บทที่ 7 แฟนคลับหัวรุนแรง

1775 Words
บทที่ 7 แฟนคลับหัวรุนแรง ตอนแรกไส้เทียนว่าจะเดินเล่นอยู่ในห้างอีกสักพัก แต่พอนึกถึงสายตาที่น่าขนลุกนั่นก็เลยเปลี่ยนใจกลับบ้านแทน เขาค่อนข้างเชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง เมื่อร่างสูงโปร่งเดินออกจากร้านคาเฟ่แล้ว สิบก็เอ่ยขึ้น "คุณไส้เทียนออกจากร้านแล้ว จะทำยังไงต่อครับ" ความหมายของสิบก็คือ ในเมื่อเป้าหมายออกไปแล้วก็ควรตามไปถ้าหากคิดจะจีบ หรือถ้าไม่ก็ควรกลับไปที่บริษัท "ฉันเห็นแล้ว" กองทัพเอ่ยเสียงนิ่งก่อนจะวางหนังสือไว้ในชั้นเหมือนเดิม แล้วเดินออกจากร้านหนังสือด้วยท่าทีสง่าผ่าเผยราวกับเมื่อ 1 ชั่วโมงที่ผ่านมาไม่ได้ทำตัวเป็นตาเฒ่าวิตถาร ทิ้งให้เจ้าของร้านหนังสือแอบเสียดายเล็กน้อย ต่อให้หนุ่มหล่อจะอยู่ในร้านหนังสืออีกสักครึ่งวันเธอก็ยินดี ไม่นานนักไส้เทียนก็ออกจากห้างมามองหารถโดยสารที่จะกลับบ้าน "อะ!?" แรงชนจากด้านหลังทำให้ร่างบางเซไปด้านหน้า แม้ว่าตรงที่รอรถจะไม่ได้มีรถมาก แต่เหมือนไส้เทียนจะโชคไม่ดี เพราะกำลังมีรถแท็กซี่วิ่งมา เขาเบิกตากว้าง เสี้ยววินาทีที่หันไปมองด้านหลังก็เห็นเด็กวัยรุ่นแสยะยิ้มให้ อ๊าก! ยัยเด็กนั่นมันจงใจชนเขา ทั้งที่รู้ว่ารถแท็กซี่กำลังจะมา! ถ้าร่างอันบอบบางของน้องชายสุดที่รักมีรอยแผลละก็ เขาจะตามจองเวรจองกรรมไปชั่วชีวิต!! ก่อนที่ร่างบางจะล้มไปด้านหน้า ในเสี้ยววินาทีนั้นก็มีมือใหญ่คว้าไว้ก่อน "นายทำบ้าอะไรฮะ!" เสียงตะคอกถามทำให้ไส้เทียนตกใจจนสะดุ้ง พอหันไปมองก็พบกับกองทัพที่กำลังทำหน้าทะมึนราวกับไปโกรธแค้นใครมา "ขอโทษครับ" ไส้เทียนเอ่ยด้วยท่าทีมึนงง ดูเหมือนดวงของเขาจะสมพงศ์กับพ่อตัวร้ายจริง ๆ แล้วก็ดูเหมือนเขาจะติดหนี้อีกฝ่ายอีกครั้ง ทำไมกันนะ ทั้งที่เขาไม่อยากเจอหน้ากองทัพแท้ ๆ ทำไมชอบวนเวียนมาเจอกันตลอด ถ้าหากเป็นผู้ชายคนอื่นเขาคงคิดว่าเป็นเนื้อคู่ แต่ถ้าเป็นกองทัพน่ะเหรอ เหอะ อย่าหวัง แม้จะเกลียดอีกฝ่ายไม่เท่าดินแดนกับเอก แต่ก็เหม็นขี้หน้าพอสมควร "เฮ้อ แล้วนายเจ็บตรงไหนไหม" กองทัพถามเสียงอ่อน เมื่อเห็นสีหน้าสำนึกผิดของไส้เทียน "ไม่เจ็บตรงไหนครับ ขอบคุณมากที่ช่วยผม" ไส้เทียนเงยหน้าสบตากับกองทัพ สีหน้าของอีกฝ่ายดูผ่อนคลายขึ้นมากกว่าเดิม เป็นอีกครั้งที่เขาได้สำรวจใบหน้าของตัวร้าย