เป็นการมาเรียนแบบไร้จิตวิญญาณในรอบหนึ่งอาทิตย์เลยก็ว่าได้ เข้ามาในห้องเพื่อน ๆ ต่างมองฉันเป็นตาเดียวก็แน่สิหายไปเป็นอาทิตย์ขนาดนั้น
“สายธารเธอหายไปไหนมา” แอลเอ่ยทักขึ้นเมื่อเห็นหน้าฉัน
“เปล่าหรอก เราเกเรน่ะ”
“หืม... ไม่เป็นแบบนี้สิ ชั่วโมงแรกเรียนฟิสิกส์เอาของเราไปลอกก่อนก็ได้เดี๋ยวตามงานไม่ทันตอนนี้ยังพอมีเวลาอยู่”
“ขอบใจนะ” ในเรื่องร้าย ๆ ก็ยังมีเรื่องดี ๆ หลงเหลืออยู่บ้าง อย่างน้อยมิตรภาพที่ดีก็ยังมีอยู่ค่ะ
“สายธาร ...”
“...”
“ขอบใจนะแอล ลอกเสร็จเราจะรีบเอามาคืน” ฉันหันไปพูดกับแอลโดยไม่สนใจพะแพงสักนิด มันมองหน้ากันไม่ติดแล้วอ่ะ ทำดียังไงฉันก็ไม่สามารถมองมันเป็นเพื่อนรักเหมือนเดิมได้อีกต่อไปแล้ว
“เดี๋ยวสิ ฟังฉันก่อน”
“อย่าเอามือสกปรกของมึงมาจับกู”
“สะ สายธาร”
“อีกไม่กี่เดือนก็จบละ ทนเกลียดขี้หน้ากันไปอีกหน่อยแล้วกัน” พูดจบฉันก็ลุกออกมาจากตรงนั้นทันทีและไม่สนใจด้วยว่าใครจะมองยังไง
ตั้งแต่เช้ายันเลิกเรียนฉันไม่สุงสิงกับใครเลยมีเพียงแอลเท่านั้นที่เข้ามาพูดคุยอยู่บ่อยครั้ง
“กลับบ้านยังไงอ่ะ ไปด้วยกันไหม?”
“ไม่เป็นไรเรากลับเองได้ แอลกลับเถอะ”
“วันนี้ดูซึม ๆ นะเป็นอะไรหรือเปล่า ทะเลาะกับพะแพงเหรอ”
“คงงั้น”
“อ่อ... พี่แชมป์มาโน่นละ งั้นเราขอตัวก่อนนะ”
“จ้า”
คล้อยหลังพะแพงฉันก็โหนรถเมล์ตามปกตินั่นแหละแต่เหมือนวันนี้โชคจะไม่เข้าข้างสักเท่าไหร่สงสัยตอนออกจากบ้านเมื่อเช้าก้าวเท้าผิดข้างมั้งคะ
“...”
ต่างคนต่างมองหน้ากันนิ่ง ๆ เป็นจังหวะเดียวกับที่ผู้คนเบียดกันขึ้นรถพอดีทำให้ฉันต้องเขยิบเข้าไปใกล้เขา พี่เวย์ยืนชิดฉันชนิดที่ว่าสิงร่างได้คงทำไปแล้ว
“ทำไมผอมแบบนี้” คำถามทักทายปนห่วงใยเอ่ยขึ้นแผ่วเบาแต่ฉันก็ทำเป็นไม่ได้ยินอยู่ดี พี่เวย์ถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ก่อนจะยื่นแขนมาจับราวไว้เพื่อกันไม่ให้ฉันล้มโอนเอนไปมา เป็นการกระทำที่น่ารักแต่น่าเสียดายที่ฉันไม่รู้สึกอินกับมันอีกแล้ว
กลับถึงบ้านสิ่งที่ฉันต้องพบเจอเป็นประจำคือความเงียบเหงา ฉันอยู่กับแม่แค่สองคนค่ะส่วนพ่อ... ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันและไม่เคยเอ่ยปากถามด้วย จำความได้ก็มีแค่แม่ ตากับยายเท่านั้นเอง
“ไงเรา วันนี้กลับบ้านตรงเวลาดีนี่” แม่เอ่ยทักทายเมื่อเห็นหน้าฉัน
“แม่ไม่ไปทำงานเหรอ?”
“วันนี้วันหยุดไง”
“อ่อ จริงสิหนูลืมไป”
“หิวไหมอยากกินอะไรหรือเปล่า”
“อยากกินขนม แม่จะเอาอะไรไหม”
“หืม...”
“...” นี่เป็นครั้งแรกที่เราพูดคุยกันดีเลยก็ว่าได้เพราะส่วนมากจะเถียงคำด่าคำมากกว่า
“ซึมไปนะ มีอะไรอยากบอกแม่หรือเปล่า”
“เรื่องของหนูน่า... แม่ไม่ต้องสนหรอก”
“ต้องสนสิ มีกันอยู่สองคนแกจะไม่ให้สนใจได้ยังไง อีกอย่างแกเป็นลูกแม่นะ ต่อให้จะผิดหรือถูกยังไงคนเดียวที่มีสิทธิ์ลงโทษก็คือแม่จำไว้!! คนอื่นอย่าไปยอมมัน”
“ไหนว่าต้องรู้จักนอบน้อมไง”
“มันก็แล้วแต่สถานการณ์”
“วันนี้แม่แปลกไปนะเนี่ย”
“แกก็แปลกเหมือนกันแหละ อีคนที่มันเถียงคำไม่ตกฟากมันหายไปไหนซะแล้ว”
“ป่วยทางใจมั้ง หายดีเดี๋ยวมันก็กลับมา” ฉันว่ายิ้ม ๆ ก่อนจะโยนกระเป๋าหนังสือไว้ที่โซฟาแล้วออกมาซื้อของกินที่ร้านสะดวกซื้อหน้าหมู่บ้าน
“นายครับผมเจอเธอแล้ว”
(...)
