“ถ้าเธอยังคิดจะแต่ง เราจะได้เห็นดีกัน บอกไว้เลยว่าเธอไม่มีทางได้เข้ามาร่วมวงศ์ตระกูลแสงสุขแน่”
“เอาสิ...ถ้าคุณกล้า”
“คิดดีแล้วใช่มั้ย ที่พูดแบบนี้”
ถึงจะหวาดกลัว แต่เธอก็ไม่ยอมให้เขาข่มขู่อยู่ฝ่ายเดียวหรอก ในเมื่อผิดพลาดด้วยกัน ก็ต้องช่วยคิดหาวิธีสิ ไม่ใช่กดดันเธอแบบนี้
“คุณจะขวางอะไรได้ ในเมื่อทุกคนเห็นว่าฉันกับพี่วิชญ์เราเหมาะสมกัน โดยเฉพาะคุณลุง มองว่าฉันเหมาะกับตำแหน่งสะใภ้เล็กที่สุด จนอยากจัดงานแต่งให้พวกเราซะพรุ่งนี้เลย ฉันน่ะต้องขอร้องคุณลุงไว้” เมื่อเห็นสีหน้าบิดเบี้ยวไม่พอใจของเขา ก็ยิ่งทำให้เธอฮึกเหิมที่จะเติมเชื้อลงไป
“อาทิตย์หน้า พี่วิชญ์บอกว่าจะพาฉันไปดูชุดเจ้าสาว...คุณคงผิดหวังแล้วล่ะ เสียใจด้วยนะ...แต่...ถ้าแน่จริงก็ขัดขวางให้ได้สิ อย่าดีแค่ราคาคุย”
ในเมื่อเธอไม่สามารถยกเลิกงานแต่งครั้งนี้ได้ด้วยตัวเอง ก็ต้องยืมมือไอ้ยักษ์นี่แหละช่วย ไหนๆ ก็เป็นคนทำให้เธอตกที่นั่งลำบากแล้ว
“เกวลิน!!”
“ทำไม? คุณจะทำอะไรฉันเหรอ ที่โต๊ะอาหารก็เห็นแล้วนี่ ต่อให้คุณจะพูดจะว่าฉันยังไง ทุกคนก็ยังมองว่าฉันเหมาะจะเป็นเจ้าสาวของพี่วิชญ์ คุณไม่มีทางขวางได้หรอก” เกวลินจ้องหน้าแววตาท้าทาย ก่อนจะสะบัดมือออกแล้วเดินจากมา ทิ้งให้ทายาทคนโตของแสงสุขฟาร์มยืนนิ่งอึ้งอยู่คนเดียว
“คุณแม่คะ เกลอยากถามเรื่องที่คุณลุงพูดเมื่อตอนเย็นค่ะ”
“เรื่องอะไร”
“เอ่อ...เรื่องที่เกลจะต้องอยู่ที่นี่จนถึงวันแต่งงาน” สีหน้าลูกสาวดูกระวายกระวาย ต่างจากกาญจนาที่ยังคงนั่งหวีผมอย่างสบายใจ
“ก็ใช่ แล้วแกสงสัยอะไร”
“เกลไม่อยู่นะคะ”
“เจ้าบ้านเค้ายินดีต้อนรับ แกก็อย่ามาเรื่องมาก”
“แต่เกลลางานแค่สองอาทิตย์ ยังไงก็ต้องกลับไปทำงาน คงไม่อยู่รอจนถึงวันแต่งหรอกค่ะ”
ไม่เคยคุยกันสักคำว่าเธอต้องอยู่ที่นี่จนกว่าจะแต่งงาน ทั้งสุพจน์และกาญจนาบอกเพียงว่า จะมาเจรจาเรื่องการแต่งงานเท่านั้น
“ฉันคุยกับพ่อแกแล้ว จะให้แกลาออกจากงาน ไหนๆ ก็จะแต่งกับคุณวิชญ์อยู่แล้ว จะช้าจะเร็วแกก็ต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ ก็ลาออกเลย จะได้มีเวลาเตรียมตัว”
“แต่มันยังไม่ถึงเวลานะคะ อีกตั้งนาน”
“นานอะไร อีกหกเดือน เค้าก็จะจัดงานแต่งให้แกกับคุณวิชญ์ ที่แสงสุขฟาร์มนี่แล้ว”
“อะไรนะ!!” เกวลินอุทานตาโต
“แกจะแหกปากร้องทำไม ก็ฉันบอกอยู่นี่ว่าอีกหกเดือน”
“ทำไมมันเร็วนักล่ะ”
“คุณสาครเค้าบอกฤกษ์ดี แกก็อย่ามาเรื่องมาก แต่งๆ ไปเถอะ”
“แต่เกลยังไม่พร้อม”
“ยัยเกล...แกน่ะแทบไม่ต้องทำไรเลย นอกจากเตรียมตัวเป็นเจ้าสาว”
“งานแต่งนะคะคุณแม่ มันก็ต้องเตรียม...”
