ตว์เลื้อยคลานร่างหนาใหญ่สองตัวดำผุดดำว่ายท่ามกลางแม่น้ำสองสี สีเข้มเกือบจะเป็นสีดำและสีดินทรายไหลมาบรรจบกัน ทอดยาวไปอีกหลายพันไมล์
ผ่านลำตัวที่มีผิวขรุขระยามขับเคลื่อนไปข้างหน้า แหวกน้ำออกเป็นระลอกคลื่น พละกำลังตามสรีระแข็งแกร่งกำยำทำให้พวกมันไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยกับการเดินทางข้ามน้ำข้ามทะเล เป็นตรงกันข้าม พวกมันคงว่ายน้ำไปได้เรื่อย ๆ เช่นปลา
พวกมันไม่ได้มาด้วยกัน ไม่รู้จักหน้าค่าตาด้วยซ้ำ...
เจ้าตัวเล็กกว่ามองว่าตัวข้างมันมีขนาดมหึมา ใหญ่กว่ามันเกือบสองเท่า! จึงไม่กล้าเบ่งมากนัก โผล่พ้นเพียงดวงตาสีเหลืองทองเหนือผืนน้ำ ระหว่างทางที่มันแอบจับปลากินเป็นอาหาร ยังลังเลใจอยู่ว่าหากถูกแย่งแล้วมันจะยอมปล่อยเหยื่อให้อีกตัว เพื่อรักษาชีวิตตัวเองไว้หรือไม่ มันไม่แน่ใจว่าจะชนะ ดีไม่ดีมันอาจกลายเป็นอาหารของตัวใหญ่กว่า
ทว่าตัวข้างมันแค่ว่ายน้ำไปข้างหน้า มีเหลือบมองทางอื่นบ้างแต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรมัน ที่เพิ่งสังเกตเห็นว่าเจ้านี่มีดวงตาสีแดงก่ำ ลำตัวสีนิลสนิท
ไม่ใช่พวกมันแน่ ๆ ล่ะ! หรือว่ามันจะตาฝาดไป แต่ในเมื่อดวงตาแสนพิเศษของมันมีจุดรับภาพอันดีเลิศ ยิ่งน้ำจืดแล้วมันเห็นแสงสีแดงได้ไวกว่าน้ำเค็ม ซึ่งมันสามารถมองเห็นแสงสีน้ำเงินได้มากกว่า
ดังนั้นสีแดงก็ต้องเห็นแน่!
ขณะที่เจ้าตาแดงเริ่มรำคาญใจกับเจ้าถิ่น เพราะว่าการว่ายน้ำตีคู่กันมาคงไม่ใช่การทักทาย
จระเข้เป็นสัตว์ดุร้ายโดยสัญชาตญาณ ยังมีนิสัยหวงอาณาเขต เจ้าตัวเล็กคงอยากลองเชิงว่ามันแค่ผ่านทาง หรือจะย้ายถิ่นฐานมาแย่งตัวเมียละแวกนี้
มองกันไปมองกันมาอย่างไม่เป็นมิตรจนถึงทางแคบ ด้านฝั่งซ้ายเป็นชายฝั่งดินผสมทรายแฉะ ๆ มีพุ่มหญ้ารก สุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นฝ่ายเปิดศึกประสาเสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ เจ้าตาแดงจึงว่ายชิดเข้าฝั่ง เหลือบตามองตัวที่คลานตามหลังมัน ซึ่งพอมันหดขาลงนอนอาบแดดตามกิจวัตร อีกตัวก็คลานย่องไป
เจ้าตาแดงนึกตลกขบขันเจ้าถิ่นที่ไม่กล้าแหยมกับมัน ได้แค่ทำเบ่งไปอย่างนั้น ยังเสียสละทำเลดี ๆ ตรงนี้ให้มันนอน ก่อนที่มันจะปิดตาข้างซ้ายลง
ธรรมชาติของจระเข้มักลืมตาข้างหนึ่งไว้เพื่อระวังภัย พร้อมรับมือกับทุกสถานการณ์ แม้ในพุ่มไม้ขนาดใหญ่ หญ้ารกสีเขียวสลับน้ำตาลเข้มพรางตัวของมันได้ดี ไม่ต้องเป็นกังวลว่าจะมีใครมารบกวนเวลานอนของมัน...
