บทที่3
ดวงตากลมโตเต็มไปด้วยหยาดน้ำตา ภายในห้องนอนเงียบสงัด สตรีผู้หนึ่งนั่งมองท้องฟ้ายามค่ำคืน หน้าต่างที่เปิดอ้างจนไอเย็นพัดผ่านเข้ามา ยังไม่เหน็บหนาวเท่าหัวใจของนางในยามนี้ นางวาดฝันเอาไว้อย่างงดงาม ยอมทำทุกสิ่งเพื่อให้บุรุษที่นางปักใจ คิดแค่ว่าหากได้แต่งงานกันและเข้ามาอยู่ในฐานะพระชายาของคนผู้นั้นแล้ว วันหนึ่งเขาหันมาจะมองนางบ้าง
ไม่ต้องรัก
ไม่ต้องชอบ
แค่เป็นอะไรก็ได้สถานะใดก็ได้ขอแค่ได้นอนเตียงตั้งเดียวกัน
แต่พอเอาเข้าจริงๆ นางกลับไม่เคยทำใจได้เลย แววตาที่เขามองนางนับวันยิ่งห่างเหิน บุรุษผู้นั้นที่นางเรียกว่าพระสวามีไม่เคยย่างกลายมาที่ตำหนักจิ่วเฟิ่นที่นางพักอาศัยอยู่เลยสักครั้ง ไม่เคยเลย
สองปีแล้ว สองปีที่คุณหนูตระกูลสูงศักดิ์เช่นนางต้องมีชีวิตจมอยู่กับน้ำตา
นางรักเขาตั้งแต่แรกพบที่งานชมดอกไม้ในอุทยาน ตอนชายหนุ่มหันมาแล้วแย้มยิ้มให้กัน รอยยิ้มหวานเชื่อมที่ส่งมาทำหัวใจสาวน้อยสั่นไหว ตั้งแต่วันนั้นนางก็มอบใจดวงนี้ให้เขาจนหมด เมื่อทราบข่าวว่าฮ่องเต้กำลังจะทำการคัดเลือกพระชายาให้เหล่าองค์ชาย จื่อหยางเป็นหนึ่งในบรรดาคณหนูที่คาดว่าจะถูกเลือกให้เข้าร่วมการคัดเลือก
องค์ชายทั้งสี่พระองค์ของฮ่องเต้
นางคือจื่อหยางเป็นถึงบุตรสาวคนเล็กของเสนาบดีกรมวัง แน่นอนว่าหากนางได้รับเลือกเป็นพระชายาขององค์ชายพระองค์ใดพระองค์หนึ่ง ต้องช่วยเหลือและเป็นขุมกำลังให้สามีของนางได้มากเลยที่เดียว แต่นางกลับหมายตาคนเพียงผู้นั้น
องค์ชายสี่โจวตงอวี่ผู้ไร้ประโยชน์ ตัวโง่งมแห่งราชสำนัก พระองค์เป็นองค์ชายที่ได้รับความโปรดปราณจากฮ่องเต้น้อยที่สุด สาเหตุก็มาจากตัวขององค์ชายเอง งานราชกิจไม่เคยทำ วันๆ เอาแต่เที่ยวเล่นเสเพล เคล้าสุรานารีเป็นนิจ แล้วอย่างไร ใครจะพูดถึงองค์ชายสี่เช่นไรนางหาได้สนใจไม่ นางรักของนาง
หากนางแต่งให้เขา จื่อหยางเชื่อว่าประโยชน์ที่องค์ชายโจวตงอวี่จะได้จากตระกูลของนางย่อมมีมากมาย
คุณหนูอีกผู้หนึ่งที่เป็นคู่แข่งในสนามแห่งอำนาจครั้งนี้ เป็นตัวเลือกอันดับหนึ่งที่องค์ชายทั้งหลายต่างพากันแย่งชิงก็ว่าได้ ไป๋ฟางหลัน หากองค์ชายโจวตงอวี่อยากกลับมามีอำนาจและมีตัวตนในสายตาฮ่องเต้อีกครั้ง เขาต้องแข่งขันกับองค์ชายพระองค์อื่นเพื่อชนะเอาชนะใจคุณหนูไป๋ผู้นั้นเป็นแน่ และจื่อหยางจะไม่ยอมให้เป็นเช่นนั้น หากจะว่ากันด้วยฐานะตระกูล ฐานะอำนาจไม่ว่ามองมุมใดไป๋ฟางหลันก็เหนือนางไปเสียทุกด้านนางไม่อาจเทียบเคียงสตรีผู้นั้นได้เลย
