ตอนที่ 1 : ความบังเอิญ
“หัวหน้าครับ ตอนนี้เราได้วางกับดักบริเวณเส้นทางที่คาดว่าขบวนการค้าไม้เถื่อนจะใช้ขนไม้เรียบร้อยแล้วครับ”
“อืมดี! ให้พวกเราวางกำลังประจำจุดอย่าให้คลาดสายตา ถ้าหากมีชาวบ้านผ่านมาทางนี้รีบสกัดไว้ อย่าให้เข้าถึงบริเวณที่เราวางกับดักอย่างเด็ดขาด! ไม่อย่างนั้นอาจจะเกิดอันตรายได้”
“ครับหัวหน้า!”
“ทีนี้ก็เหลือแค่รอ”
คริษฐ์ หรือ คิง หัวหน้าหน่วยพิทักษ์ป่าดอยผาหมอกวัยสามสิบปี ในชุดเครื่องแบบลายพรางสุดเท่ เจ้าของใบหน้าหล่อเหลาคมคาย นัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทดุจพยาเหยี่ยว คิ้วคมเข้มดกดำ อกผายไหล่ผึ่ง กระตุกยิ้มร้ายๆที่มุมปากหยักได้รูป ระหว่างนับถอยหลังในใจเพื่อรอเวลากำจัดไอ้พวกมอดไม้ที่ชอบทำลายป่าไม้ในประเทศไทย ต้นเหตุที่ทำให้ป่าต้นน้ำที่อุดมสมบูรณ์ต้องลดน้อยลงไปในทุกวัน
และแล้วเวลาที่รอคอยก็มาถึง เมื่อรถขนไม้คันใหญ่ที่บรรจุไม้สักทองเต็มลำรถแล่นออกมาจากป่า โดยมีรถกระบะสีดำอีกคันซึ่งมีชายฉกรรจ์หน้าโหดนั่งอยู่ไม่ต่ำกว่าห้าคนพร้อมด้วยอาวุธครบมือตามมาติดๆ
“ลุย!”
คำสั่งสั้นๆ ทว่าเสียงดังฟังชัดของหัวหน้าพิทักษ์ป่าทำให้เจ้าหน้าที่ที่หลบอยู่ตามหลังต้นไม้ขนาดใหญ่ตามจุดต่างๆโผล่ออกมาจากที่ซ่อนก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นมาติดๆ เพื่อสกัดรถของกลุ่มคนลักลอบตัดไม้ไว้
“ปังๆๆๆๆ!”
“ตู้ม!!!”
ฝ่ายเจ้าหน้าที่และฝ่ายคนร้ายปะทะกันอย่างดุเดือด เสียงปืนและเสียงระเบิดดังสะเทือนไปทั่วผืนป่า หมู่นกบนยอดไม้แตกตื่นบินหนีเตลิด สัตว์ป่าน้อยใหญ่ก็วิ่งกระจุยไม่คิดชีวิตเช่นกัน
กระทั่งเวลาผ่านไปราวครึ่งชั่วโมงเสียงปืนค่อยๆสงบลง คนร้ายถูกเจ้าหน้าที่ล้อมไว้ทั้งหมด เนื่องจากวางแผนมาเป็นอย่างดี ทำให้ไม่มีใครหนีรอดไปได้ ทว่าทั้งคนร้ายและเจ้าหน้าที่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บไปหลายคน
“เป็นยังไงบ้างซอมพอ”
คริษฐ์ รีบตรงมาหาลูกน้องคนสนิทเมื่อเห็นอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ เลือดสีแดงสดไหลออกมาจากแขนเป็นทางยาว
“ผมไม่เป็นไรมากครับกระสุนแค่เฉียดๆ หัวหน้ารีบไปดูคนอื่นก่อนเถอะครับ”
ซอมพอเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่ารูปร่างผอมบางบอกกับผู้บังคับบัญชาหนุ่มพลางใช้มืออีกข้างกดแผลไว้เพื่อห้ามเลือดที่ไหลไม่หยุด เมื่อเห็นว่าลูกน้องไม่เป็นอะไรมากคริษฐ์ก็ผละออกจากอีกฝ่ายแล้วเดินไปหาคนอื่นๆ นัยน์ตาคมกริบดุจพญาเหยี่ยวกวาดมองสำรวจไปรอบๆ ก่อนจะสรุปสถานการณ์ด้วยน้ำเสียงเฉียบ!
“เคลียร์!”
