I saw the life inside your eyes
“ฉันมองเห็นชีวิตในดวงตาของเธอ”
I choose to be happy
“ฉันเลือกที่จะมีความสุข”
WANMAI TALK
“เดินไปสิ..”
“ฉะ ฉันไม่กล้า”
“เขาอยู่ตรงนั้นแล้วนะ”
“....”
“มาขนาดนี้แล้ว ขืนเอาแต่ไม่กล้า ระวังหมาจะคาบไปกินตัดหน้าเอานะ”
ใบอ้อเหลียวมองฉันเล็กน้อย ใบหน้าขาวเนียนของเธอตอนนี้กำลังขึ้นสี เธอกำลังอาย แถมยังอายมากๆ เลยด้วย
“ฉัน....กลัวนี่” เธอบอกเสียงตะกุกตะกัก สองมือบีบกระชับตุ๊กตาหมีตัวเล็กในมือแน่น
“แต่เขากำลังรอเธออยู่นะ” ฉันพูดพลางเอื้อมมือจับไหล่ของเธอหมุนตัว ให้ระยะสายตาของใบอ้อตรงกับกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่งที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ หน้าทางเข้าคณะศิลปกรรมศาสตร์ โดยปกติแล้วพวกเขามักจะสุมหัวกันอยู่ห้าคน ต่างจากวันนี้ที่เหลือเพียงสี่คนเท่านั้น
ผู้ชายที่ทำให้เธอเขินมากขนาดนี้คงเป็นใครไปไม่ได้ หากไม่ใช่ ‘แผ่นดิน’ นักศึกษาปี3 คณะศิลปกรรมศาสตร์ ผู้ที่มีไลฟ์สไตน์ต่างจากนักศึกษาคนอื่นๆ ในคณะ เขาเป็นที่รู้จักกันดี เรื่องหน้าตาที่โดดเด่นกว่าคนอื่นๆ ในคณะ และขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายที่หวงหน้าตามากที่สุด นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม ใบอ้อถึงได้เขินและไม่กล้าเข้าไปเผชิญหน้ากับเขาแบบตรงๆ
เธอชอบเขา...
“ไปสิ เขาคงกำลังนั่งรอเธออยู่” ฉันเอ่ยปากย้ำใบอ้ออีกครั้ง โดยจับจ้องสายตาไปยังกลุ่มชายหนุ่มทั้งห้าที่ดูจะไม่สนใจใครหรืออะไรรอบตัวทั้งสิ้น
“เธอต้องเดินไปเป็นเพื่อนฉันนะวันใหม่”
“ได้เลย ไม่มีปัญหา”
ใบอ้อดูมีสีหน้าหมดห่วงและเริ่มก้าวเท้าไปข้างหน้าที่ละก้าวโดยมีฉันเดินตามหลังไปแบบติดๆ
“โอ้โห! ดูดิว่าใครมา” ‘วิศว’ เอ่ยปากทักทันทีที่เขาเหลือบมาเห็นเราทั้งคู่ “เมียมึงมาว่ะแผ่นดิน!” เขาเสริมอีกครั้งพลางสะกิดของบุคคลที่เป็นที่สนใจของใบอ้อ ให้เงยหน้าจากหน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ หันมองทางเราทั้งคู่ เขาคือสมาชิกหนึ่งในแก๊งส์เดียวกับแผ่นดินแต่คนละคณะ ฉันไม่ค่อยชอบปากหมอนี่สักเท่าไหร่ เพราะคำทักทายเวลาเจอหน้ากันนี่แหละ
“ยังไม่ใช่เมีย ไว้เอากันเมื่อไหร่แล้วจะมาเล่าสู่กันฟัง” แผ่นดินแย้งขึ้นปนเสียงขำโดยที่สายตาของเขาจับจ้องไปยัยใบอ้อที่แทบจะยืนตัวบิดเพราะความเขิน
“ฉันไม่ลดตัวลงเอาไปกับนายหรอกย่ะ ฝันต่อไปสิบชาติ!” ฉันเบ้ปากใส่คนตรงหน้าพลางกอดอกมองเขากลับไปแบบเหยียดๆ หมอนี่น่ะไม่ค่อยสนใจความรู้สึกของคนอื่นสักเท่าไหร่ ขนาดรู้ว่าใบอ้อคิดอะไรกับตัวเอง ยังจะกล้าพูดออกมาแบบนั้นอีก ไม่เข้าใจเลยว่าใบอ้อหลงชอบหมอนี่เข้าไปได้ยังไง
“มองไร!” เขาตวาดสวนกลับมาแบบไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ขณะลุกขึ้นยืนจ้องมองมาที่ฉันตาขวาง “คิดว่าน่าเอามากเลยมั้งเนี่ย”
“คิดว่าหล่อตายชักล่ะมั้งเนี่ย” ฉันบดริมฝีปากอย่างดูแคลน โดยยังคงจ้องสู้ตากับผู้ชายตรงหน้าแบบไม่สนใจ
แผ่นดินสาวเท้าเข้าประชิดตัวฉันทันทีแบบไม่ทันให้ตั้งตัว มือหน้ากระชากแขนฉันอย่างแรง บีบแน่น ใช้สายตามองเขม่นฉันแบบไม่พอใจ
“กวนตีนเหรอวะวันใหม่!”
