ครึ่งชั่วโมงต่อมา รถสปอร์ตคันโก้ก็จอดสนิท บริเวณชั้นใต้ดินของห้างฯ ดังกลางเมือง ตอนนี้อุ้งมือร้อนผ่าวดึงรั้งแกมลากร่างเล็ก มุ่งสู่ด้านใน ช่วงบ่ายคล้อยแบบนี้ เครื่องปรับอากาศภายในทำหน้าที่ได้ดี ทุกคนที่มาเที่ยว มาซื้อของ และพักผ่อนหย่อนใจ อยู่ได้ด้วยฤทธิ์เดชของมัน หากเป็นด้านนอกอาคารหลังโตนี้ล่ะก็ รับรองได้ว่า เหงื่อคงได้ไหลนองท่วมตัว
สลิลลาเดินขาปัดเป๋เหมือนเดิมไม่มีผิด เพราะช่วงขาของคนเดินนำหน้า ไม่ได้แผ่วล้าลงเลย มีแต่จะเพิ่มมากขึ้น เธอไม่รู้ว่าเขาพามาที่นี่ทำไม ต้องการอะไรกันแน่ แต่ถ้าหากให้เธอเดา เชื่อว่าครั้งนี้ คนใจร้ายคงต้องหาทางทำให้เธอเจ็บจนร้องไห้อีกเป็นแน่ เพราะนั่นมันเป็นนิสัย ซึ่งเขามักกระทำตลอดหนึ่งปีมานี้
คิดอย่างทดท้อ เจ็บเหลือเกินในยามสมองแล่นปราดไปคิดเรื่องร้ายๆ อันผ่านพ้น ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าความเกลียด ชิงชัง ที่มีต่อเขามันมากแค่ไหน แต่ที่แน่ๆ เธอไม่อยากจะพบเจอเขาอีก ในชั่วนิจนิรันดร์
ดวงตากลมๆ เงยขึ้นอีกครั้ง เมื่อช่วงขาแข็งแรงยอมเดินช้าๆ จนแทบจะหยุด และดวงตาคมๆ กำลังเหลือบแลนาฬิกาเรือนหรูประดับบนข้อมือ ไม่นานเขาก็ยิ้ม ซึ่งมันเป็นรอยยิ้มน่าสะพรึงกลัวเหลือเกิน
“เธอเดินตามหลังฉัน และอย่าคิดหนีเด็ดขาด”
พูดพลางปล่อยอุ้งมือร้อนผ่าวออกจากข้อมือเล็ก นำมาสอดกระเป๋ากางเกงทั้งสองข้าง มุ่งปลายเท้าไปยังร้านอาหารญี่ปุ่นชื่อดัง หางตานั้นคอยเหลือบมองร่างเล็ก สั่งกลายๆ ห้ามเธอออกฤทธิ์เด็ดขาด
สลิลลาเลือกเดินตัวลีบตามเขาเข้าไป รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นมนุษย์ต่างดาวไม่มีผิด เมื่อต้องมายืนอยู่ท่ามกลางความหรูหราโอ่อ่า และต้องทนแบกรับสายตาของหลายผู้คน มองเธอไม่ต่างจากตัวแปลกประหลาด คงเป็นเพราะเสื้อผ้าเก่าๆ และเนื้อตัวมีรอยกระด่างกระดำ ทุกคนที่นี่คงรังเกียจและขยะแขยงเธอกระมัง
กะพริบตาถี่ๆ ไล่ความกระดากอายนั้นทิ้ง เดินตามแผ่นหลังกระด้างด้วยช่วงขามั่นคง ไม่ใส่ใจสายตาผู้คนแถวนี้อีก ต่อให้เธอจะเป็นอย่างไร แต่เธอก็เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ ย่อมมีความแตกต่าง ไม่ว่าจะเป็นจิตใจหรือร่างกาย เราไม่อาจใส่ใจต่อสายตาแวดล้อมของใครได้ ขอเพียงไม่ทำความเดือดร้อนให้คนอื่นเป็นพอ แต่สิ่งที่เธอคิด ผู้ชายตรงหน้าซึ่งกำลังทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ และตีหน้าบึ้งตึงคงทำไม่ได้หรอก เพราะตอนนี้เขามองเธอไม่ต่างจากตัวน่าชิงชัง
“ไปนั่งเก้าอี้ตัวนั้น อยากทานอะไรก็เชิญตามสบาย!”
