ในช่วงเย็นที่เป็นเวลาเลิกงาน เคลลี่เดินออกมาทางหน้าบริษัท พลันสายตาก็หันไปเห็นว่าดุจตะวันยืนชะเง้อชะแง้อยู่แถวหน้าประตู ทำให้อดที่จะสนใจไม่ได้ เผื่อว่าเธอไม่มีรถ เขาเองจะได้อาสาไปส่ง
“ซัน มายืนทำอะไรตรงนี้ ทำไมไม่กลับบ้าน” ถามออกไปด้วยใจที่มีความหวังอยู่เล็กน้อย ในความคิดเธอคงไม่ได้เอารถมาเองแน่นอน ไม่เช่นนั้นเธอคงกลับไปนานแล้ว เพราะเวลาเลิกงานของเด็กฝึกงานนั้นมันเลยมาแล้วเกือบชั่วโมง
“อ่อ หนูกำลังรอรถค่ะคุณ เดี๋ยวก็มาแล้วล่ะ” ใบหน้าเล็กหันมาตอบเขาด้วยรอยยิ้มอย่างเช่นทุกครั้ง และมันก็เป็นรอยยิ้มที่สดใสทำให้หัวใจของคนที่เห็นเบิกบานอยู่ข้างใน
“รอแท็กซี่เหรอ ฉันไปส่งให้เอาไหม จะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ” ในใจหวังเอาไว้ว่าเธอจะตอบตกลง แต่ว่า...
“เปล่าค่ะคุณ หนูกำลังรอแฟนมารับค่ะ อีกไม่นานก็ถึงแล้วล่ะค่ะ ไม่รบกวนคุณหรอก ขอบคุณนะคะ” เสียงใส ๆ นั่นตอบออกมาโดยที่ไม่มีอะไรปกปิดแม้แต่น้อย ทำเอาเคลลี่หน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ดุจตะวันคงไม่ทันสังเกต เพราะมันเป็นเวลาเดียวกันกับรถเก๋งคันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบข้างหน้าเธอพอดี
“นี่ไง มาพอดีเลย หนูไปก่อนนะคะคุณ กลับบ้านดี ๆ นะคะ” ดุจตะวันโบกมือลาให้เขาแล้วก็แทรกตัวเข้าไปนั่งประจำตำแหน่งข้างคนขับ พร้อม ๆ กับที่ผู้ชายคนนั้นยกมือขึ้นมาลูบหัวเธอด้วยความเอ็นดู
...เป็นภาพที่เจ็บปวดใจชะมัด..
เคลลี่ยืนมองรถคันนั้นเคลื่อนตัวออกไปอย่างช้า ๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มของหญิงสาวที่กำลังพูดคุยกับคนข้าง ๆ ด้วยความสุข แต่มันกลับทำให้เขารู้สึกเจ็บอยู่ในหัวใจ คล้ายดั่งมีเข็มนับพันทิ่มลงมา มันเหมือนกับรอยยิ้มที่ตะวันเคยมีให้เขาตลอดเมื่อในอดีต..