สิ้นเสียงคริษฐ์ เป็นอันเสร็จสิ้นภารกิจในครั้งนี้ ต่อไปก็เป็นหน้าที่ของตชด.หรือตำรวจตระเวนชายแดนที่เขาได้ประสานไว้ก่อนหน้านี้ และดูเหมือนตชด.จะมาถึงที่เกิดเหตุพอดี
“ฝากด้วยนะครับผู้กอง”
คริษฐ์บอกกับผู้กองหนุ่มที่มีนามว่าเพชร ให้มารับภารกิจต่อ เพราะตัวเองนั้นต้องรีบพาลูกน้องไปส่งโรงพยาบาล
“ครับหัวหน้า รีบพาคนเจ็บไปโรงพยาบาลก่อนเลย ทางนี้ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวผมจัดการเอง”
…………………………………………..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ณ โรงพยาบาลประจำอำเภอดอยผาหมอก อำเภอเล็กๆที่ตั้งอยู่บนดอยสูงทางตอนเหนือของประเทศไทย
“ไหวหรือเปล่าซอมพอ”
คริษฐ์หันมาถามลูกน้องคนสนิทด้วยน้ำเสียงเป็นห่วง ขณะที่หิ้วปีกคนเจ็บเข้ามาในโรงพยาบาล เมื่อสังเกตว่าอีกฝ่ายหน้าซีดอย่างน่าใจหาย
“ไหวครับหัวหน้า แผลแค่นี้สบายมาก”
“ทำเป็นพูดดี เลือดไหลจะหมดตัวอยู่แล้ว”คริษฐ์ต่อว่าลูกน้องด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะส่งอีกฝ่ายให้กับพยาบาลรับช่วงต่อ“ฝากด้วยนะครับคุณพยาบาล”
“ยินดีค่ะหัวหน้า”
พยาบาลสาวบอกพลางส่งยิ้มหวานมาให้กับชายหนุ่ม ทว่าคริษฐ์กลับไม่สนใจ นัยน์ตาคมกริบกวาดมองไปรอบๆโรงพยาบาลแล้วก็ต้องเอ่ยถามขึ้น ก่อนที่พยาบาลสาวจะทันเข็นคนเจ็บเข้าห้องฉุกเฉินเพื่อทำแผล
“ว่าแต่ทำไมวันนี้เจ้าหน้าที่เยอะเป็นพิเศษละครับ”
“พอดีมีทีมแพทย์อาสาจากกรุงเทพฯมาค่ะหัวหน้า”
“ทีมแพทย์อาสางั้นเหรอ”
คริษฐ์เลิกคิ้วขึ้นสูงอย่างแปลกใจเล็กน้อย เพราะดอยผาหมอกไม่มีทีมอาสาสมัครเข้ามานานแล้ว เนื่องจากเป็นอำเภอที่อยู่ห่างไกลความเจริญมาก ทำให้ไม่มีใครอยากจะมาทนลำบากที่นี่สักเท่าไหร่
แต่แล้วนัยน์ตาคมกริบสีดำสนิทก็สะดุดเข้ากับร่างสูงโปร่งของบุรุษหนุ่มหน้าหยกผิวขาวราวอิสตรี นัยน์ตาคมหวานในชุดกาวน์สีขาว ซึ่งกำลังโปรยยิ้มหวานอบอุ่นชวนใจสั่นแจกจ่ายไปทั่วบริเวณ ก่อนจะมาหยุดอยู่ที่ตนพอดี
“อ้าว…เฮ้ย!”
“อ้าว! ไอ้คิง”
สองหนุ่งเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันด้วยความยินดีเมื่อบังเอิญได้เจอกับเพื่อนเก่าสมัยเรียนมัธยม ที่ขาดการติดต่อกันนานหลายปีแล้วตั้งแต่เรียนจบมัธยมปลาย หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปเรียนตามความฝันของตัวเอง
“บังเอิญจังเลย ไม่ได้เจอกันนานสบายดีนะ”
คริษฐ์เอ่ยถามพลางคลี่ยิ้มส่งให้เพื่อนเก่า ไม่คิดว่าเพื่อนที่ไม่ได้เจอกันนานเกินสิบปี จะมาเจอกันในที่ที่ห่างไกลความเจริญแบบนี้
“สบายดี แล้วมึงล่ะ มาทำอะไรที่นี่วะ”
เจ้าจอมทายาทโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังในกรุงเทพฯ อีกทั้งยังควบตำแหน่งแพทย์ผ่าตัดมือหนึ่งของโรงพยาบาลตอบพร้อมกับย้อนถามอีกฝ่าย
“เห็นกูแต่งชุดอะไรก็มาทำงานนั้นแหละ”
คำพูดสุดกวนไม่เคยเปลี่ยนของคริษฐ์ทำให้เจ้าจอมต้องกวาดสายตามองบุรุษร่างสูงสง่าสุดเท่ ในชุดเครื่องแบบลายพรางตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะได้คำตอบ
“พิทักษ์ป่า ชุดแบบนี้เป็นเจ้าหน้าที่พิทักษ์ป่าใช่ไหมวะ”คริษฐ์พยักหน้าเบาๆให้แทนคำตอบ ก่อนจะย้อนถาม
“แล้วมึงล่ะมาเป็นแพทย์อาสาที่นี่เหรอวะ!”