ใบหน้าหล่อเหลาพยักพเยิดไปยังโต๊ะตัวตรงกันข้าม “แล้วก็อย่าก่อเรื่องล่ะ ไม่อย่างนั้น คืนนี้เธอได้คลานลงจากเตียงแน่...” ท้ายประโยค ยื่นหน้ามากระซิบกระซาบ อุ้งมือร้อนผ่าวทาบเรียวแขนเล็ก แล้วผลักแรงๆ จนร่างระหงเซถลา ไปนั่งก้นจ้ำเบ้าอยู่บนเก้าอี้ จัดการกับคนของตัวเองเรียบร้อย ริมฝีปากร้อนผ่าวก็แย้มกว้าง เมื่อเหลือบเห็นสตรีสวยในชุดสีดำแนบเนื้อ อวดเรือนกายเซ็กซี่และผิวขาวผ่องเป็นยองใยก้าวตรงมาใกล้
ดวงตาที่เขามองคนอื่น ทำให้หญิงสาวถึงกับนั่งตาร้อนผ่าว เธอไม่ได้อิจฉา แต่เธอเวทนาตัวเองต่างหาก สายตาคู่นั้น เคยมองเธอด้วยความเอ็นดู อุ้งมือใหญ่คู่นั้น ยีผมนุ่มสลวยเธอด้วยแรงแผ่วเบา แผงอกกว้างของเขามีไว้ให้เธอซับน้ำตาเสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกแล้ว ทุกส่วนของเรือนร่างกำยำ ทำให้เธอเหมือนตายทั้งเป็น
กะพริบตาปริบๆ แล้วนั่งหมุนกายหันหลังให้เขา แต่โสตประสาทของเธอกลับได้ยินเสียงของเขาชัดเจน และตอนนี้ก็มีเสียงของใครบางคนเอ่ยสลับ ฟังแล้วทั้งคู่เหมือนสามีภรรยากันไม่มีผิด
ด้านคนตัวโต กำลังยกยิ้มร้ายกาจ โอบกอดร่างระหงซึ่งโผเข้าหาแนบนิ่ม ไม่ลืมเอียงแก้มสากให้เจ้าหล่อนหอมทั้งซ้ายและขวา ส่วนมือร้อนผ่าวนั้น สอดเข้าบริเวณเอวคอดกิ่ว รั้งมาแนบชิดใกล้
“ผมว่า...เพซ่านั่งก่อนดีกว่านะครับ ส่วนอย่างอื่นเอาไว้ทีหลัง”
“แหม...ภพคะ เพซ่าแค่กอดแค่หอมเท่านั้นเอง ไม่เห็นต้องรีบบอกให้นั่งเลย นี่ถ้าเพซ่าปล้ำคุณ คุณจะหักคอเพซ่าไหมคะ” เจ้าหล่อนเอียงหน้าเอียงคอใส่ด้วยท่วงท่าสาวมั่นเต็มตัว “แล้วนี่ ทำไมนัดมาร้านอาหารญี่ปุ่นล่ะคะ เราน่าจะเจอกันคืนนี้ที่ไนต์คลับ หลังจากคุยธุระเรียบร้อย เราจะได้ไปสนุกกันสองต่อสอง” ปลายนิ้วเล็กยื่นไปแตะเข้าบนแผงอกกว้าง จังหวะนั้นใครบางคนหันหน้ามอง จึงเห็นเข้าอย่างจัง
“ก็ดีนะครับ”
มุมปากได้รูปว่าด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม “ผมไม่ได้สนุกแบบนั้นมานาน ที่จริงไนต์คลับน่าจะเปิดตอนนี้นะครับ ผมเริ่มใจร้อนแทบอดรนทนรอไม่ไหว” คนพูดกำลังตะครุบมือเล็กยุ่มย่ามกับช่วงอก ลูบๆ คลำๆ แผ่วเบา หางตาแอบมองเจ้าของดวงตาอาบรื้นเล็กน้อย แสยะยิ้มใส่อย่างร้ายกาจ ก่อนจะหันมาพะเน้าพะนอกับเพื่อนผู้กลับจากเมืองนอกเมืองนา
