บทที่ 6 คืนแรก 1
ตุ๊บ!
ขวดน้ำราคาแพงหล่นออกจากมือเล็กร่วงกระทบสู่พื้นหินอ่อนหรูจนมันแตกร้าวของเหลวเย็นใสๆ ต่างไหลลงสู่พื้นจนสัมผัสเท้า ความเย็นสามารถเรียกสติของตัวเองได้แต่ทว่าพอรู้ตัวอีกทีริมฝีปากใหญ่ก็เข้ามาครอบครองริมฝีปากของตัวเองแล้วยิ่งร่างกายของฉันออกแรงดิ้นทุรนทุรายประท้วงมากเท่าไหร่ความรุนแรงที่เขามอบมามันก็ยิ่งเท่าขึ้นเป็นทวีคูณจนกระทั่งได้กลิ่นคาวพร้อมรสชาติเค็มๆ ของของเหลวสีแดงที่เรียกว่าเลือดไหลเวียนไปทั่วทั่งปากแล้ว
“อือๆ..”
ตุบ! ตุบ! ตุบ!
เขากระชากมือเล็กที่ออกแรงตีหลังของเขาด้วยความแรงอย่างบ้าคลั่งเข้ามาระนาบกับลำตัวเล็กก่อนที่เท้าใหญ่เดินเข้ามาใกล้มาประชิดลำตัวฉันบดเบียดแผงอกใหญ่แรงกระชากสามารถเปลี่ยนทิศทางจากเมื่อกี้ที่แผ่นของฉันชนกับตู้เย็นมันไม่มีแล้ว ตอนนี้มันมีเพียงความหวาดกลัว หวาดหวั่นจนทำให้เท้าของฉันก้าวถอยหลังไปอย่างต่อเนื่องเพื่ออยากพ้นจากการกระทำนี้
กึก!
แต่แล้วหัวใจของฉันตกหล่นลงไปอยู่ปลายเท้าแล้วเมื่อจู่ๆ สะโพกก็ได้ชนกับโต๊ะและมันก็ไม่สามารถหลีกเลี่ยงริมฝีปากของซันก็ยังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดยไม่สนใจฉันแม้แต่นิด แรงจูบมันเหมือนว่าเป็นการสูบเรี่ยวแรงทั้งหมด สูบวิญญาณของฉันไปร่วมด้วยทันทีที่เหมือนจะร่วมมือใหญ่ก็เข้ามากอดเอวไว้ให้ยืนไหว
“อือๆ”
ไม่ไหวแล้วตอนนี้ลมหายใจของฉันมันติดขัดจนตีรวนไปหมด ระบบร่างกายหยุดทำงานแล้ว ยิ่งซันไม่ถอนริมฝีปากออกแบบนี้
“อือๆ”
ตุบ! ตุบ!
พรึ่บ!
เฮือก!
“อ่อนวะแค่นี้ยังทำเหมือนจะตาย!”
ผมมองคนที่ยังพยายามหายใจเข้าออกเสมือนว่าไปตายอดตายอยากลมให้ใจที่ไหนมาด้วยความสมเพช แค่จูบไม่กี่นาทีทำตัวเหมือนกับจะตายไปจากโลกนี้อย่างงั้นแหละ
“…”
“จะอัพค่าตัวหรือไง?”
“…”
“หรือว่าไอ้ยิวมันให้แกล้งทำตัวเป็นไม่เคย?”
“มันเกี่ยวกับพี่ยิวยังไงฉันก็ยอมมากับนายแล้วไง”
ผู้ชายคนนี้ชอบหาเรื่องคนอื่นด้วยคำพูดที่โคตรแสนจะดูถูกคิดว่าเป็นเจ้าชีวิตของคนอื่นหรือไงนะ ไม่เคยมองตัวเองบ้างว่าเลวขนาดไหน
“ยอมเท่าที่เห็นชั้นเป็นคนกระชากมา!”
“…”
“หัดตอแหลแล้ววะไหนพี่เธอบอกดีนักดีหนาไง!”
“ก็ใช้เฉพาะคนตอแหลด้วยกัน”
กึก!
หัวเข่าของผมเข้าไปแทรกระหว่างขาเรียวขาของยาหยีเพื่อกันเธอวิ่งหนีทันทีเมื่อได้ยินเธอพูดจบประโยคนั้น ดูเหมือนว่าจะดื้อเงียบใช้ได้แต่ไม่ชอบนิสัยคงไม่ชอบโวยวายนักขนาดเสียจูบแรกยังไม่พูดถึงสักคำ!