“อืมกูเป็นหมอแล้ว และจะมาอยู่ที่นี่สักพัก”
“ยินดีต้อนรับสู่ดอยผาหมอกครับคุณหมอ”
“เฮ้ย! เรียกกูว่าไอ้จอมเหมือนแต่ก่อนดีกว่า”
เจ้าจอมร้องปรามเสียงหลง เมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนสรรพนามที่เคยเรียกตนสมัยเรียน
“เป็นหมอแล้วจะให้เรียกเหมือนเดิมได้ไงวะ! ต่อไปนี้กูจะเรียกมึงว่าไอ้หมอ”
“ตามใจมึง แต่กูจะเรียกมึงว่าไอ้คิงเหมือนเดิม”
“เอาที่มึงสบายใจเลย เพราะยังไงกูก็คือไอ้คิงเพื่อนมึงคนเดิม”
คริษฐ์ว่าพลางตบไหล่ของนายแพทย์หนุ่มหนักๆเป็นการยืนยันคำตอบของตัวเอง
“ว่าแต่มึงพักที่ไหนวะ”
“พักที่หน่วยพิทักษ์ป่า มึงจะไปพักกับกูหรือเปล่า”
“เอ่อ…ดีเหมือนกัน ที่นี่อาสาสมัครพักเต็มแล้ว ยังไงรอกูก่อนนะ ไปเอากระเป๋าก่อน”
“อืม”
คริษฐ์พยักหน้าให้ ก่อนที่อีกฝ่ายจะเดินกลับไปยังรถตู้คันใหญ่ที่รับแพทย์อาสาจากกรุงเทพฯพามาถึงที่นี่ เพื่อนำกระเป๋าเดินทางขนย้ายไปไว้ที่รถของเพื่อน
.............................................................
“อะไรกัน…เกิดมาเป็นคุณหนูอยู่ในเมืองดีๆไม่ชอบ ทำไมถึงได้หาเรื่องพาตัวเองมาลำบากถึงบนดอยแบบนี้วะ”
คริษฐ์หันมาถามคนที่กำลังนั่งเอนหลังพิงผนังเบาะรถข้างๆในท่าสบายๆ ขณะที่สายตาทอดมองวิวข้างทางระหว่างที่เขากำลังบังคับพวงมาลัยไปตามถนนคดเคี้ยวราวกับงูเลื้อยขึ้นเขา
“ก็เหมือนมึงไง พ่อรวยล้นฟ้าทำไมต้องมาทำงานเสี่ยงอันตรายแถมยังได้เงินเดือนเล็กน้อยแบบนี้ด้วยก็ไม่รู้”
เจ้าจอมเอ่ย ทั้งที่สายตายังคงทอดมองวิวที่น่าตื่นตาตื่นใจข้างทาง ระหว่างไปยังหน่วยพิทักษ์ป่าที่เพื่อนทำงานอยู่ จะว่าไปแล้วคริษฐ์ไม่ได้เป็นคนยากจนอะไร ตรงกันข้ามตระกูลของเขาทำธุรกิจโรงแรมที่มีสาขากระจายอยู่ทั่วทั้งเอเชีย แต่คงเพราะเป็นลูกคนเล็กของบ้านเลยได้มาตามล่าฝันอย่างที่ใจต้องการ
“ก็มันท้าทายดีนี่”
คริษฐ์ยักไหล่ตอบ แต่ไหนแต่ไรเขาชอบความท้าทายเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งเจ้าจอมที่เคียงข้างเขาสมัยเรียนรู้ดี และยิ่งเจ้าจอมได้เห็นลูกน้องของเขาที่เพิ่งจะได้รับแผลจากคมกระสุนติดรถมาด้วย เจ้าจอมก็ยิ่งมั่นใจว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะผ่านเหตุการณ์เดือดมา
“บ้าระห่ำ ป่าเถื่อนไม่เคยเปลี่ยน”