เพราะเพซ่า หรือพิชญากาญจน์ คินทนาธร บุตรสาวเจ้าของร้านเพชรชื่อดัง เพิ่งกลับจากเรียนปริญญาโทที่ประเทศอังกฤษ เขาอยู่ว่างๆ จึงมาเป็นเพื่อนทานข้าวกับเธอ ส่วนเรื่องอื่นๆ ตัวเขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงทำเหมือนยั่วยวนเขาเช่นนี้
“เพซ่า คุณจะทำอะไร”
ภีรภพเริ่มกระซิบถาม เมื่อคนตรงหน้าทำท่าทีเหมือนจะปล้ำตัวเองเข้าจริงๆ
“ทำไมล่ะ นายไม่รักฉันแล้วหรือไง นี่นะ ฉันกะว่าจะมาเป็นคนรักของนายแหละภพ”
เจ้าของคำพูดหลิ่วตาให้อย่างรู้เท่าทัน “ถามจริงๆ เถอะ ผู้หญิงแต่งตัวมอมๆ คนนั้นน่ะ ลูกหว้าใช่ไหม” กลีบปากสีแดงสดโบ้ยปากไปหาร่างเล็ก อย่างรู้เรื่องทั้งหมดดี
“อืม...” ชายหนุ่มจำต้องยอมรับ
“นี่นายยังไม่ปล่อยเขาไปอีกหรอ เมื่อกี้ฉันเล่นละคร ฉันว่าเขาร้องไห้นะ ดูน่าสงสารเชียว” คนพูดทำหน้าตาเศร้าๆ แอบเหล่หางตามองร่างอ้อนแอ้น ซึ่งกำลังนั่งมองน้ำเปล่าไม่วางตา
“ฉันว่านาย...”
“ถ้ายังอยากเป็นเพื่อนกัน ก็เลิกพูดเรื่องนี้” เจ้าของคำพูดตวัดดวงตามองร่างของคนเหม่อลอยปานจะฉีกร่างทิ้ง ก่อนจะหันมาจ้องหน้าเพื่อนสาวซึ่งตัวเองให้ความสนิทสนมมาร่วมสิบปี “เพซ่า เรามาเป็นแฟนกันไหม”
“จะบ้าเหรอ...”
เสียงนั้นแทบจะเป็นการตะคอกกลับ แต่แล้วต้องหุบปากเงียบแทบไม่ทัน ยื่นมือไปบิดเข้าที่แขนล่ำๆ “นายจะหาเรื่องให้ฉันหรือไง ฉันยังไม่อยากตกนรกทั้งเป็นหรอกนะ ไปหาคนอื่นเถอะ ฉันสละสิทธิ์”
นักธุรกิจหนุ่มได้แต่มองหน้าเพื่อนด้วยใบหน้ากึ่งบึ้งกึ่งยิ้ม ผ่อนลมหายใจทิ้งเฮือกใหญ่ แล้วพยักพเยิดชวนเธอทานอาหาร แต่อีกฝ่ายก็ขอตัวกลับเอาดื้อๆ ดังนั้นอุ้งมือร้อนผ่าวจึงเดินไปคว้าข้อมือเล็ก แล้ววางเงินไว้บนโต๊ะหนึ่งพันบาท ก็จะลากเจ้าของร่างเบาๆ ปลิวติดมือ มุ่งหน้าลงไปที่ลานจอดรถ เมื่อมาถึงก็จัดการผลักตุ๊กตาหน้ารถไปนั่งดังเดิม
“คืนนี้เธอนอนคนเดียวนะ ฉันจะไปค้างที่อื่น”
สุ้มเสียงกระด้างเอ่ยลอยๆ ขณะที่ดวงตาจับจ้องเจ้าของดวงตาชื้นฉ่ำ ด้วยสีหน้าข่มขู่ “และอย่า...”