รูปร่างหน้าตาที่หล่อ และบุคลิกท่าทางสุขุม แม้จะอายุเข้าเลข 3 แล้วแต่ความดูดีไม่มีท่าทีว่าจะลดลงเลย ขนาดอยู่ท่ามกลางฝูงชนยังโดดเด่นโดยไม่จำเป็นต้องทำอะไร "อ๊ะ จริงสิ!" ไส้เทียนมองไปด้านหลังเมื่อนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถูกผลักออกมา ก่อนจะแปลกใจเมื่อเห็นเด็กสาวคนนั้นถูกผู้ชายคนหนึ่งกันไว้ไม่ให้หนี "นายครับ เอายังไงกับเด็กคนนี้ดีครับ" ผู้ชายคนนั้น ซึ่งก็คือสิบเอ่ยถาม จังหวะที่คุณไส้เทียนถูกผลักออกไปเขากับเจ้านายเห็นเข้าพอดี เขาเลยกันหญิงสาวไว้ได้ "พวกคุณมีอะไรคะ พวกคุณกำลังคุกคามฉันในพื้นที่สาธารณะนะคะ" เธอกล่าวพร้อมกับถอยหลังด้วยสายตาหวาดระแวง เธอมั่นใจว่าเมื่อกี้นี้ไม่มีใครเห็นแล้วแท้ ๆ เพราะระหว่างที่ผลักเธอเอาตัวบังไว้ด้วย "จะตามไปดี ๆ หรืออยากไปนอนในคุกในข้อหาเจตนาฆ่า อย่าคิดว่ากล้องวงจรปิดแถวนี้จับภาพไม่ได้" กองทัพเอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา แววตาของกองทัพจริงจัง บ่งบอกว่าไม่ได้พูดเล่น ทำให้หญิงสาววิตกกังวลทั้งที่ตอนแรกคิดว่าจะหนีไปได้อย่างง่ายดาย ไม่คิดว่าไส้เทียนจะมีคนอื่นมาด้วย กองทัพไม่ได้พาเธอไปที่ลับตา แต่พาไปนั่งที่สวนสาธารณะที่อยู่ด้านข้างของห้างสรรพสินค้า แม้ว่าจะเป็นสวนสาธารณะ แต่ช่วงเวลานี้แทบไม่ค่อยมีคน "เธอทำแบบนี้ทำไม"ไส้เทียนเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เขาจำไม่ได้ว่าตัวเองไปทำอะไรให้ใครเดือดร้อน "นายยังกล้าพูดด้วยเหรอ! นายทำให้เอกร้องไห้!" หญิงสาวที่ตอนแรกเดินตามมาอย่างสงบเสงี่ยมแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน เธอตะโกนขึ้นพร้อมกับชี้นิ้วใส่ไส้เทียน ไส้เทียนยกมือห้ามสิบกับกองทัพไว้ เมื่อเห็นว่าทั้งคู่กำลังจะเดินไปจัดการเธอ หญิงสาวเป็นแฟนคลับของเอกสินะ เขาไม่คิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย มันเป็นความผิดพลาดของเขาเอง ไม่คิดว่าในกลุ่มแฟนคลับจะมีพวกหัวรุนแรงไม่เกรงกลัวกฎหมายอยู่ ไม่อยากจะนึกว่าถ้าหากวันนี้เขาไม่ได้กองทัพช่วย อย่างน้อยก็คงบาดเจ็บ "นายจะเอายังไง" ไส้เทียนทำท่าครุ่นคิด เขาไม่ใช่ประเภทคนใจดีที่ปล่อยให้คนมีเจตนาร้ายลอยนวลไปอย่างมีความสุข ขอโทษเถอะ เขาไม่ใช่พ่อพระ ต่อให้อีกคนเป็นผู้หญิงเขาก็ไม่ออมมือให้หรอก แม้จะไม่ได้ทำร้ายร่างกาย แต่เขาก็จะลงมือด้วยวิธีอื่น "เธอชื่ออะไร อย่าคิดจะโกหก" กองทัพเอ่ยเสียงเย็นจนหญิงสาวหวาดกลัว บรรยากาศรอบตัวของกองทัพมีความกดดันราวกับเขาเป็นสัตว์ร้าย เมื่อเธอเอ่ยชื่อจริง และนามสกุลออกมา กองทัพก็พยักหน้าให้สิบ ไส้เทียนเลิกคิ้วมองทั้งคู่ด้วยท่าทีไม่เข้าใจ ไม่นานนักสิบก็เอ่ยขึ้น "เธอเป็นลูกสาวคนเล็กของบริษัทขนส่งชื่อดังครับ" เมื่อได้ยินคำนั้น หญิงสาวก็เบิกตากว้างด้วยความตกใจ "มะ ไม่ อย่าบอกเรื่องนี้กับพ่อนะ!" เธอหน้าซีด พูดเสียงสั่น พ่อของเธอไม่ชอบเรื่องที่เธอเป็นติ่งดารา เธอถูกตี และถูกด่าหลายต่อหลายครั้ง จึงตัดสินใจหลอกคนที่บ้านว่าเธอไม่ได้ชอบดาราคนนั้นแล้ว ถ้าหากพ่อรู้ข่าวว่าเธอมาทำร้ายร่างกายคนอื่นเพราะดารา เธอต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน ไส้เทียนถอนหายใจเมื่อเห็นสีหน้าหวาดกลัวของเธอ ทำไมกันนะ ทั้งที่ตอนทำไม่เห็นจะคิด แต่พอมีเรื่องที่เกี่ยวข้องกับตัวเองกลับหวาดกลัว และเอ่ยขอร้อง โดยที่ไม่ได้คิดเลยว่าถ้าหากคนโดนผลักบาดเจ็บสาหัส หรือเสียชีวิต คนที่อยู่ข้างหลังของเขาจะเป็นยังไง ไม่ใช่แค่เขา แต่หมายรวมถึงคนอื่นด้วย แต่เขาคงปล่อยไปไม่ได้หรอก ถ้าหากในอนาคตเธอไปทำแบบนี้กับคนอื่น ความผิดพลาดมันก็ไม่สามารถย้อนเวลาไปแก้ไขได้ "ไปโรงพักกันเถอะ"ไส้เทียนเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด ไม่สนใจสีหน้าตื่นตาหนักของหญิงสาว "เธอคิดดี ๆ ระหว่างไปเอง หรือจะให้รถตำรวจมารับไป" "ผมได้ไฟล์กล้องวงจรปิดมาแล้วนะครับ" สิบเอ่ยขึ้น กองทัพพยักหน้าด้วยความพอใจ "รบกวนคุณส่งมาให้ผมหน่อยได้ไหมครับ เดี๋ยวผมจะพาเธอไปที่โรงพัก" "ไม่ต้อง ไปด้วยกันทั้งหมดนี่แหละ" กองทัพพูดขึ้น ไส้เทียนทำท่าลังเล ถึงยังไงเขาก็ค่อนข้างเกรงใจเพราะทั้งคู่ไม่ได้มีส่วนในเรื่องนี้ แต่เมื่อเห็นสีหน้าของกองทัพที่ไม่มีท่าทีว่าจะยอมเลยปล่อยเลยตามเลย ยังไงการมีพยานก็ทำให้คดีราบรื่น มาถึงโรงพักได้ไม่นาน พ่อของเธอก็เข้ามาด้วยท่าทีกระวนกระวาย เขารู้เรื่องคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว และโมโหมากด้วย "พ่อ..