“ผู้ชายคนเมื่อกี้ ใครเหรอซัน” ม่านเมฆ แฟนหนุ่มที่อายุห่างกันสามปีของดุจตะวันถามขึ้น ระหว่างที่กำลังขับรถจะไปส่งเธอที่อพาร์ทเม้นท์
“คนนั้นชื่อคุณเคลลี่ค่ะ เขาเป็นประธานบริษัทที่หนูกำลังฝึกงานอยู่”
“เขาจีบซันหรือเปล่า พี่เห็นเขามองซันตาไม่กระพริบเลย พี่หวงนะครับ” คำพูดหวานหูของแฟนหนุ่มทำเอาดุจตะวันฉีกยิ้มกว้าง
“เขาไม่ได้จีบหนูสักหน่อย เขาแค่เอ็นดูหนูก็เท่านั้นเอง ถึงเขาจีบหนูก็ไม่สนใจเขาหรอก เพราะหนูรักพี่เมฆคนเดียว” เสียงหวานพูดจาออดอ้อนแล้วก็ซบลงกับไหล่กว้างไปตลอดทางจนถึงอพาร์ทเม้นท์ของตัวเอง
“ซัน พรุ่งนี้พี่อาจจะมีงานด่วนที่ต้องทำ ถ้าพี่ไปรับไม่ได้ซันกลับเองได้ใช่ไหมครับ”
“ได้สิคะพี่เมฆ หนูไม่ใช่เด็ก ๆ สักหน่อย”
ดุจตะวันยืนโบกมือให้กับม่านเมฆ จนรถเก๋งของเขาเลี้ยวออกไปจนลับตาถึงได้กลับขึ้นมาบนห้องตัวเอง
//////
“เฮ้อ เมื่อยตัวจังเลย” ร่างเล็กทิ้งตัวลงบนที่นอน จากแค่ที่คิดว่าจะพักสายตาเพียงชั่วครู่ ก็กลายเป็นหลับสนิท
“อย่าไปนะ พี่กลับมาก่อน อย่าไป อย่าทิ้งหนูไว้คนเดียว อย่าไปนะ!” ดุจตะวันละเมอโวยวายก่อนที่จะสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งหอบอยู่บนเตียงนอน
หลายต่อหลายครั้งที่เธอฝันแบบนี้ ในความฝันมักจะเห็นตัวเองกำลังวิ่งไล่ตามผู้ชายคนหนึ่งที่กำลังเดินหันหลังให้เธออยู่ ปลายมือก็พยายามยื่นออกไปจนสุดเพื่อที่จะคว้าเขาเอาไว้ ทั้งที่ดูเหมือนว่าใกล้แต่เธอกลับไม่เคยคว้าเขาเอาไว้ได้เลย ได้แต่ยืนมองเขาเดินหายไปในความมืด
และก็เหมือนทุกครั้งเมื่อเธอตื่นขึ้นมา มักจะมีน้ำตาเปียกปอนทั้งสองแก้ม ราวกับว่าสิ่งที่เห็นในความฝันนั้นมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นจริง ๆ
ดุจตะวันยกมือตัวเองขึ้นมาเกาะกุมไว้ที่หน้าอกทางด้านซ้ายตรงตำแหน่งหัวใจ ทุกครั้งที่เธอฝันเห็นผู้ชายคนนั้น เมื่อตื่นขึ้นมามักจะมีความรู้สึกเจ็บบีบอัดอยู่ตรงหัวใจเสมอ เธอรู้สึกราวกับคุ้นเคยและรักผู้ชายคนนั้นมากเหลือเกิน
ไม่ใช่เพียงความฝันเมื่อกี้เพียงอย่างเดียว มีอีกหลายเหตุการณ์ที่ดุจตะวันมักจะฝันซ้ำ ๆ ติดต่อกัน บ้างก็ฝันดี บางทีก็ฝันร้าย ส่วนมากจะเป็นอย่างหลังเสียมากกว่า หนักที่สุดคงจะเป็นการฝันเห็นตัวเองถูกรถชนเลือดท่วมตัว รอบ ๆ ข้างได้ยินแต่เสียงร่ำไห้ โดยเฉพาะเสียงผู้ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนจะเสียใจกับเหตุการณ์ในความฝันนั้นเหลือเกิน