“นะ นาย อะ เอาออกไปนะ!”
“อยากลองคนตอแหล?”
แควก!
เสื้อยืดตัวบางถูกมือใหญ่กระชากออกด้วยความรุนแรงทำให้เสื้อขาดวิ่นเป็นสองท่อนก่อนที่จะถูกเหวี่ยงทิ้งไปอย่างไม่ใยดี
ว้าย!
ฉันรีบใช้มือมาไขว้ตรงหน้าอกที่มีแต่บราเซียปกปิดเพียงตัวเดียวด้วยความอายที่ต้องมาเปิดเผยให้เขามองมาแบบนี้
“ไม่ต้องอายใหญ่กว่านี้เคยเห็นมากแล้ว”
“นายมันบ้า!”
พูดความจริงก็ยังถูกด่าอีก โลกเรานี่ผู้หญิงมันเป็นแบบนี้ทุกรายเลยหรอวะ รับไม่ได้ในสิ่งที่ตัวเองมีมาตั้งแต่เกิดมันจะเป็นอะไรไป
“ทำไมรับไม่ได้สินะแบนขนาดนี้”
สายตาสีรัตติกาลของซันยังคงจดจ้องมามองตรงหน้าอกของฉันด้วยสายตาที่คาดเดาไม่ออกอีกตามเคย จนกระทั่งเขาค่อยๆ จับข้อมือของฉันแล้วอุ้มขึ้นนั่งโต๊ะจากนั้นก็ดันให้นอนเรียบไปกับโต๊ะใหญ่
ขาของฉันมันยังห้อยกับโต๊ะตัวนั้นอยู่เลยจนเขาค่อยๆ แทรกตัวเองเข้ามา นึกภาพออกไหมเขายืนอยู่ระหว่างขาในขนาดที่ฉันนอนราบบนโต๊ะในห้องครัว มันทุเรศมากยิ่งเมื่อเจอรอยยิ้มแบบปีศาจร้ายที่แสดงตรงมุมปากได้รูป
ฉันเกลียดหมอนี่ที่สุด!
“ปล่อยนะปล่อยฉัน”
“แหกปากเข้าไปเดี๋ยวเจอเสียบ!”
การเคลื่อนไหวทางร่างกายของฉันหยุดชะงักเมื่อหูได้ยินประโยคที่เปล่งออกมาจากริมฝีปากคล้ำ สายตาที่จริงจังจ้องมองโดยไม่ขยับเขยื้อนมันยิ่งเหมือนว่าตอนนี้ฉันโดนก้อนหินใหญ่น้ำหนักหลายพันตันทับร่างกาย มันเหมือนร่างกายขาดอาการหายใจจนตัวแข็งและเกรงไปหมด
สถานการณ์แบบนี้ที่เกิดขึ้นมันไม่น่าจะมาเกิดกับตัวฉันเลยด้วยซ้ำ ทั้งๆ ที่เป็นคนดี ทำความดีแล้วนี้มันคือผลตอบแทนของฉันอย่างงั้นหรือ เห้อ... ไม่มีคราวไหนที่จะรู้สึกน้อยใจในโชคชะตาตัวเองเลยนอกจากครานี้ มันเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่ฉันรู้สึก
ทำไมสิ่งเลวร้ายไม่ออกไปจากชีวิตของฉันเสียบ้าง....
ความกลัวสินะที่ทำให้ยาหยีถึงกับตัวแข็ง นิ่งเกรงขนาดนี้ ผู้หญิงคนนี้ชอบทำอะไรที่ค่อนข้างแปลกไปจากผู้หญิงคนอื่นจริงๆ ที่เมื่อเห็นโอกาสแทบจะกระโจนเข้ามาจับผมกันทั้งนั้น ยาหยีแปลกตรงที่เธอฟังและปฏิบัติตามอย่างว่าง่ายซึ่งหาได้ยากในสมัยนี้
ชักน่าสนใจแล้วสิ....