แต่ในบรรดาองค์ชายทุกพระองค์ คนที่บิดาของนางไม่ต้องการให้นางแต่งานด้วยก็คงจะไม่พ้นองค์ชายสี่ เมื่อรู้เช่นนั้นจื่อหยางจึงตัดสินใจทำบางอย่าง นางเดิมพันด้วยชีวิตของตนเอง หากนางไม่ได้แต่งเป็นพระชายาองค์ชายสี่แล้วชีวิตนางก็ไร้ความหมาย
หากต้องแต่งเข้าวังองค์ชายพระองค์อื่นนางจะไม่ขอมีชีวิตอยู่
มีหรือบุตรสาวคนเดียวคิดจะจบชีวิตตนเองเช่นนั้น เสนาบดีจื่อจะทนได้ เสนาบดีจื่อไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ ชายชราบากหน้าเข้าเฝ้าฮ่องเต้ร้องขอพระราชาทานสมรสให้บุตรสาวคนเล็ก ศักดิ์ศรีของเขาแลกกับชีวิตของจื่อหยาง เมื่อฮ่องเต้ได้ฟังพระองค์แทบอยากจะให้จัดงานแต่งในวันรุ่งขึ้นเสียเลยด้วยซ้ำ เพราะโอรสไม่เอาไหนอย่างโจว่าตงอวี่ อย่างน้อยๆ ก็มีตระกูลเสนาบดีหนุนหลังคงจะได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง
จื่อหยางนางยังจำคือแรกของการเข้าหอได้ไม่มีวันลืม ทันทีที่ผ้าคลุมเจ้าสาวถูกเปิดออก ภาพแรกร่างสูงใหญ่ที่นางฝันเห็นทุกค่ำคืนเขามาปรากฏตัวเบื้องหน้าของนางแล้วไม่ใช่แค่ในความฝัน นางส่งยิ้มให้พระสวามี แต่กลับได้นัยย์ตาเย็นเฉียบส่งมาแทน จื่อหยางยกยิ้มค้างนางขนลุกไปถึงไขกระดูก
"ในเมื่ออยากแต่งงานเข้ามา ข้าก็ให้เจ้าเข้ามา ข้าขอเพียงเจ้าอยู่ในที่ของเจ้า ข้าอยู่ในที่ของข้าอย่าคิดตามหึงหวงข้าเป็นอันขาด ก่อนแต่งข้าเป็นเช่นไรหลังแต่งข้าก็ยังคงเป็นเช่นนั้น"
โจวตงอวี่โยนผ้าคลุมสีแดงด้วยปักหงส์ตัวใหญ่ลงพื้น เขาไม่เคยคิดจะแต่งพระชายา เขาแค่อยากมีความสุขกับสตรีที่เขาโปรดปราณแม้พวกนางจะไม่ได้เกิดมาในตระกูลขุนนาง แต่เขาอยู่กับพวกนางแล้วมีความสุข แต่สตรีผู้นี้กลับใช้ความตายมาเป็นเครื่องมือให้เสด็จพ่อยอมพระราชทานงานแต่งให้ เกิดมาสูงส่งเสียเปล่าแต่กลับสิ้นคิด
"พระองค์จะไปไหนเพคะ" เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจบก็สะบัดชายเสื้อหมุนตรงไปที่ประตู จื่อหยางรีบร้องห้าม อย่างน้อยๆ ได้ร่วมหอกันก็ยังดี จากนี้ไปนางก็ได้เป็นพระชายาของเขาอย่างเต็มตัว
