กู้เยว่ฉีตัวแข็งทื่อ ยอบกายลงทำจนศีรษะซ่อนอยู่หลังกองไม้ระเกะระกะ นางมือขึ้นปิดปากตนเองไม่ให้กรีดร้องออกมาด้วยความขัดเคือง ประโยคที่ท่านอ๋องน้อยพูดออกมาเมื่อครู่ ทำให้นางรู้ว่าที่แผนของนางและท่านพ่อสำเร็จง่ายดายไม่ได้เป็นเพราะสกุลกู้ซ้อนแผนได้แนบเนียน หากเป็นเพราะอีกฝ่ายยินดีจะเป็นเหยื่อต่างหาก
‘หลิงจางเหว่ย เจ้ารู้ตัวอยู่แล้ว แต่กลับเล่นตามบทที่ท่านพ่อกับข้าวางไว้ หรอกหรือ?’
หญิงสาวยิ้มเยาะตนเอง จากนั้นก็ค่อยเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึง รอจนคนทั้งสามเดินจากไปแล้ว กู้เยว่ฉีจึงลุกขึ้นมา นางตรงไปที่หอคอยแล้วขึ้นไปบนชั้นสาม มองตามทิศทางที่หลิงอ๋องซื่อจื่อเดินไป ครู่หนึ่งก็เห็นคนทั้งสาม ท่ามกลางผู้คนมากมาย นางสังเกตเห็นกว้านสีทองของสามีในฝันผู้นั้นทอประกายแวววาว
นางได้ยินเสียงเคาะเกราะบอกเวลาก็ยกมือขึ้นกอดอก หญิงสาวรีบสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ข้างใน ใกล้จะถึงเวลาแล้ว....
“ท่านพ่อ หลิงอ๋องซื่อจื่อมาโน่นแล้วขอรับ” กู้เฉินที่ยืนอยู่ระเบียงชั้นสองของโรงเตี๊ยมชี้ให้บิดาดูบุรุษในชุดสีขาวปักลวดลายงดงาม ชายหนุ่มมองอีกฝ่ายด้วยความชื่นชม “ซื่อจื่อผู้นี้สง่างามเสียจริง ไม่ว่าจะไปแห่งใดล้วนโดดเด่นท่ามกลางผู้คนนะขอรับ”
“เจ้าชอบว่าที่พี่เขยถึงเพียงนี้เชียว?”
“ขอรับ ข้าดูแล้วซื่อจื่อก็เหมาะกับพี่หญิงของข้ามาก แต่ว่าเราไม่ให้นางเป็นคนมาช่วยอ๋องน้อยเช่นนี้จะดีหรือขอรับ?”
“เอาเถิด พ่อเชื่อว่าพี่สาวเจ้าคงจะมีเหตุผล เอาไว้ให้เจ้ากลายเป็นผู้มีพระคุณช่วยชีวิตเขาเสียก่อน เรื่องอื่นก็คงไม่ยากนักหรอก”
กู้เฉินเชื่อว่าพี่สาวของตนต้องคิดถูกแน่เพราะเบื้องหลังความสำเร็จของท่านพ่อล้วนมีนางอยู่ คนทั่วไปเข้าใจว่าบิดาของเขารักและตามใจกู้เยว่ฉี มีเพียงเขาและมารดาเท่านั้นที่รู้ว่าพี่สาวเป็นผู้ช่วยวางแผนให้บิดาก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ขุนนางขั้นสูงของเมืองหรงเฉิน
....สำหรับกู้เยว่ฉี ขอเพียงทำให้ครอบครัวอยู่สูงกว่าผู้อื่น ไม่ว่าเรื่องดีหรือเรื่องร้ายนางก็กล้าทำทั้งนั้น...