“ปล่อยนะไอ้โรคจิต! ฉันเจ็บ!!” ฉันพูดพลางใช้มือทุบแขนเขาแรงๆ เพื่อหวังให้เขายอมปล่อย ดูเหมือนยิ่งฉันทุบเขาแรงมากเท่าไหร่ แผ่นดินก็ยิ่งจงใจจะบีบแขนฉันแรงมากขึ้นเท่านั้น
“เฮ้ย! วันใหม่เป็นผู้หญิงนะเว้ย จะฆ่ามันเลยหรือไง!” สมาชิกหนึ่งในกลุ่มร้องท้วงขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มอีกคน ท่าทางน่ารักๆ พุ่งตัวเข้าห้ามเราทั้งคู่ ซึ่งถ้าฉันจำไม่ผิด รู้สึกเหมือนว่าเขาจะชื่อ ‘เคมป์’ ส่วนคนที่เป็นคนร้องห้ามน่าจะชื่อ ‘ทัพบก’
“ถ้าเมื่อไหร่ที่เธอเป็นผู้ชาย ฉันจะต่อยปากเธอคนแรกเลยวันใหม่!”
“ก็ลองดูสิ!!” ฉันตวาดกลับไปอย่างท้าทาย
แผ่นดินกัดฟันกรอดพุ่งตัวเข้าใส่ฉันอีกครั้ง ก่อนจะถูกเคมป์รั้งตัวเอาไว้
“อย่าเยอะว่ะวันใหม่ ไม่ชอบ!”
“ใครเยอะก่อนล่ะ มันนายไม่ใช่เหรอ!”
“พอๆ ใหม่พอ!” เคมป์ดุฉันเสียงดังก่อนจะดึงตัวแผ่นดินออกห่างจากฉันไปในที่สุด เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงไม่เข้าใจว่าทำไมใบอ้อถึงได้ชอบแผ่นดินนักหนา ทั้งป่าเถื่อน ปากร้าย นิสัยแย่
“เอ่อ....แผ่นดิน” ใบอ้อที่อยู่ในเหตุการณ์ร้องทักออกมาอีกครั้งอย่างกล้าๆ กลัวๆ เหลียวมองฉันสลับกับแผ่นดินไปมา ก่อนจะพูดออกมาอีกครั้ง “แผ่นดิน...”
“อะไรวะ?” เขาตะคอกเสียงฉุนใส่ใบอ้อแบบไม่สนใจท่าทีของเธอที่ดูกล้าๆ กลัวๆ
เธอหลุบตาลงต่ำและนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดบางอย่างออกมาเสียงติดๆ ขัดๆ
“ฉัน....ชอบนายนะ”
ใบหน้าขาวเนียนของเธอในตอนนี้ขึ้นสีชัดยิ่งกว่าทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าแผ่นดิน แถมเธอยังดูสั่นมากกว่าเดิมเสียด้วย แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็ยังยื่นตุ๊กตาหมีตัวเล็กในมือส่งให้เขาตามอย่างที่เราตกลงกันเอาไว้
ใช่! เราตกลงกันเอาไว้แบบนี้
‘แก ฉันชอบแผ่นดินอ่ะ ช่วยฉันหน่อยสิ’
‘จะให้ฉันช่วยยังไงละ?’
‘ทำให้เขายอมตอบตกลงคบกับฉันที’
‘แต่ว่า...’
‘เราเพื่อนกันนะวันใหม่ ช่วยฉันสักครั้งนะแก’
คำขอจากปากของเพื่อนรักเพียงคนเดียวที่มี ทำให้ฉันไม่สามารถปฏิเสธคำขอของเธอได้ แม้ว่าฉันจะรู้สึกว่าเธอไม่ค่อยเหมาะแผ่นดินมากเท่าไหร่ก็ตาม
“ชอบฉัน?” เสียงทุ้มที่ย้อนทวนใบอ้อกลับไป ปลุกฉันจากภวังค์ ให้มองเหตุการณ์ตรงหน้าอีกครั้ง
แผ่นดินยังคงสีหน้านิ่งคล้ายกับไม่ได้รู้สึกอ่อนไหวหรือมีความรู้สึกอะไรกับสิ่งที่เพื่อนรักของฉันบอกออกไป วูบหนึ่งที่เขาละสายตาจากหน้าใบอ้อมาที่ฉัน วูบเดียวเท่านั้นฉันกลับรู้สึกแปลกๆ ในอกจนเผลอกำมือแน่นแบบไม่เข้าใจตัวเอง
“ไอ้คบด้วย มันก็คบได้นะ”
“.....”
“แต่การเป็นผู้หญิงของฉันมันต้องมีเงื่อนไข”
“’งะ เงื่อนไขอะไรเหรอจ๊ะแผ่นดิน?” นั่นสิ...เงื่อนไขอะไร นอกจากสันดานไม่ดียังจะมีเงื่อนไขเยอะอีกเหรอ!
“ผู้หญิงของฉันต้องซิง”
“...”
“เพราะฉันไม่ชอบสวมรอยทับใคร ไม่ชอบใช้ซ้ำของเก่าของคนอื่น”
“....”
“เธอคิดว่าตัวเองซิงมากพอที่จะคบกับฉันป่ะล่ะใบอ้อ?” เขาขยับรอยยิ้มบางแบบพอใจในคำถามของตัวเอง ต่างจากสายตาที่มองไปยังคนฟัง
ใบอ้อก้มหน้าทันทีที่ได้ฟัง ท่าทางเธอดูเขินสิ่งที่แผ่นดินถามออกมามากๆ ซึ่งให้ทาย ฉันว่านั่นเป็นตรรกะโง่ๆ ไว้ใช้หลอกเรื่องซิงไม่ซิงของเขาเสียมากกว่า
“คือฉัน...”
“ตอบดิ อย่าอ้ำอึ้ง ไม่ชอบ!” เขาตะคอกเร่งใบอ้อเพื่อคาดคั้นคำตอบ ในขณะที่ใบอ้อเริ่มสั่นไปทั้งตัวเพราะความอาย
“พอได้แล้วปะ? ถามอะไรใบอ้อวะ งี่เง่าว่ะ!” ฉันเอ่ยปากขัดสถานการณ์ตรงหน้า ที่ดูจะกดดันใบอ้อจนเธอสั่นไม่หยุด รีบพุ่งตัวเข้าไปดึงเพื่อนรักออกจากผู้ชายเหลี่ยมเยอะตรงหน้าทันที
“ยุ่งไรด้วยวะวันใหม่!”
“นายนั่นแหละถามอะไรใบอ้อ หลอกถามผู้หญิงหน้าด้านๆ”
“แล้วเธอเกี่ยวไรด้วยวะ?”
“ก็ใบอ้อเพื่อนฉันไง!!”
“หึ!” เสียงหึเบาๆ ในลำคอ ทำฉันเงียบเสียงลงมองผู้ชายตรงหน้าก้าวเท้าเข้ามาหาอีกครั้งช้าๆ โดยที่เพื่อนเขาทั้งหมดรีบลุกจากม้านั่งหิน เพื่อเตรียมตัวรับมือ “มีใครเคยบอกเธอป่ะ ว่ายุ่งเรื่องคนอื่นมากๆ เขาเรียกเสือก”
“หน้าตัวเมีย!” ฉันสบถด่าออกมาเสียงดัง จ้องเขม้นมองหน้าด้านข้างคนตัวโตตรงหน้าที่ถูกตบจนหน้าหันไปอีกทาง “มีใครเคยบอกนายหรือเปล่าล่ะ ว่าทำสันดานแบบนี้ เขาเรียกว่าหน้าตัวเมีย”
เพี๊ยะ!
แผ่นดินตวัดหางตามองฉันท่าทางโกรธจัดก่อนจะตะคอกเสียงออกมาอีกครั้ง
“ตบทำไม เป็นบ้าไรวะ!”
“ตบให้หายปากดีไง!”