หนู" เพียะ! "แกทำบ้าอะไร!" พอเจอหน้าลูกสาว ผู้เป็นพ่อก็ตบหน้าของเธอเต็มแรง ไม่ใช่แค่ติดตามดารา แต่ลูกเขาถึงขนาดกล้าทำร้ายร่างกายคนอื่น แถมคนที่โทรไปยังเป็นคุณกองทัพ คนที่ได้ชื่อว่ามีอิทธิพลด้านธุรกิจเป็นอันดับต้น ๆ ในประเทศ "พอก่อนครับ ห้ามทำร้ายร่างกายกัน" ผู้เป็นพ่อสูดลมหายใจลึกยาว พยายามระงับอารมณ์ของตัวเองเมื่อได้ยินคำห้ามปรามของตำรวจ "ผมขอโทษแทนลูกสาวด้วยนะครับคุณกองทัพ" ชายวัยกลางคนก้มหัวให้ เขาไม่อยากทำให้กองทัพไม่พอใจ เพราะไม่อย่างนั้นธุรกิจของเขาได้ล่มจมแน่นอน "คนที่ควรได้รับคำขอโทษคือเขามากกว่า" กองทัพมองไปที่ไส้เทียน ทำให้ชายวัยกลางคนเปลี่ยนมาก้มหัวให้ไส้เทียน "ไม่ต้องหรอกครับ" ไส้เทียนถอนหายใจ โลกของเราก็เป็นแบบนี้ ทั้งที่ลูกเป็นคนผิด แต่คนที่ต้องมาก้มหัวขอโทษกลับเป็นผู้ปกครอง หลังจากที่คู่กรณีมาครบกันแล้ว สิบก็แสดงหลักฐานทั้งหมด นั่นทำให้สีหน้าของชายวัยกลางคนยิ่งบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ ส่วนหญิงสาวก็ก้มหน้าด้วยท่าทางหวาดกลัว มุมกล้องวงจรปิดที่หามาได้เป็นมุมข้างทำให้เห็นว่ามือของเธอผลักหลังไส้เทียนอย่างชัดเจน ต่อให้อ้างอะไรก็ไม่สามารถโต้แย้งได้ กว่าทุกอย่างจะเรียบร้อยก็เป็นช่วงหัวค่ำแล้ว ไส้เทียนถอนหายใจ ดูเหมือนว่าเขาต้องรีบจัดการอะไรให้มันเสร็จแล้วละ เพราะเขาไม่มีทางรู้เลยว่าในอนาคตจะมีแฟนคลับหัวรุนแรงแบบนี้มาโจมตีเขาอีกไหม เอก เวลาเสวยสุขของนายมันจะกำลังหายไปเร็ว ๆ นี้ "เดี๋ยวฉันไปส่ง" กองทัพเอ่ยขึ้นระหว่างที่เดินออกจากโรงพัก "ขอบคุณครับ แต่ไม่เป็นไรผมเกรงใจ เดี๋ยวผมนั่งแท็กซี่กลับ" "ไปเถอะ สิบไปเตรียมรถ" กองทัพไม่ฟังคำปฏิเสธ แต่จับมือเล็กไว้แล้วจูงไปทางรถยนต์ที่จอดไว้ ไส้เทียนเหลือบตามองมือใหญ่ที่กุมมือตัวเองไว้ มืออีกฝ่ายใหญ่ และอบอุ่นมาก ไม่คิดว่าตัวร้ายอย่างกองทัพจะมีมุมแบบนี้ด้วย เหอะ เห็นแก่ที่วันนี้อีกฝ่ายทำตัวดี แถมยังเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาไว้ เขาจะลดความเหม็นขี้หน้าลงสัก 50% ก็แล้วกัน ถือว่าเป็นโบนัสพิเศษสำหรับการเป็นคนดี แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ลืมหรอกนะว่ากองทัพทำอะไรกับน้องชายสุดที่รักของเขาไปบ้าง #สถานการณ์สมมุติทางกฎหมายเป็นเพียงจินตนาการของคนเขียนไม่เกี่ยวข้องกับความเป็นจริง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD