมาที่โรงพักต่อ เพื่อพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมไอ้พวกมอดไม้ที่เขาทำการจับกุมเมื่อวาน
“เป็นฝีมือของไอ้พ่อเลี้ยงเมฆางั้นเหรอ”
คริษฐ์ถามด้วยน้ำเสียงเครียด หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าจากผู้กองเพชรจบ เพราะพ่อเลี้ยงเมฆาเป็นผู้ทรงอิทธิพลในอำเภอผาหมอก เนื่องจากอีกฝ่ายมีทั้งอำนาจเงิน และบริวารมากมายจึงทำให้การเข้าถึงตัวนั้นยากยิ่งกว่าฝ่าดงระเบิดเสียอีก
“ครับหัวหน้า แล้วเราจะเอายังไงต่อดีครับ ดูเหมือนเราจะเจอตอใหญ่เข้าเสียแล้ว”
“เราจะให้ไอ้พวกนั้นสารภาพต่อหน้าศาล เราต้องลากไอ้พ่อเลี้ยงเข้าคุกให้ได้”
คริษฐ์ประกาศลั่นด้วยความคับแค้นใจ แต่เพียงไม่นานก็มีนายตำรวจท่านหนึ่งเข้ามารายงานเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึง
“ผู้กองครับ พยานปากถูกวางยาครับ”
“บ้าชิบ! เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นได้ยังไง ไม่มีเจ้าหน้าเฝ้าไว้เหรอ”
ผู้กองหนุ่มสบถออกมาหลังจากที่ฟังรายงานจากลูกน้องจบ ก่อนจะตวาดถามผู้รายงานด้วยน้ำเสียงห้วนจัดอย่างควบคุมอารมณ์ไว้ไม่อยู่ เมื่ออีกฝ่ายทำงานสะเพร่าทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดขึ้นมาได้
“พวกมันปลอมตัวเป็นลูกเมียไอ้พวกนั้น เอาอาหารและเครื่องดื่มมาส่งให้ที่โรงพัก แต่ในนั้นมียาพิษผสมอยู่ ตอนนี้ทั้งหมดถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลแล้วครับ”
“บัดซบ!”
คราวนี้คริษฐ์เป็นฝ่ายสบถออกมาบ้าง ก่อนจะหมุนตัวก้าวยาวๆออกจากห้องผู้กองหนุ่มไปทันที โดยไม่คิดแม้แต่จะเอ่ยลาเจ้าของห้อง แต่ดูเหมือนว่าผู้กองจะเข้าใจเรื่องที่เกิดขึ้นดี เพราะเขาตอนนี้ก็อยู่ในอารมณ์ที่ไม่ต่างจากอีกฝ่ายเช่นกัน
…………………………………………………
ณ โรงพยาบาล
“คุณหมอคะ วันนี้ทีมอาสาจะลงพื้นที่ในหมู่บ้าน คุณหมอจะไปด้วยไหมคะ”
“ไปสิ แต่เดี๋ยวขอเตรียมอุปกรณ์ก่อน”
เจ้าจอมบอกกับพยาบาลสาวที่มาแจ้งข่าว ขณะที่ตัวเองเพิ่งเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน หลังจากที่จัดการล้างท้องคนไข้ที่ถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด่วน
“ค่ะคุณหมอ รถออกสิบโมงนะคะ”
พยาบาลสาวแจ้งอีกครั้ง ก่อนจะเดินออกไป เจ้าจอมที่กำลังจะเข้าห้องไปเตียมกระเป่ายา ต้องชะงักเท้าเมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของผู้พิทักษ์หนุ่มเดินตรงมาที่เขาด้วยท่าทางรีบรน
“อ้าว…ไอ้คิง มาทำไมวะ งานเสร็จแล้วเหรอ”
“กูจะมาดูไอ้พวกที่ถูกส่งมาโรงพยาบาล พวกมันเป็นไงบ้างวะ!”