คงหมายถึงมนุษย์
กลุ่มจระเข้ที่ฉลาดหลายตัวรู้จักมนุษย์ว่าทำอะไรได้บ้าง
บางทีพวกมันก็แค่อยากอาบแดดในสถานที่อากาศดี ๆ ช่วงน้ำลงเพราะไม่มีโอกาสได้ขึ้นมาบ่อย ทว่าหากที่ใดได้ขึ้นชื่อว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยว มันจะถูกจับโดยไม่มีการไถ่ถามสักคำ
มีบางตัวถูกพรานยิง ถูกทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส ถูกจับขึ้นรถไปขาย ร้ายสุดคงได้กลายเป็นอาหารเย็น
ผู้ต้องหายังมีทนายไว้ต่อปากต่อคำ แต่จระเข้ไม่มี!
ได้ขึ้นชื่อว่าไอ้เข้ อย่างไรเสียก็ต้องทำร้ายมนุษย์ พวกมันจะถูกกำจัดไปเสียให้พ้นทาง ทั้งที่มันอยู่ตรงนี้มาก่อนด้วยซ้ำ
ก็นั่นแหละ...
ตำแหน่งสูงสุดของห่วงโซ่อาหารเวลานี้คือมนุษย์
วันนี้เจ้าตาแดงเลยเลือกทำเลดีสักหน่อย เป็นสถานที่ผู้คนอาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์ป่าอย่าง Mamirauá[1]
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อย ครึ่งหลับครึ่งตื่นใต้แสงแดดทออ่อนยามสาย ดวงตาสีแดงฉานหลุบมองผ่านหญ้าสีเขียว ไกลออกไปนั้นเป็นรีสอร์ตซึ่งมันคงไม่เข้าไปยุ่งวุ่นวาย มันคงนอนอีกพักเดียวค่อยไป ทว่าทันใดนั้นเอง...
“นั่นอะไรนะ?” เสียงแหลมเล็กของเด็กาวอายุประมาณสี่ขวบ ผมเปียสีบลอนด์ทองนัยน์ตาสีฟ้า อุ้งมือเล็กกอดตุ๊กตาจระเข้น่ารัก หยุดก้าวลงหน้าพุ่มไม้ด้วยหน้าตาใสซื่อ ไร้ความระแวดระวังภัย
‘ก็จะตัวอะไรล่ะ?’
“เสียงอะไร ใครคะ?”
เด็กน้อยถามอีกครั้งเพราะได้ยินแค่เสียงทุ้มแหบลอยมาตามลม เหมือนเสียงของชายหนุ่มร่างหนาใหญ่สักคน หมุนคอมองซ้ายขวา ไม่เห็นว่าตรงนี้จะมีใคร
‘ทางนี้นังหนู อยู่ตรงพุ่มหญ้านี่’
ประมาณหกถึงเจ็ดก้าวเดิน หนูน้อยตากลมโตมองเห็นเพียงเงาดำขนาดใหญ่เหมือนเป็นก้อนหิน แต่ไม่ใช่... เธอไม่แน่ใจ ไม่กล้าเข้าไปใกล้กว่านี้ สองมือกอดตุ๊กตาแน่น
“คุณพูดได้หรือคะ คุณเป็นตัวอะไร...?”
พูดได้เฉพาะกับเด็ก ผู้มีจิตใจบริสุทธิ์ ผู้มี ‘ญาณทิพย์’ คือการรับรู้ทางจิตทางอารมณ์ มี ‘หูทิพย์’ การได้ยินเสียงแปลก ๆ อาจเป็นเสียงของวิญญาณหรืออะไรบางอย่าง...
“หนูฟังไม่เข้าใจค่ะ”
[1] Mamirauá เป็นส่วนหนึ่งของแหล่งธรรมชาติของอนุสัญญามรดกโลก โครงการ PPG-7 เพื่อการปกป้องป่าเขตร้อนของบราซิล ลุ่มน้ำแอมะซอน