“คุณสาครเค้ารวย จะมาทำเองให้เหนื่อยทำไม จ้างเค้าจัดการให้ทุกอย่าง เดือนเดียวก็เสร็จ จริงๆ น่าจะจัดงานสักเดือนหน้า ฉันจะได้อยู่รอไม่ต้องวิ่งกลับไปกลับมาให้เหนื่อย”
“แต่เกลยังไม่ได้ยื่นเรื่องลาออกเลยนะ”
“แกก็ยื่นสิ จะส่งเป็นอีเมล หรือจะให้เพื่อนแกไปยื่นให้ก็ได้”
“แต่คุณแม่คะ”
“ไม่มีแต่ เรื่องนี้ฉันปรึกษากับพ่อแกแล้ว”
“เกลอยากทำงาน”
“ไม่ต้อง! หน้าที่แกคือเอาใจสามี เอาใจพ่อสามีให้มากๆ ไม่ใช่ตลอนๆ ไปทำงานนอกบ้าน เข้าใจมั้ย”
“แต่เกลไม่รู้จักใครที่นี่ ไม่คุ้นเคย มีไรจะปรึกษาใครล่ะคะ เกลขอกลับบ้านเราก่อนได้มั้ย แล้วค่อยมาเตรียมตัวตอนใกล้ๆ วันงานก็ได้” หญิงสาวอ้อนวอนกาญจนาตาละห้อย
เธอคงจะปรับตัวเข้ากับคนที่นี่ได้ง่าย หากไม่มีไอ้ยักษ์นั่น แค่นึกถึงสายตารู้เท่าทันที่มันจ้องมาแต่ละครั้ง ทำเอาเธอหนาว ๆ ร้อน ๆ แล้วถ้าต้องอยู่ที่นี่คนเดียว ต้องเผชิญหน้ากับมันทุกวัน แค่คิดก็สยองแล้ว
“แกจะกลัวอะไร ไม่เห็นหรือไง คุณวิชญ์เค้าท่าทางรักหลงแกจะตาย” น้ำเสียงขึ้นจมูกเหมือนไม่พอใจ แต่สีหน้ากลับไม่ได้บึ้งตึง ดูก็รู้ว่าอารมณ์ดี
“แต่เกล...” ส่วนลูกสาวแทบจะร้องไห้ เธอไม่อยากอยู่ที่นี่
“หยุด! แกไม่ต้องมาคร่ำครวญ โตป่านนี้แล้วยังจะมาทำตัวเป็นเด็กๆ”
“ค่ะ” เกวลินคอตกไม่กล้าขัดกาญจนา
ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ ไม่เหมือนที่คุยกันไว้สักนิด บอกเธอว่าแค่มาเจอตัวว่าที่เจ้าบ่าว และพูดคุยเจรจากัน จากนั้นเธอก็กลับกรุงเทพฯ รอเวลาจัดงาน
แต่วันนี้ทุกคนกลับมัดมือชก สั่งให้เธออยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงวันงานแต่ง โดยที่เธอไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจ
“คุณแม่ จะอยู่ที่นี่กับเกลจนถึงวันแต่งใช่มั้ยคะ”
“ไม่ได้หรอก ฉันต้องกลับบ้าน พ่อแกก็ต้องกลับไปดูงานเค้า”
“งั้นเกลกลับพร้อมคุณแม่ แล้วพอใกล้ถึงวันแต่งค่อยมาอีกทีก็ได้”
“เอ๊ะยัยเกล! นี่แกฟังไม่รู้เรื่องเหรอ ก็บอกอยู่นี่ว่าแกต้องอยู่เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว เดี๋ยวคุณวิชญ์จะพาแกไปตัดชุดแต่งงาน”
“แต่เกล...”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ยังไงแกก็ต้องแต่งกับคุณวิชญ์ ผู้ใหญ่เค้าคุยกันเรียบร้อยแล้ว”
“คุณแม่คะ...” เกวลินน้ำตาคลอหน่วยด้วยความอึดอัดหัวใจ ที่บอกใครไม่ได้
ลำแขนเรียวเล็กยกขึ้นโอบเอวกาญจนา ก่อนจะเอนหน้าเข้าไปซบตรงอกของคนเป็นแม่ ถึงกาญจนาจะรักเธอน้อยกว่าธัญรัตน์ และยังชอบบังคับเธอให้ทำนั่นทำนี่
ถึงจะบีบบังคับให้เธอแต่งงานเพราะเห็นแก่ของหมั้น แต่ลึกๆ เธอก็รู้ว่าคนเป็นแม่หวังดี อยากให้เธอสุขสบาย แต่ครั้งนี้เธอไม่สามารถอยู่ที่นี่ได้จริงๆ เรื่องทุกอย่างมันอัดแน่นอยู่ในอก จะบอกเล่าให้ใครฟังก็ไม่ได้
“ยัยเกล แกฟังฉันนะ”
กาญจนาเห็นน้ำตาลูกสาว ก็เสียงอ่อนลง แขนยกขึ้นโอบกอดร่างเล็กนั้นไว้กับอก ที่ผ่านมาเวลามีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ เกวลินก็มักจะเข้าหาสุพจน์มากกว่าเธอ คงเพราะเธอเข้มงวดกับลูกสาวมากเกินไป
พอนานวันเข้าก็กลายเป็นความห่างเหิน ซึ่งต่างจากธัญรัตน์ที่มักจะมาคอยออดอ้อน และพูดคุยกับผู้เป็นแม่มากกว่า ยอมรับว่าเธอเองก็รักลูกไม่เท่ากัน แต่ก็ไม่เคยเกลียดลูกสาวแม้แต่น้อย
“งานแต่งแกกับคุณวิชญ์ ผู้ใหญ่เค้าตกลงกันเรียบร้อยแล้ว จะมาเปลี่ยนใจตอนนี้ก็ไม่ใช่ ขืนไปบอกยกเลิก พ่อแกกับคุณสาครคงมองหน้ากันไม่ติด จากเพื่อนสนิทก็คงเลิกคบกันเลย แกอยากให้เป็นแบบนั้นหรือไง”