เขาเคยถามพี่สาวว่าไม่อยากจะเข้าวังในเป็นพระสนมบ้างหรือ? แต่คำตอบของกู้เยว่ฉีก็ชวนให้ประหลาดใจ นางบอกว่าการป่ายปีนในวังหลวงนั้นยุ่งยากเกินไป และสกุลกู้ก็ไม่ได้มีคนเป็นขุนนางนำตำแหน่งสูงมากพอจะหนุนนางได้
‘เสี่ยวเฉิน หากว่าเราสองพี่น้องนำพาสกุลกู้ก้าวขึ้นสู่ความเป็นหนึ่งในตระกูลสำคัญของเมืองหรงเฉินได้ ก็นับว่าประสบความสำเร็จไปขั้นหนึ่งแล้ว วันหน้าข้าจะส่งเสริมลูกหลานสกุลกู้ก้าวเข้าสู่วันหลวงในวันหน้า’
นั่นคือเหตุผลที่กู้เยว่ฉีเล็งเป้าไปที่หลิงอ๋องซื่อจื่อ
“เสี่ยวเฉิน พวกเราไปขึ้นรถม้าเถอะ พ่อว่าอีกไม่นานพวกมันต้องลงมือ”
“ขอรับ”
สองพ่อลูกสกุลกู้ขึ้นรถม้าคันใหญ่หน้าโรงเตี๊ยมอ้อมไปอีกทางเพื่อจะได้ผ่านมาทางสี่แยกที่มือสังหารซ่อนตัวอยู่ ละแวกนี้คนค่อนข้างบางตา
กู้เยว่ฉีที่ยืนมองจากมุมสูง เห็นความเคลื่อนไหวของทุกคนข้างล่างอย่างถนัดถนี่ สิ่งที่นางไม่เคยรู้ก็ค่อยๆ เผยออกมา หลิงจางเหว่ยหันไปกระซิบกับองครักษ์ ยอดฝีมือแซ่ฝานคนพี่จึงส่งสัญญาณบอกคนที่ยืนอยู่บนชั้นสองของตึกตรงข้าม และบุรุษผู้นั้นก็ทำสัญญาณมือบอกกับมือสังหารที่ค่อยๆ โผล่หน้าออกมาทีละคน
‘ซื่อจื่อ ที่แท้เจ้าคือคนบงการมือสังหารคนพวกนี้นี่เอง’
กู้เยว่ฉีเย็นวาบไปทั่วหลัง นางเคยคิดประมาทคนสกุลหลิงว่าช่างหลอกลวงได้ง่ายดาย ที่แท้เป็นสกุลกู้ต่างหากที่ตกลงในไปหลุมพรางนั้น หากนางไม่ได้เห็นเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยตาตนเองก็คงยากจะเชื่อ
บุรุษชุดดำราวสิบคนกระโจนลงจากหลังคาพร้อมอาวุธ บุกเข้าหมายสังหารอ๋องน้อยสกุลหลิง องครักษ์ทั้งสองชักกระบี่เข้าปกป้อง ในขณะที่หลิงจางเหว่ยเองก็ใช้กระบี่ประจำตัวเข้าต่อสู้ด้วย กู้เยว่ฉีจึงได้เห็นฝีมือของสามีในฝันของนางว่าร้ายกาจเพียงใด เขาสามารถรับมือยอดฝีมือทั้งสิบได้ด้วยตนเอง แต่กลับสู้ไปถอยไปราวกับออมแรงรอบางอย่าง
ไม่นานนักรถม้าของสกุลกู้ก็โผล่มาถึงสี่แยก
“นายท่าน ข้างหน้ามีเหตุร้ายขอรับ น่าจะเป็นการลอบสังหาร”
ใต้เท้ากู้กับบุตรชายรีบโผล่หน้าออกมาจากรถม้าในทันทีราวกับเตรียมตัวรออยู่แล้ว
“เสี่ยวเฉิน พาคนไปช่วยเร็วเข้า!”
“ขอรับ ท่านพ่อ”
กู้เยว่ฉีแสยะยิ้ม บิดากับน้องชายของนางคงคิดว่าตนเองกำลังจะได้กลายเป็นผู้มีพระคุณของซื่อจื่อแห่งสกุลหลิง ประสาทของนางเริ่มตึงเครียด ตอนนี้นางเริ่มอยากรู้แล้วว่าเหตุใดหลิงจางเหว่ยจึงต้องวางแผนช่วยนางให้กลายเป็นชายาของเขา?
กู้เยว่ฉีโบกผ้าเรียกให้หัวหน้าองครักษ์ที่ดูแลความปลอดภัยของนางขึ้นมาบนหอคอย “เหล่าไป๋ เจ้ารอจนพวกเขาสู้กันใกล้จะจบแล้วลอบตามพวกมันไป ข้าอย่างรู้ว่ามือสังหารกลุ่มนี้มาจากที่ใด?”
“ขอรับ คุณหนู”
หญิงสาวจับตามองเหตุการณ์ข้างล่างแทบไม่กระพริบตา ในฝันประหลาดนั่น นางอยู่ในรถม้าและโผล่หน้าออกมาสั่งการให้องครักษ์ที่ติดตามนางทั้งหมดเข้าช่วยเหลือหลิงจางเหว่ย พอขับไล่มือสังหารไปจนหมด เขาก็เข้ามาขอบคุณนางด้วยท่าทางสง่างาม และทิ้งท้ายด้วยการเชิญนางไปเยือน จวนอ๋องหลิงอย่างเป็นทางการ
ครานั้นนางยิ้มรับพร้อมกับยอบกายอย่างงดงาม ในขณะที่หัวใจลิงโลด ความปรารถนาที่จะเป็นซื่อจื่อเฟยของหลิงอ๋องซื่อจื่อใกล้ความจริงเข้าไปอีกก้าว
‘ข้ามันโง่เอง คิดว่าตนเองอยู่เหนือผู้อื่น แท้จริงกลับเป็นเบี้ยให้เขาจับโยกเพื่อให้สกุลกู้แพ้ยกกระดาน’
การต่อสู้ที่สี่แยกนั่นดำเนินอยู่พักใหญ่ ใต้เท้ากู้เตรียมคนเอาไว้แล้ว เมื่อเห็นว่านักฆ่ามีจำนวนมากกว่าที่คาด กู้เจินก็ให้องครักษ์ตนเรียกคนออกมาเพิ่มขึ้น ฝ่ายคนร้ายเห็นเช่นนั้นก็พากันตะโกนสั่งให้ถอย
กลุ่มองครักษ์สกุลกู้ดาหน้าเข้าตะลุยฆ่าคนร้าย ทว่าด้วยความวุ่นวายของเทศกาลทำให้มือสังหารหนีกระจัดกระจายจนยากจะติดตาม
“พอแล้ว ไปแจ้งมือปราบให้ตามล่าต่อเถอะ” คุณชายสกุลกู้ร้องสั่งองครักษ์ของตน เขารีบวิ่งกลับไปยืนเคียงข้างบิดา
ใต้เท้ากู้เห็นเหตุการณ์สงบดีแล้วก็รีบลงจากรถม้า ถลาเข้าไปประสานมือค้อมศีรษะประจบประแจงหลิงจางเหว่ยทันที “ซื่อจื่อ เป็นอย่างไรบ้างขอรับ? ขออภัยที่ข้าน้อยเข้ามาช่วยท่านช้าเกินไป”
หลิงจางเหว่ยปรายตามองศพที่นอนระเกะระกะ แล้วหันไปหาขุนนางวัยกลางคน “เคราะห์ดีที่ยังมีใต้เท้ากู้ ไม่เช่นนั้นข้าก็คงต้องพลาดท่าเสียทีพวกมันเป็นแน่”
มือปราบกลุ่มหนึ่งวิ่งเข้ามาด้วยสายตาตื่นตระหนก บุรุษที่สวมชุดมีเหลือบต่างจากผู้อื่นมองเห็นหลิงอ๋องซื่อจื่อก็รีบเข้าไปหา
“ข้าน้อยมาช้า ไม่ทันป้องกันภัยให้ท่านอ๋องน้อย ความผิดครั้งนี้ใหญ่หลวงนักขอรับ”
หลิงจางเหว่ยโบกมือสองสามที “มิเป็นไร ครั้งนี้ข้าได้ใต้เท้ากู้กับบุตรชายเข้ามาช่วยเหลือได้ทัน ข้าไม่บาดเจ็บเลยสักนิด”
สายตาของหลิงอ๋องซื่อจื่อเจือความผิดหวัง เขาพยายามมองหาคนที่คิดว่าจะนั่งมาในรถแต่กลับไม่ปรากฎแม้เงา กู้เฉินที่ยืนข้างกับบิดารู้สึกประหลาดใจกับท่าทีของหลิงจางเหว่ยแต่ไม่ได้เอ่ยถาม
“เมื่อครู่ ข้าเห็นมือสังหารรุมล้อมซื่อจื่อเอาไว้ นึกว่าจะเข้าไปช่วยท่านไม่ทันเสียแล้วขอรับ”
“คุณชายกู้ ข้าขอบใจเจ้ามาก หากเจ้ามาช้ากว่านี้อีกครึ่งเค่อข้าก็คงต้านทานพวกเขาไม่ไหวแล้ว” หลิงจางเหว่ยยิ้มกว้างยกมือขึ้นตบบ่ากู้เฉินอย่างสนิทสนม “พรุ่งนี้คงต้องเชิญเจ้าเข้าจวนอ๋องไปดื่มสุรากับข้าเสียหน่อย”
“ซื่อจื่อ เกรงใจเกินไปแล้วขอรับ”
*******************************
*หนึ่งเค่อ เท่ากับสิบห้านาที