สิ่งที่ผมคิดอยู่ภายในใจโดยที่สายตาของตัวเองยังจับจ้องไปยังร่างน้อยที่นอนอยู่บนโต๊ะอย่างไม่กระพริบไปไหน ความเป็นจริงผมก็สงสารอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ ไม่ได้ทำอะไรแต่ทำไมต้องมารับกรรมแทนพี่ชายแสนเลวคนนั้น มันเป็นแค่ความคิดชั่ววูบที่ปรากฏเข้ามาในหัวสมองของผมเท่านั้น ในเมื่อผมเป็นเจ้าหนี้มันก็ต้องถีบคำว่า สงสาร ออกจากหัวสมองอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“รำคาญ..แหกปากอยู่ได้วะ!”
“…”
“รู้ไหมเธอมาอยู่ที่นี้มีหน้าที่บำเรอ..”
“คะ คนใช้ไม่ใช่หรอ?”
มันไม่จริงหรอกไหนว่าคนใช้ไง ทำงานขัดดอกที่พี่ยิวเป็นหนี้ผู้ชายคนนี้นี้อยู่ ถึงมันจะมากแต่ถ้าเราตั้งใจยังไงมันก็ต้องหมดสักวัน ฉันเชื่อแบบนั้น
“เคยบอกหรอวะ?” ผมถามคนที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาของตัวเองถึงเธอจะกล้าถามก็เถอะ ไม่มีสักครั้งที่ตัวเองพูดว่าเอาเธอมาเป็นคนใช้ มีแต่เธอที่มโนเก่งเอง “บ้านชั้นไม่ต้องการคนใช้”
“…”
ความจริงที่พึ่งได้รับรู้เอาฉันถึงกับไปไม่ถูกเลยทีเดียว แบบนี้พี่ยิวคงรู้แล้วสิว่าฉันต้องมาเป็นนางบำเรอให้กับผู้ชายคนนี้
“พี่ชายที่เธอรักนักรักหนาไงมันเป็นคนเสนอเอง!”
“ไม่จริง!” ไม่มีวันที่จะเชื่อคำพูดของผู้ชายคนนี้แน่ๆ มองก็รู้ว่าไม่ใช่คนดีอะไร ถ้าดีจริงคงไม่ทำอะไรต่ำๆ แบบนี้เป็นแน่ “พี่ชายฉัน...”
“มันไม่ได้เป็นคนดีอย่างที่เธอคิดสักนิดถ้าดีจริงคงไม่เอาน้องมาขัดดอก!”
“…”
“ชั้นยังดีกว่าพี่ชายเธอเสียอีก..”
“เลวพอๆ กันสิไม่ว่า!”
“ยาหยี!”
เสียงตะคอกสาดใส่ใบหน้าหวานด้วยความเกี้ยวกาจ สายตาสีรัตติกาลมองลึกลงมาอย่างเดาไม่ออก สายตามันดูแข็งประกอบกับมีความคุกกรุ่นด้วยแรงโทสะมาบดบังเสียมิด
“โอ้ย!”
แรงกระชากแขนฉันให้ลุกขึ้นพร้อมกับลากออกเดินไปจากห้องครัวด้วยความรวดเร็วพอรู้ตัวอีกทีก็มาถึงกลางขั้นบันไดที่เชื่อมขึ้นชั้นสอง ไม่มีทางที่ฉันจะไปกับแรงกระชากนั้นอีกแล้วถึงการฝ่าฝืนมันจะได้รับความเจ็บปวดมากเพียงใดก็แล้วแต่ ฉันไม่ขึ้นไปเหยียบชั้นสองเด็ดขาด
กึก!
เท้าของผมหยุดชะงักก่อนที่จะเบี่ยงสายตาไปมองสิ่งที่เป็นสาเหตุกับพบว่ามือเล็กอีกข้างหนึ่งของยาหยีกำกับราวบันไดไว้อย่างแน่นหนา เท้าเล็กสองข้างก็ดันกับขั้นบันไดเอาไว้อย่างมั่นคง
สายตาของเธอมองมาที่ผมด้วยความจริงจัง ผมรู้ว่าเธอทำเช่นนี้เพื่อประท้วงไม่อยากให้ผมพาขึ้นชั้นสองละสิ คนอย่างไอ้ซันไม่ได้โง่นะเว้ย
“ถ้าคิดจะประท้วงด้วยวิธีนี้บอกเลยคิดผิด”
“นะ นายมันชั่วจริงๆ”
ถึงริมฝีปากของฉันจะพูดแบบนั้นออกไปแต่ในใจรู้ไหมว่ามันเต้นแรงมากแค่ไหน ฉันกลัว กลัวทุกอย่างที่ผู้ชายคนนี้แสดงออกมา มันมีแต่ความเลือดเย็น ภายนอกถึงจะดูเหมือนวัยรุ่นทั่วไปก็เถอะแต่สิ่งที่แสดงออกมากับฉันมันไม่ใช่แล้ว ไม่ใช่วัยรุ่นเลยสักนิดเดียว
กึก!
