“หนูเกลไม่ต้องกังวลนะ อยู่บ้านหลังนี้จะมีแม่บ้านคอยดูแล ส่วนลูกชายของลุงไม่ได้พักที่นี่หรอก พวกนั้นเค้ามีบ้านพักกันคนละหลัง อยู่ตรงท้ายไร่โน่น ถ้าใครแต่งงานถึงจะย้ายเข้ามาอยู่ที่นี่ แต่ระหว่างนี้ก็สบายใจได้”
“หรือถ้าน้องเกลกลัวเหงา เดี๋ยวพี่จะแวะมาหาทุกวันก็ได้ ถ้าวันไหนอยากไปเที่ยวชมรอบๆ ฟาร์มก็บอกนะ เดี๋ยวพี่พาไป”
“แกไม่มีงานทำหรือไง ถึงจะว่างพาสาวเที่ยวรอบฟาร์ม” เสียงเข้มดังขัดขึ้นมา
“ผมก็ต้องเอาเวลามาดูแลว่าที่เจ้าสาวสิครับ ส่วนเรื่องงานรับรองได้ ผมไม่ทำให้เสียงานแน่นอน”
“หึ!...ทำให้ได้อย่างที่พูดละกัน”
“รับรอง ไม่ให้เสียมาถึงน้องเกลแน่” ทุกคนหัวเราะครืนกับคำพูดของเตวิชญ์ มีเพียงคนเดียวที่วางหน้าเรียบสนิท ไม่ได้รู้สึกสนุกไปด้วย
“ให้มันได้แบบนี้สิไอ้ลูกชาย เรื่องเมียเรื่องงานมันต้องไปด้วยกัน” สาครเอ่ยชมลูกชายคนเล็ก เมื่อเห็นเตวิชญ์เอาใจใส่ว่าที่เจ้าสาวเป็นอย่างดี
จากนั้นบนโต๊ะอาหาร ก็เริ่มมีเสียงพูดคุยกันมากขึ้น บรรยากาศชวนให้อึดอัด ค่อยๆ หายไป ต่างพูดคุยโต้ตอบกันถามสารทุกข์สุขดิบ สมกับที่ห่างหายกับไปสิบปี
มีเพียงสองหนุ่มสาวที่เอาแต่เงียบไม่พูดไม่จา เกวลินอยากลุกออกไปจากโต๊ะอาหาร ใจจริงอยากหนีกลับกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ หากไม่เจอสายตาของกาญจนา
เธอได้แต่ฝืนกลืนข้าวลงคอ และฟังคนอื่นพูดคุยกัน โดยไม่รู้สึกสนุกไปด้วย กว่าอาหารมื้อนี้จะผ่านไปได้ เกวลินก็นั่งอึดอัดจนแทบจะอิ่มลมแทนข้าว
เกวลินล้างมือที่อ่างล้างหน้า ก่อนจะเงยขึ้นมองกระจก และถอนหายใจออกมาด้วยความอึดอัด มือผลักประตูเปิดออก เท้ากำลังจะก้าว กลับเข้าไปในห้องรับแขก จู่ๆ ก็มีมือดีมาดึงแขนเธอไว้ หญิงสาวตกใจจะส่งเสียงร้อง ก็ถูกปิดปากแน่น ก่อนจะถูกลากตัวออกไปทางหลังบ้าน
“อือ...อ่อย...” เกวลินดิ้นรนขัดขืน ปากก็พยายามส่งเสียงร้อง แต่ได้ยินเพียงเสียงอู้อี้ในลำคอ
“หยุด!!”
เกวลินหันขวับไปมองเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระ ก่อนจะอ้าปากค้างด้วยความตกใจ คาดไม่ถึงว่าจะเป็นเขา เธอรีบขยับถอยห่างด้วยความหวาดระแวง
สายตาคมกริบกวาดมองหญิงสาวตั้งแต่หัวจรดเท้า วันนี้เธอสวมใส่ชุดแซ็กพอดีตัวสีอ่อน ปล่อยผมยาวสลวยถึงเอว ปลายดัดลอนพองามตามคำแนะนำของนิรดา แต่มันก็เข้ากับเธอ ส่งให้ใบหน้ารูปหัวใจสวยโดดเด่น ดวงตากลมโตที่ปราศจากแว่นสายตา ดูน่ารักสดใสเหมือนคืนนั้นที่เขาบังเอิญพบที่ผับ
“เพื่อจะได้แต่งงานกับไอ้วิชญ์...อืม...ถึงกับลงทุนเปลี่ยนแปลงตัวเอง”
ร่างสูงใหญ่ขยับเข้าไปใกล้ เกวลินก็เดินร่นถอยหลัง สายตามองมาอย่างหวาดระแวง นริสหัวเราะแต่สายตากลับแข็งกร้าว “...ไม่อยากเชื่อเลย ว่าจะเป็นเธอ”
“ฉะ...ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไรนะคะ กรุณาหลีกทางให้ฉันด้วยค่ะ”
เมื่อตั้งสติได้ เกวลินก็รีบปรับสีหน้าท่าทางเหมือนไม่มีอะไร ทั้งที่ในใจเต้นรัวเป็นกลอง ยอมรับว่าสายตาของเขาทำเอาเธอขาสั่นจนก้าวไม่ออก แต่คำพูดที่ตอบโต้ กลับราบเรียบนิ่งเฉยเหมือนคนไม่เคยรู้จักกันจริง
นริสยืนนิ่งเฉยไม่ยอมขยับหลีกทางให้ เกวลินจึงเบี่ยงตัวหลบ แต่ชายหนุ่มกลับคว้าแขนเธอจับไว้แน่น พร้อมกับตะคอกใส่ เสียงแข็งกร้าว
“ถึงจะจับใส่ตะกร้าล้างน้ำจนสวยใส จะเปลี่ยนตัวเองให้ดูดียังไง แต่เธอก็เคยนอนกับฉันมาแล้ว อย่าคิดจะมาหลอกแต่งงานกับไอ้วิชญ์ซะให้ยาก...ไม่มีทาง!”