“ก็เหมือนมึงแหละ ชอบลองอะไรแปลกๆใหม่ๆไม่เปลี่ยนเหมือนกัน”
คริษฐ์ว่าอย่างรู้กัน ก็เพราะสมัยเรียนมัธยมปลายเจ้าจอมชอบลองอะไรแปลกๆใหม่ๆเลยเลือกเรียนแพทย์ ทั้งนี้ไม่ใช่เพราะถูกครอบครัวบังคับให้เรียนแต่อย่างใด แต่ที่เรียนก็เพราะความสมัครใจล้วนๆ เพื่อตอบสนองความอยากรูอยากลองของตัวเอง
เกือบครึ่งชั่วโมงรถจี๊ปสีดำคันใหญ่จอดสนิทลงบนยอดดอยสูงท่ามกลางหมอกฝนที่พัดผ่านทั่วบริเวณ คริษฐ์เปิดประตูเดินลงจากรถ โดยมีเจ้าจอม และซอมพอเดินตามลงมาติดๆ
“ไปพักเถอะซอมพอ ไว้แผลหายดีค่อยกลับมาทำงาน”
“ครับหัวหน้า”
ซอมพอรับคำ ก่อนจะเดินกลับไปยังที่พักของตน โดยมีเพื่อนร่วมงานเดินมาช่วยถือกระเป๋าให้ ส่วนคริษฐ์ก็พาเพื่อนเดินขึ้นบันไดที่ทำจากก้อนหินขนาดใหญ่ ขึ้นมายังจุดสูงสุดของหน่วยเช่นกัน
“ไงวะ ชอบหรือเปล่า”
คริษฐ์เอ่ยถามนายแพทย์หนุ่ม ที่เอาแต่ทอดมองวิวอย่างไม่ละสายตา
“อืม วิวสวย บรรยากาศดีสุดๆ น่าอิจฉามึงเป็นบ้า! ทำงานยังไงให้เหมือนได้พักตลอดเวลา”
วิวหน้าบ้านพักของคริษฐ์ที่สามารถทอดมองทิวเขาสลับซับซ้อนได้อย่างสุดลูกหูลูกตา แถมยังมีหมอกลอยไปมาให้เห็นทั้งที่เวลานี้ก็สี่โมงเย็นไปแล้ว ทำให้เจ้าจอมรู้สึกผ่อนคลายราวกับได้พักผ่อน
“อิจฉาก็มาอยู่ที่นี่ยาวเลยสิวะ”
“ไม่แน่ ถ้ากูติดใจอาจจะไม่กลับกรุงเทพฯแล้วก็ได้”
เจ้าจอมพูดทีเล่นทีจริง ก่อนที่คริษฐ์จะผลักประตูห้องแล้วเอ่ยบอก
“มึงพักห้องนี้แล้วกัน ถ้ามีอะไรก็เรียกได้ กูพักห้องข้างๆมึง”
“มึงไม่บอกกูก็รู้ บ้านทั้งหลังมีแค่สองห้องถ้าไม่ใช่ของมึงแล้วก็คงไม่ใช่ของใครหรอกจริงไหม”
“ทำเป็นรู้ดี”
คริษฐ์ว่าเพื่อน ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันเข้าห้องพัก แต่แล้วก็เหมือนคริษฐ์เพิ่งจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เลยเดินออกมาจากห้องของตัวเองเพื่อมาบอกกับอีกฝ่าย
“กูลืมบอกไป ที่นี่ไม่มีคลื่นโทรศัพท์ ไม่มีไฟฟ้าใช้ เครื่องปั่นไฟที่นี่จะทำงานถึงแค่สองทุ่ม ถ้ามึงจะทำอะไรก็รีบๆ ส่วนโทรศัพท์ถ้าต้องการใช้ก็ไปใช้ที่สำนักงาน”
“อืม ขอบใจ”
เจ้าจอมส่งเสียงตอบกลับไปผ่านประตูห้อง เพราะตอนนี้รู้สึกเพลียจากการเดินทางจนอยากจะงีบเอาแรงสักพัก ซึ่งคริษฐ์ก็ไม่คิดจะรบกวนอะไร กระทั่งคนเดินทางมาเหนื่อยๆเผลอหลับไปอย่างไม่รู้ตัว