ผมตั้งใจจะกระชากแขนของยาหยีอีกครั้งแต่มันก็มีผลเหมือนเดิม เธอก็ยังที่จะจับราวบันไดเอาไว้แน่นและดูเหมือนว่ามันจะแน่นกว่าเดิมเสียอีก
“ปล่อยมือออกซะ!”
เสียงเรียบแต่ดูมีอำนาจแฝงออกมาให้รู้สึกตัวมันเหมือนตัวของฉันรู้สึกเย็นยะเยือกเมื่อได้ยินเสียงทุ่มต่ำคล้ายๆ กดดัน
“ไม่!”
“งั้นหรอ งั้นก็เอาคาบันไดได้นะสิ”
ว่าแล้วมือใหญ่อีกข้างก็ล้วงไปยังกางเกงตัวเองตรงตำแหน่งที่กระดุมเพื่อปลดอะไรบางอย่างออกด้วยความชำนาน ไม่นานนัก…
“จะทำอะไร?”
หน้าตาของยาหยีดูเหวอขึ้นมาทันทีเมื่อเห็นสิ่งที่ผมกำลังกระทำต่อหน้าต่อหน้าของเธอไม่อายหรอกหน้าของผมมันด้านชาไปหมดแล้ว
“ถามได้จะก็ปลดกางเกงสิ”
“ยะ หยุดนะ!”
ผมยิ้มเหยาะด้วยความอารมณ์ดีเมื่อเห็นว่ายาหยีเธอหลับตาทั้งสองข้างไปแล้ว จริงๆ ผมไม่ได้ปลดกระดุมหรอกเพียงแต่ปลดเชือกที่แดงที่ใช้เป็นเข็ดขัดตามแฟชั่นออกมาเท่านั้นเองแล้วมันก็อยู่ในมือเรียบร้อยแล้วด้วย
“หึ! กลัวด้วยไง?”
“…”
ด้วยความหวาดหวั่นกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นมือที่จับราวบันไดเอาไว้กลับปล่อยออกมาใช้ปิดตาก่อนที่ร่างของฉันจะค่อยๆ ทรุดนั่งลงพิงกับราวบันได ตอนนี้มันมีแค่ความเงียบงัน ภายในใจของฉันคิดเพียงแต่ว่าตอนนี้ผู้ชายตรงหน้าที่ทำท่าจะปลดกางเกงเขาทำอะไรอยู่
“เสร็จ”
เสียงใหญ่พูดขึ้นพร้อมกับเสียงตบมือมันยิ่งทำให้ฉันแปลกใจไม่น้อยก่อนที่จะเอามือออกจากตาและก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้นทีละน้อยๆ จนเห็นว่าซันนั่งยองๆ อยู่ตรงหน้าด้วยใบหน้าที่จริงจัง ไหนเขาว่าจะปลดกางเกงไงทำไมยังอยู่ในสภาพเดิมละ
“ไหน..นายว่า.”
ทันใดนั้นสมองก็คิดได้ว่าตัวเองถูกคนตัวใหญ่หลอกแล้วฉันจึงรีบที่จะคว้าราวบันไดไว้แต่มันไม่ทันเพราะตอนนี้มือทั้งสองข้างถูกรวบแล้วมัดด้วยเชือกผ้าสีแดงสดด้วยความแน่นหนา
“คิดว่าชั้นจะปลดกางเกงคาบันไดจริงหรอวะปัญญาอ่อน!”
พรึ่บ!
พอจบประโยคตัวของฉันก็ลอยขึ้นด้วยฝีมือของซัน เขาอุ้มฉันขึ้นมาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปทางห้องหนึ่งที่มีประตูสีดำใหญ่อลังการด้วยการแกะเป็นรูปมังกร
“ปล่อยนะ!”
“ปลดในนี้ดีกว่าทั้งกางเกงและก็เสื้อ!’