“ครับ”
(...)
“ให้ผมจัดการเธอเลยไหม?”
(...)
“ครับ”
ใครบางคนคุยโทรศัพท์อยู่ใกล้ ๆ ฉัน ขณะที่ฉันกำลังเลือกขนมอย่างเพลิดเพลินอะไรนาย ๆ สักอย่างนี่แหละแต่ฉันไม่ได้เสียมารยาทนะคะก็มันได้ยินเอง
จ่ายเงินเสร็จออกมาด้านนอกแม่เจ้า... มาเฟียที่ไหนมาแวะซื้อของตรงนี้งั้นเหรอ มีแต่ชายชุดดำเต็มไปหมดหน้าโคตรนิ่ง ยิ้มไม่เป็นกันสักคน เห็นแบบนั้นฉันก็เดินเลี่ยงกลับบ้านทันทีสถานการณ์ไม่น่าไว้วางใจเท่าไหร่
“เป็นอะไร?” แม่เอ่ยถามเมื่อเห็นท่าทีผิดปกติของฉัน
“หนูรู้สึกเหมือนมีใครเดินตามเลยอ่ะ”
“ไหนแม่ดูก่อน” แม่ว่าก่อนจะชะเง้อออกไปก็ไม่มีใครสักคนค่ะ แต่ความรู้สึกมันบอกแบบนั้นจริง ๆ ฉันไม่ได้คิดไปเองแน่นอน
“ไม่มีอะไรหรอกเข้าบ้านกันดีกว่า” มองออกไปอีกครั้งมันก็ไม่มีอะไรจริง ๆ นั่นแหละค่ะ
หลายวันผ่านไป
ระหว่างฉันกับแม่ก็ดีขึ้นมากค่ะ ฉันพยายามเข้าใจและเรียนรู้ในสิ่งที่แม่บอก บางครั้งก็มีบ้างที่ชอบเถียง แต่ไม่ถึงขั้นรุนแรงเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะคะ เอาเข้าจริงพอถึงช่วงนึงที่รู้สึกว่ามันไม่ไหวก็มีแต่แม่นี่แหละที่เป็นห่วงและดูออกว่าฉันเป็นอะไร รู้สึกผิดนะคะที่เคยพูดจาไม่ดีใส่แต่จะทำยังไงได้ก็ฉันมันดื้อรั้นชอบฟังแบบขอไปที
“อีกไม่นานก็จบมัธยมแล้วอ่ะ สายธารจะเรียนอะไรต่อเหรอเราว่าจะเรียนคหกรรมศาสตร์” เน้นการเรียนเป็นหลักแบบนี้ไม่ใช่ใครค่ะ แอลนั่นเองไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเราสนิทสนมกันตอนไหน
“ไม่รู้สิ แม่เราไม่มีเงินส่งขนาดนั้นหรอก บางทีเราอาจจะจบแค่มอปลายก็ได้มั้ง” ฉันตอบไปตามความคิด ถ้าถามว่าอยากเป็นอะไรอันนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เหมือนกัน
“เรียนไปทำงานไปก็ได้นี่”
“ไม่รู้ดิ รังเกียจไหมมีเพื่อนไร้การศึกษาอย่างเรา”
“เฮ้ย! เราไม่ได้หมายถึงแบบนั้นนะ เพื่อนก็คือเพื่อนดิ ทำไมเราต้องรังเกียจด้วย”
“ฮ่า ๆ อย่าจริงจังดิเราก็พูดไปงั้นแหละ แต่เรื่องเรียนต่อเราพูดจริง เราไม่รู้ว่าตัวเองชอบอะไร” ฉันพูดออกไปอย่างจนปัญญาก็คนมันไม่รู้นี่ ไม่มีความฝันเหมือนคนอื่นด้วย
ในทุก ๆ วันก็มีแอลนี่แหละค่ะที่เป็นตัวฉุดรั้งให้ฉันส่งงาน ให้ฉันเรียนตาม เรียกได้ว่าคะแนนครบทุกวิชาเพราะแอลยังได้เลย ส่วนพี่เวย์กับพะแพงฉันปิดบล็อคการติดต่อทุกช่องทาง ไม่สนใจอะไรพวกเขาอีกเลย ฉันชินแล้วแหละที่ต้องอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นจบก็คือจบ ตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง สำหรับคนอื่นอาจจะเลือกเพื่อนเพื่อรักษาความสัมพันธ์ที่ดูเหมือนจะจริงใจมากกว่าแฟน แต่สำหรับฉันคนที่ทรยศหักหลังฉันไม่นับว่าเป็นเพื่อนค่ะ ต่อให้รู้สึกผิดและคิดได้ยังไงฉันก็ไม่ให้อภัยอยู่ดี