“คุณ!”
“หรือเธอจะเถียง ว่าไม่เคยนอนกับฉัน จะให้บอกมั้ยว่าคืนนั้น...เสียงครางเธอดังแค่ไหน แล้วที่ฉันบีบขยำทั้งคืน มันทั้งนุ่ม และใหญ่...เต็มไม้เต็มมืออย่าบอกใคร” มุมปากยกยิ้ม สายตาวาววับจ้องมองจุดที่เขาบอกทั้งนุ่มทั้งใหญ่อย่างไร้มารยาท
“ไอ้บ้า!” เกวลินยกมือขึ้นปิดหน้าอก เมื่อเขาจ้องไม่วางตา
“หึหึ...ทางที่ดีเธอตอบปฏิเสธเรื่องแต่งงานกับไอ้วิชญ์ซะ ถ้าไม่อยากให้ฉันพูดเรื่องนี้”
“อย่านะ!” เกวลินร้องห้ามเสียงหลง ด้วยความลืมตัว ทั้งที่แสดงออกว่าไม่เคยรู้จักเขา นริสแค่นยิ้มมุมปากอย่างดูถูก
“มันก็ขึ้นอยู่กับเธอ ว่าจะให้ฉันพูดเรื่องนี้มั้ย”
“ฉัน...”
“ถ้ายกเลิกไม่แต่ง...ฉันก็ไม่พูด แต่ถ้า...”
“ถ้า...อะไร”
“ถ้ายังคิดจะแต่งเข้ามาเป็นสะใภ้แสงสุขให้ได้ ฉันก็จะบอกอาสุพจน์ว่าคืนนั้นเธอไปทำอะไรมาบ้าง”
“พ่อฉันไม่มีทางเชื่อคุณหรอก” หญิงสาวเถียงทั้งที่ปากคอสั่น กลัวเขาจะพูดตามที่ขู่
“เรามาลองดูกันมั้ยล่ะ ถ้าฉันเล่าความจริง...”
“ไม่มีใครเชื่อคุณหรอก เพราะทุกคนเห็นชัดว่าคุณไม่ชอบขี้หน้าฉัน และไม่อยากให้แต่งกับพี่วิชญ์ คุณอาจจะกำลังใส่ร้ายฉันก็ได้ ทีนี้ล่ะทั้งพ่อทั้งคุณลุงยิ่งจะเร่งให้ฉันรีบแต่ง”
“ก็ให้มันรู้ไปสิ ว่าเธอยังจะหน้าด้านแต่งงานกับน้อง ทั้งที่นอนกับพี่มาแล้ว”
“คุณนริส!”
“ฉันไม่เคยพูดเล่น”
“ถ้าแน่จริงคุณก็ล้มเลิกงานแต่งครั้งนี้ให้ได้สิ อย่าเอาแต่เห่าหอน”
“เกวลิน!!” มือใหญ่คว้าจับแขนเธอไว้แน่น ก่อนจะกระชากเข้าไปปะทะแผ่นอกหนา
ดวงตากลมโตเบิกกว้างด้วยความตื่นตกใจ มือยกขึ้นดันอกเขา หันรีหันขวางกลัวจะมีคนผ่านมาเห็น
“อย่ามาทำรุ่มร่ามกับฉันนะ”
“ไม่ต้องมากระแดะ มากกว่านี้ฉันก็ทำมาแล้ว”
“คืนนั้นถ้าคุณไม่ฉวยโอกาสตอนฉันเมา มันไม่มีทางเกิดขึ้นแน่”
“หึ!... ยอมรับแล้วสิว่าเราเคยนอนด้วยกัน”
“ไอ้!..”
“ลองนึกดูดีๆ ใครกันแน่ที่เป็นคนเริ่มก่อน ทีแรกก็นึกว่าเป็นพวกเด็กใจแตก ที่ไหนได้เป็นถึงลูกสาวคนเล็กของอาสุพจน์ แล้วแบบนี้ถ้าพ่อเธอรู้ว่าเราเคย...”
“อย่านะ!”
“ถ้าไม่อยากให้ฉันพูด เธอก็ต้องยกเลิกงานแต่ง”
“แต่...ฉัน...”
“เลือกเอาว่าเธอจะบอกเอง...หรือจะให้ฉันเป็นคนพูด”
“คุณนริส!”
“ผู้หญิงเหลวแหลกแบบเธอ ไม่เหมาะจะแต่งเป็นเมียไอ้วิชญ์”
“มันจะมากไปแล้วนะ ฉันไม่เคยทำตัวเหลวแหลกอย่างที่คุณพูด”
“แล้วไอ้ที่เมาจนเสียสติ แหกปากร้องหาผู้ชาย มีผู้หญิงดีๆ ที่ไหนเค้าทำกัน...ยังกล้ามายื่นข้อเสนอแต่งงานกับไอ้วิชญ์ แถมรับรองเป็นอย่างดี ว่าเธอมันเด็กดี ใสซื่อ ไม่เคยนอกลู่นอกทาง...ตอแหล!”
“คุณ!!”