"ข้าเสียเวลากับความเอาแต่ใจของเจ้ามากพอแล้ว จื่อหยาง ไม่สิ พระชายาของข้า เจ้าได้เป็นพระชายาขององค์ชายสี่ตามที่ใจหมาย ก็ถึงเวลาที่ข้าจะหาความสุขใส่ตัวบ้างแล้ว หลับให้สบาย กอดตำแหน่งที่เจ้าอยากได้เอาได้ให้แน่นก็แล้วกัน" พูดจบโจวตงอวี่ก็เดินออกจากห้องหอไป ไม่สนนางกำนัลหรือองครักษ์ที่มองด้วยแววตาสงสัย เหมยเหมยรอเขาอยู่ นางรู้ว่าวันนี้คือวันแต่งพระชายาของเขา เขาทิ้งให้นางไม่สบายใจเพียงลำพังไม่ได้
องค์ชายสี่โจวตงอวี่ควบม้าออกจากวังไปในกลางดึกคืนเข้าหออย่างเปิดเผย จนที่เป็นโจรจัญไปทั้งเมืองหลวงว่า คุณหนูสกุลจื่อไม่อาจมัดใจองค์ชายสี่เอาไว้ได้ แม้แต่คือเข้าหอพระองค์ยังรีบกับไปปลอบใจนางคณิกาที่หอโคมเขียว
จื่อหยางต้องอยู่อย่างอดสูมาตลอดหลังจากคืนนั้น แต่ภายในใจนางยังคงหวังลึกๆ ว่าอย่างน้อยเขาและนางยังอยู่ในรั้วกำแพงเดียวกัน เห็นหน้ากันบ่อยครั้ง ทุกสิ่งอย่างคงดีขึ้น แต่แล้วเพียงแค่เดือนเดียวพระสวามีของนางก็ไถ่ตัวนางคณิกาที่เขาโปรดปราบ สร้างเรือนให้อยู่ พาพวกนางเข้ามาเหยียบหัวใจนางถึงในวังเฉิงตง
"อยู่ไปเพื่อสิ่งใด ท่านไม่เคยคิดจะรักข้าเลย ไม่แม้แต่พยายาม ทั้งๆ ที่ข้าพยายามทุกอย่างเพื่อให้ได้อยู่ใกล้ท่าน" หยดน้ำตาไหลอาบแก้มนวล นางเจ็บเจียนตายทุกครั้งที่เดินผ่านสวนดอกไม้ ได้ยินเสียงหัวร่อต่อกระซิกระหว่างสามีของนางกับหญิงคณิกาพวกนั้น ยิ่งเวลาผ่านไปจำนวนพวกนางก็มีเพิ่มขึ้น จากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสาม จนตอนนี้รอบกายของโจวตงอวี่รายล้อมไปด้วยสตรีสกปรกเหล่านั้น
จื่อหยางก้มลงมองจอกน้ำชาในมือ
ข้าอยู่เพื่อให้ท่านมองข้าอย่างไร้ตัวตนต่อไปไม่ไหวแล้ว หากข้าจากไป…ท่านจะจำข้าได้ใช่หรือไม่
มือบางกลั้นใจยกจอกน้ำชาขึ้นดื่มรวดเดียว ลมหายใจเริ่มขาดห้วง สติเริ่มเลือนลาง แต่ในห้วงความคนึงยยังมียังมีเพียงรอยยิ้มในคราแรกที่โจวตงอวี่ยิ้มให้นาง
นางลอบหยิบสารหนูจากห้องเก็บยามาเก็บไว้ที่ละน้อย จื่อหยางแอบใส่น้ำชาดื่มที่ละนิดไม่ให้ใครล่วงรู้แม้กระทั้งนางกำนัลคนสนิท นางหวังว่าการเจ็บป่วยเล็ก ๆ น้อยๆ ของนางจะทำให้เขาแวะมาเยี่ยนเยียนบ้าง
แต่เปล่าเลยบุรุษผู้นั้นไม่เคยมา
ไม่เคยมาเหยียบตำหนักจิ่วเฟิ่นของนางเลยสักครั้ง ครั้งนี้จื่อหยางตัดสินใจใส่สารหนูลงในน้ำชามากกว่าทุกครั้ง สิ่งนี้อาจคือยาพิษสำหรับผู้อื่นแต่สำหรับนางแล้ว นี่อาจจะเป็นหนทางเดียวที่นางจะหลุดพ้นจากพิษรักได้
ร่างบางล้มลงนอนกับพื้นห้องอย่างหมดแรง ความแสบร้อนวิ่งแล่นไปทั่วร่าง นางดิ้นทุรนทุรายสักพักหลังจากกระอักเลือดออกมากองใหญ่ ไม่ช้าร่างนั้นก็แน่นิ่งไป