“ล้างท้องให้แล้ว แต่ภายในถูกทำลายมากจนเกินไป ระบบทำงานในร่างกายล้มเหลวเกือบทั้งหมด ที่น่าจะรอดก็มีแค่สองคน แต่อาการหนักอยู่ คิดว่าน่าจะยังพูดไม่ได้อีกนาน”
“บ้าชิบ! พวกมันจงใจใส่ยาพิษในปริมาณมากขนาดนี้ กะจะไม่ให้พวกมันรอดเลยใช่ไหมวะ!”
คริษฐ์สบถออกมาอย่างหัวเสียหลังจากที่ฟังอีกฝ่ายพูดจบ ไม่รู้ทำไมไอ้พ่อเลี้ยงตัวร้ายถึงรอดจากการจับกุมครั้งแล้วครั้งเล่า สาวไม่ถึงตัวมันสักที
“กูจะบอกให้ผู้กองส่งคนมาคุ้มครองพวกมัน ถ้ามันรอดมาได้จะเป็นพยานให้กับเรา”
“อืม...ว่าแต่มึงดูเครียดไปนะไอ้คิง”
เจ้าจอมมองใบหน้าหล่อเหลาที่เคร่งขรึมของเพื่อนด้วยความรู้สึกเป็นห่วง แม้จะรู้ดีว่าอีกฝ่ายสามารถจัดการกับเรื่องงานได้ แต่หากเอามาเก็บเป็นความคิดมากไปจะก่อให้เกิดผลร้ายต่อสุขภาพได้
“ก็จะไม่เครียดได้ยังไง พวกมันเป็นพยานปากสำคัญที่จะลากคอคนที่อยู่เบื้องหลังขบวนการค้าไม้เถื่อนเข้าคุกนะ ถ้าพวกมันไม่รอดจะเอาไอ้ตัวการใหญ่เข้าคุกได้ยังไง!”
“วันนี้อาจจะไม่ใช่วันของเรา แต่สักวันความดีต้องชนะความชั่ว กูเชื่อแบบนั้น”
เจ้าจอมบอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นพร้อมกับยกมือขึ้นมาตบไหล่หนาของเพื่อนหนักๆทีสองทีเป็นการให้กำลังใจอีกฝ่ายให้เชื่อและศรัทธาในความดี ซึ่งดูเหมือนคริษฐ์จะรับรู้ด้วยหัวใจ และรู้สึกซาบซึ้งใจสำหรับกำลังใจดีๆ
“ขอบใจมากไอ้หมอ”
สองหนุ่มพูดคุยกันอีกสักพัก ก่อนที่พยาบาลคนเดิมจะกลับมาแจ้งข่าว
“คุณหมอคะ รถที่คุณหมอจะนั่งไปไม่มีคนขับรถให้ คุณหมอพอจะขับรถบนถนนลูกรังได้ไหมคะ”
คำบอกกล่าวพร้อมคำถามของพยาบาลสาวทำให้คริษฐ์ต้องหันมามองเพื่อนพลางเลิกคิ้วขึ้นสูง
“มึงจะไปไหนวะไอ้หมอ”
“ไปลงพื้นที่ในหมู่บ้าน”
“เดี๋ยวกูขับให้เอง มึงขับแต่รถในเมือง คงไม่ถนัดขับรถบนถนนปราบเซียนพวกนี้หรอก”
คริษฐ์อาสาขับไปให้ เพราะถนนเข้าหมู่บ้านส่วนใหญ่ในดอยผาหมอกนอกจากจะเป็นถนนลูกรังแล้ว ยังลาดชันคดเคี้ยวเป็นงูเลื้อย คนที่ไม่ชินทางอาจจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ ซึ่งเจ้าจอมก็พยักหน้าเห็นด้วยที่จะให้อีกฝ่ายเป็นสารถีให้ในวันนี้