“แค่ถามว่าเสือกไรด้วย เขาเรียกปากดีตรงไหนวะวันใหม่!” เคมป์รีบเสือกตัวเข้ามากันท่าทันที เมื่อให้เพื่อนรักของตนเริ่มสติแตก ขณะที่ทัพบกเป็นฝ่ายดึงตัวของแผ่นดินเอาไว้ และปล่อยให้วิศวเป็นฝ่ายดึงฉันออกห่าง
“พอเถอะว่ะ ทั้งคู่เลย ใหม่มันไม่ได้ตบมึงแรงเลย จะทะเลาะอะไรกันนักหนาวะ!” ทัพบกปรามใส่เราทั้งคู่ที่เอาแต่ปะทะสายตาราวกับจะฆ่ากันเสียตอนนี้
แบบนี้ทุกครั้ง...มันเกิดขึ้นทุกครั้งที่เราเจอหน้ากัน ไม่เขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน มันก็มักเป็นฉันเอง ทั้งที่พยายามจะไม่มีปัญหากับผู้ชายแบบเขาแล้วแท้ๆ แต่มันก็ไม่มีสักวันที่เราจะไม่ทะเลาะกัน จะเรียกว่าไม้เบื่อไม้เมา มันก็คงไม่ผิด
“ฉันยังซิงอยู่!!!” เสียงหวานเล็กๆ ดังขึ้นขัดสถานการณ์มาคุตรงหน้าและเรียกความสนใจสายตาของพวกเราทั้งหมดให้หันมองอย่างไม่เชื่อหู ว่าผู้หญิงขี้อายอย่างเธอจะกล้าพูดะไรแบบนี้ออกมา
ใบอ้อยังคงยืนก้มหน้าตัวสั่นในท่าเดิม มือของเธอบีบไปมาจนเริ่มแดงโดยที่ปากยังคงพูดคำพูดประโยคเดิมซ้ำไปมาด้วยเสียงที่แผ่วลง
“ฉะ ฉันยังซิงอยู่...”
เจ้าของคำถามสะบัดตัวเล็กน้อยให้หลุดจากฝ่ามือทัพบก เดินตรงไปหาใบอ้อโดยไม่พูดอะไร ริมฝีปากหยักลึกกระตุกยิ้มบางมองหน้าคนตัวเล็กตรงหน้าแบบพอใจ ก่อนจะดึงเธอเข้ามาแนบชิดลำตัว
เขาใช้นิ้วชี้และหัวแม่โป้ง เชยคางใบอ้อให้สบตากับตนอย่างช้าๆ ก่อนโน้มหน้าประกบริมฝีปากกับเพื่อนรักของฉันที่ได้แต่ยืนตัวแข็งไม่ทันตั้งตัวแบบไม่สนใจสายตาของใคร ราวกับว่าสถานที่แห่งนี้มีแค่เขากับใบอ้อเพียงสองคนเท่านั้น…
เพียงครู่เดียว ผู้ชายเจ้าเล่ห์ตรงหน้าก็ยอมผละริมฝีปากออกพร้อมด้วยรอยยิ้มร้ายๆ กับสายตาแสดงความเป็นเจ้าของในที่สุด
“เธอเป็นของฉันตั้งแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป...”
“จะ จริงเหรอ?” ใบอ้อหลุดถามออกมาแบบไม่เต็มเสียง เธอมีท่าทางกระงกกระเงิน เพราะความเขินอาย แถมท่าทางของเธอมันยังเพิ่มระดับขึ้นเรื่อยๆ
“อย่าถามซ้ำทำเหมือนโง่ดิใบอ้อ”
“ฉันขอโทษนะ...พอดี ฉันตื่นเต้นน่ะ”
“ทุกวันเธอต้องมาหาฉันตรงนี้ เข้าใจที่พูดไหม?”
“เข้าใจจ๊ะ!” ใบอ้อรับคำเสียงแจ๋วราวกับเป็นลูกแมวเชื่องๆ เชื่อฟังเจ้านาย
จะไม่พอใจท่าทางของเธอตอนนี้ที่ดูเกินหน้าเกินตาไปหน่อย มันก็ดูจะใจร้ายเกินไป ฉันก็ทำไม่ลงหรอก... ในเมื่อความต้องการทั้งหมดของเธอมันได้มาถึงแล้วจริงๆ ถึงเวลาที่ฉันควรจะแสดงความยินดีกับเพื่อนรักจริงๆ จังๆ สักที
ฉันคลี่ยิ้มบาง มองใบอ้อที่เหลียวหลังมองฉันด้วยความตื้นตัน เธอละตัวออกจากฝ่ามือหนาของแผ่นดิน โผเข้าสวมกอดฉันแน่นทั้งน้ำตา
“ขอบใจนะ ขอบใจนะวันใหม่!”