///////
บาร์ใจกลางกรุง
“เป็นบ้าอะไรถึงได้มานั่งแดกเหล้าเมาเหมือนหมาอยู่คนเดียวแบบนี้” นีโอเอ่ยทักทายเพื่อนรักทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งที่เก้าอี้ข้าง ๆ จะไม่ให้ว่าได้ยังไง จู่ ๆ เคลลี่ก็โทรไปชวนกึ่งบังคับให้เขาออกมานั่งดื่มเป็นเพื่อน แต่พอมาถึงเพื่อนตัวดีก็ดันเมานำหน้าไปก่อนแล้ว
“อกหัก” เคลลี่ตอบกลับสั้น ๆ ด้วยน้ำเสียงหย่อนยานที่เริ่มจะคุยไม่รู้เรื่อง แล้วก็ยกแก้วเครื่องดื่มสีอำพันกระดกเข้าปากต่อเนื่องอีกหลายแก้ว
“อกหัก! นี่กูไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม คนที่ปิดประตูใจมาตั้ง 21 ปีอย่างมึงนี่นะอกหัก” นีโอถามขึ้นมาอย่างแปลกใจ มันเป็นไปได้ยากมากที่เคลลี่จะมานั่งเมาแทบไม่ได้สติด้วยเหตุผลที่ว่า หากถ้ามันจริง แล้วผู้หญิงคนนั้นเป็นใครกัน ถึงได้มีอิทธิพลต่อเพื่อนเขาขนาดนี้
“เออ อกหัก อกหักจากตะวัน เพราะตะวันมีแฟนแล้ว โคตรเสียใจเลยว่ะ” คำตอบของเคลลี่ยิ่งทำให้เพื่อนรักที่นั่งอยู่ข้างกันเพิ่มระดับความสงสัยมากขึ้นไปอีก
“ตะวัน ตะวันไหนของมึงอีกวะ”
“ก็ตะวันที่กูเคยบอกมึงว่าเจอที่ร้านอาหารเมื่อหลายเดือนก่อนนั่นไง”
“ไอ้เคล นี่มึงคงไม่ได้คิดว่าผู้หญิงที่มึงเห็นคราวก่อนเป็นตะวันกลับชาติมาเกิดจริง ๆ หรอกใช่ไหม” คราวนี้นีโอถามขึ้นด้วยความเป็นห่วง หากเพื่อนเขาคิดแบบนั้นจริง ๆ คงต้องพาไปหาหมอเช็คระบบประสาทแล้วล่ะมั้ง
“กูไม่ได้แค่คิด แต่กูมั่นใจว่าเธอคือตะวัน มึงคิดดูนะ อะไรมันจะบังเอิญทุกอย่างขนาดนี้ มันจะเป็นไปได้เหรอว่าคนสองคนจะเหมือนกัน ทั้งหน้าตา รูปร่าง อายุ แล้วก็ชื่อ เว้นแต่ว่าทั้งคู่คือคนคนเดียวกัน” พูดเสร็จเคลลี่ก็หันไปยกแก้วขึ้นมาดื่มต่อ
“ไอ้เคล กูรู้ว่ามึงรักตะวันมาก แต่เรื่องนี้กูว่ามึงควรพอแล้วก็เลิกคิดเถอะว่ะ ไอ้เรื่องกลับชาติมาเกิดอะไรนี่ มันจะไม่ดูงมงายเหลือเชื่อเกินไปเหรอวะ” นีโอวางมือบนไหล่ของเพื่อน แล้วตบลงเบา ๆ เหมือนกำลังปลอบใจไปในที
“ถึงกูไม่อยากจะพอ แล้วกูจะทำอะไรได้วะ ในเมื่อตอนนี้ตะวันจำกูไม่ได้ และเธอก็รักคนอื่นไปแล้ว”
น้ำเสียงเมามายนั้นฟังดูน่าสงสาร นัยน์ตาสีน้ำตาลเทาเหม่อลอยอย่างไม่มีจุดหมาย ทั้งที่คิดว่าอุตส่าห์ได้เจอกันอีกครั้งแล้วแท้ ๆ อยากจะแก้ตัวและทำทุกอย่างให้มันดีขึ้น แต่ทว่าคราวนี้เขากลับไม่มีสิทธิ์แม้แต่คิดจะจีบเธอเลยด้วยซ้ำ
////////