“ไม่เป็นไร อย่าร้องสิ”
“ไม่โกรธฉันใช่ไหม...วันใหม่”
“ไม่หรอก ฉันยินดี...”
ใบอ้อเงยมองฉันยิ้มๆ สีหน้ายังคงแฝงไว้ซึ่งความกังวล เป็นเพราะเธอเองก็รู้ดี ว่าฉันกับแผ่นดินไม่ค่อยลงรอยกัน และทุกครั้งที่ฉันต้องมาคุยกับแผ่นดินเพื่อ่วยเธอ ทำให้เราเริ่มทะเลาะกันหนักกว่าเก่า แต่ว่าฉันชินกับเรื่องแบบนี้ไปแล้วล่ะ และฉันก็คงต้องรับมือกับเรื่องนี้ให้มากขึ้นกว่านี้ ถ้าหากใบอ้อต้องมาเจอหมอนี่ที่นี่ทุกวัน
วันต่อมา...
ปูนปั่นรูปหญิงสาวขณะเหมาะมือ ถูกฉันอุ้มวิ่งไปตามทาง หลังจากเลิกคลาสตามคำสั่งของอาจารย์ นี่มันก็ใกล้เวลาที่ใบอ้อจะมาหาแผ่นที่หน้าตึกคณะแล้วด้วย หากคาดสายตาเพียงนิดเดียว ไม่รู้หมอนั่นจะทำละลาบละล้วงใส่เพื่อนฉันหรือเปล่า
ผลั่ก!
ร่างฉันเซเล็กน้อยเมื่อวิ่งชนเข้ากับใครบางคนที่เดินสวนออกมาจากห้องกิจกรรมอย่างแรง โดยพยายามประครองไม่ให้ปูนปั้นที่อุ้มมาแตกเสียหาย ก่อนจะตวัดหางตามองคู่กรณีตรงหน้า
“มองไร” แผ่นดินถามน้ำเสียงเชิงตะคอกใส่ฉัน พลางม้วนกระดาษอาร์ตในมือราวกับจะหาเรื่อง
“หลบไป ฉันยังไม่ว่างทะเลาะกับนาย”
“ดูใช้คำดิ เธอคิดว่าเธอเป็นใครวะ?” เขาเบือนหน้าหันไปทางอื่นแบบไม่สนใจ เหมือนว่าการเผชิญหน้าของเราในเวลานี้เป็นเรื่องน่าเบื่อ “คิดว่าฉันอยากเสียเวลาทะเลาะด้วยมากหรือไง”
“งั้นก็หลบไป!”
“ไม่หลบ! มีไรปะ?”
“….”
“....”
เพราะฉันไม่อยากเสียเวลากับเรื่องไร้สาระตรงหน้าแบบนี้ จึงตัดสิบใจดับเครื่องชน จนเขายอมหลีกทางให้ฉันเดินเอาปูนปั้นในมือเข้าไปเก็บในห้องกิจกรรมได้ในที่สุด
“เธอแม่งโคตรไร้มารยาทเลยว่ะวันใหม่”
“.....” นายมารยาทดีตายเลยแหละ ฉันสบถด่าเขาในใจ พยายามไม่สนใจคำพูดต่อว่าของผู้ชายไร้มารยาท เพื่อเก็บงานประติมากรรมในมือให้เสร็จ เพื่อจะได้รีบๆ ออกไปหาใบอ้อ ทว่า
“ฉันพูดด้วยอย่าทำหยิ่งได้ปะ?”
ยิ่งฉันทำตัวเงียบไม่ตอบโต้เขากลับไป ดูเหมือนเขาจะยิ่งได้ใจ พูดต่อว่าฉันไม่หยุด
“ทำตัวแบบเนี่ย เดี๋ยวก็หาผัวไม่ได้หรอก!”
“เสือกอะไรด้วย?” ฉันย้อนเสียงแข็ง ค่อยๆ เหลียวหลังมองเขาที่เอาแต่ยืนหาเรื่องอยู่ที่หน้าประตูแบบไม่พอใจ นี่คงเป็นสิ่งที่เขาต้องการ การทะเลาะกันของเราสองคน ที่ฉันเหนื่อยหน่ายกับมันที่สุด
“เป็นผู้หญิงหัดพูดจาให้เกียรติผู้ชายหน่อยดิ”
“ผู้ชายที่ไม่เคยให้เกียรติผู้หญิงแบบนาย มันไม่จำเป็นหรอก” ฉันโต้กลับด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง ขณะเดินตรงไปยังทางออกห้องกิจกรรมเพื่อหวังยุติการทะเลาะกันตรงนี้ให้จบลง
“เธอด่าฉันทำไมว่ะวันใหม่!”
แผ่นดินจงใจเอี้ยวตัวขวางทางเข้าออกห้องกิจกรรม นัยน์ตาเรียวรีจ้องหน้าฉันแบบไม่สบอารมณ์
“ฉันไม่มีเวลามาทะเลาะเรื่องไร้สาระกับนายนะแผ่นดิน” ฉันตัดบทออกไปด้วยความรู้สึกเหนื่อยหน่าย ฉันเบื่อ เบื่อเหลือเกินที่ต้องมาคอยต่อปากต่อคำกับเขาแบบนี้ทุกวัน
“ก็ตอบมาดิ ว่าด่าฉันทำไม!”
“ก็ดูสันดานของตัวนายเองดิ ทำเพื่อไรวะ ฉันไม่เข้าใจ!”
ฟึบ!
แผ่นดินใช้มือผลักไหล่ฉันให้ถอยหลังห่างออกไป พร้อมทั้งปิดประตูห้องกิจกรรมลงทันที เขาเหยียดยิ้มร้ายกาจออกมา และใช้สายตามองฉันคล้ายกับเกลียดชัง
“สะใจ เข้าใจป่ะ?” เขาพูดเสียงเรียบจ้องฉันด้วยแววตาเดิมๆ “หมั่นไส้ เลยอยากแกล้งมีไรป่ะ?” เขาถามซ้ำ
“ไม่เหนื่อยบ้างไง? ที่ต้องตามมากัดฉันทุกเวลาแบบเนี่ย!”
“....”
“พอเถอะ ฉันจะออกไปหาใบอ้อ”
“ใบอ้อแฟนฉัน ไม่ต้องยุ่งมากได้ป่ะ?” เขาขัดด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างจากเดิม ราวกับห่วงเพื่อนรักฉันหนักหนา ทั้งที่เพิ่งคบกันเมื่อวาน เหอะ! จริงๆ แล้วเขากะจะหาเรื่องทะเลาะเพิ่มละสิไม่ว่า -_-
ฉันช้อนตามองคนตรงหน้าเล็กน้อย ถอนหายใจออกมายาวๆ
“นายไม่เหนื่อยเรื่องที่เราทะเลาะกันบ่อยๆ แต่ฉันเหนื่อยว่ะ”
“อะไรวะ แค่นี้เหนื่อยเหรอ?”
“....” นี่เขาไม่คิดจะหยุดจริงๆ ใช่ไหม?
“หึ!” แผ่นดินหัวเราะหึในลำคอท่าทางเจ้าเล่ห์ ก่อนจะปล่อยกระดาษอาร์ตในมือลงแล้วพุ่งมือเข้าคว้าแขนฉันเอาไว้แทนอย่างแรง “ฉันถามก็ตอบดิวะ!”
ในเวลานี้ฉันไม่อาจจะคาดเดาได้เลย ว่าแผ่นดินจะทำอะไรใส่ฉัน ขืนยังอยู่ต่อ มีหวังต้องทะเลาะกันใหญ่โตเหมือนทุกที ดูท่าในคราวนี้ ฉันคงจะเสียเปรียบกว่าเขาที่เป็นผู้ชายเป็นไหนๆ ฉันต้องรีบปลีกตัวออกห่างจากเขาให้เร็วที่สุด
“เออเหนื่อย! พอใจยัง? ทีนี้ก็ปล่อยฉันได้แล้ว!”
ทว่า... คำตอบที่ฉันพูดออกไปกลับทำให้มือแกร่งบีบรัดแขนฉันแน่นขึ้น รอยยิ้มทรงเสน่ห์อย่างที่หลายคนหลงใหล บัดนี้กำลังปรากฏต่อหน้าฉันซึ่งมันขัดกับสายตาของเขาที่มองกลับมาสิ้นดี
“มีเรื่องให้เหนื่อยกว่านี้เยอะเลยรู้ป่ะ?”
“อะไรอีกของนายอีกวะ ฉันเจ็บ ปล่อยดิ!”
“จะอะไรซะอีกล่ะ? ก็ไอ้เรื่องเหนื่อยๆ ที่ฉันพูดถึงไง”
“....”
“เรามาลองทำกันดูสักทีเอาป่ะ?”