“เจอแล้วครับคุณกร!”
คณกรรีบวิ่งตามไปที่ห้องครัว เมื่อเจอหน้าคู่หูขวางนรกก็ล็อคมือซ้ายของเมษาเข้ากับมือขวาของจิรภาสด้วยกุญแจมือ
จิรภาสพยายามดิ้นให้หลุดจากกุญแจมือ เขาเอื้อมไปหยิบมีดใหญ่หวังจะตัดสายโซ่ตรงกลางให้ขาด แต่คณกรก็ทุบมือนั้นด้วยครกหินที่อยู่ใกล้ ๆ เช่นกัน
ผู้จัดการผับร้องโอดโอย มือเต็มไปด้วยเลือด นิ้วที่เคยมีกระดูกคล้ายจะแหลกสลายกลายเป็นเศษดิน ขยับไม่ได้และห้อยโตงเตงตามแรงโน้มถ่วง
“คุณ... คุณ... คุณกรคะ เมย์...” เมษาไม่ได้พูดจนจบ เมื่อถูกปืนจ่อที่ใต้คางเธอก็เงียบไปในทันที
“ใครจ้างคุณเมย์กับคุณภาสให้ทำแบบนี้ครับ” คณกรไม่เพียงถาม ปากยังคลี่ยิ้มเหมือนที่เคยมีไมตรีกับทั้งสองคน
เมษาน้ำตาไหล คิดไม่ถึงว่าคนที่ดูใจดีผิดกับภวิศจะน่ากลัวขนาดนี้ ตอนนี้เลยกระจ่างแล้วว่าทำไมเขาถึงเป็นมือขวาของผู้มีอิทธิพล ทั้ง ๆ ที่ภาพลักษณ์ไม่น่าจะเป็นแบบนั้นเลย
“กูถามว่าใคร!” คราวนี้คณกรไม่ใจเย็น เค้นเอาคำตอบแล้วลั่นไกผ่านหูเธอไป
เมษาตัวสั่น ยิ่งเห็นคนที่เกี่ยวพันกันด้วยกุญแจมืออย่างจิรภาสสลบจนหน้าฟุบอยู่บนเขียงก็ไม่รู้จะทำยังไง กลัวตัวเองจะมีจุดเดียวกัน
“ใคร!”
“เมย์ไม่รู้จริง ๆ ค่ะคุณกร เขามาหาเมย์กับพี่ภาสตอนส่งน้องพลอยเข้าไปในห้องแล้ว เขาถามว่าคุณวิศอยู่ห้องไหน แต่ตอนแรกเราไม่ได้บอกเพราะเป็นความลับของลูกค้า แต่เขาเสนอเงินให้เมย์กับพี่ภาสคนละก้อน เราเลยตอบเลขห้องไปค่ะ”
“คนนี้ใช่มั้ย” เขาถามเมื่อให้เมษาดูรูปคนที่ถูกภวิศยิง
เธอพยักหน้าและยกมือปิดปากที่เห็นคนแปลกหน้าที่เพิ่งพูดจากันไม่นานยังลืมตาแต่ไร้ลมหายใจ
คณกรปลดกุญแจมือให้เธอไร้พันธนาการจากจิรภาส เพราะคนที่มีข้อมูลให้สืบสาวต้นตอตายไปแล้ว
“ถ้าไม่อยากวุ่นวาย แนะนำให้บอกตำรวจว่าเป็นความผิดพลาดของระบบความปลอดภัย แต่ถ้าพูดความจริง อีกไม่กี่วันสัญญาณเตือนภัยน่าจะดังเพราะเหตุไฟไหม้จริง ๆ คืนนี้ผมขอตัวนะครับ”
คณกรกับพรรคพวกค่อย ๆ ทยอยออกไปและทำตัวกลมกลืนกับกลุ่มลูกค้าที่สับสนว่าเกิดอะไรขึ้นในผับ เมษาเลยได้แต่ช้ำใจที่พลาดท่าซ้ำแล้วซ้ำเล่า และเงินที่ได้จากการขายความเป็นส่วนตัวของลูกค้า ไม่คุ้มค่าที่รอดตายมาได้เลย
3 ปีต่อมา...
เสียงนาฬิกาปลุกดังบอกเวลาหกโมงเช้า พลอยภัทรที่เพิ่งได้งานประจำทำเมื่อสามเดือนก่อนค่อย ๆ ลืมตา มือควานหาโทรศัพท์มือถือที่วางไว้แถวหัวเตียง
เมื่อปิดเสียงเตือนก็ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวแล้วขดตัวอยู่ในนั้นอีกหลายนาที นึกในใจว่าคิดถูกจริง ๆ ที่ย้ายจากกรุงเทพมาทำงานต่างจังหวัด ไม่งั้นป่านนี้คงต้องรีบลุกขึ้นมาอาบน้ำแล้วเตรียมตัวไปทำงาน
แต่คิดว่าตัวเองโชคดีได้ไม่ถึงห้านาทีก็มีคนโทรมาหา เมื่อเห็นว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นเพื่อนซี้ที่หนีจากความวุ่นวายในเมืองใหญ่มาด้วยกันก็รีบรับสาย ก่อนจะต่อว่าแทนคำทักทาย
“ใครสั่งใครสอนให้โทรหาคนอื่นตั้งแต่หกโมงเช้า”
นลินดาหัวเราะ ไม่ได้สำนึกผิดหรือละอายใจ เพราะรู้ว่าตัวเองไม่ผิดอย่างแน่นอน
“ขอโทษที่เสียมารยาทนะพลอย แต่แกลืมไปหรือเปล่าว่าวันนี้วันอะไร”
“ก็วันจันทร์ไง”
“แล้วยังไงอีก?”
“ก็ต้องไป... เฮ้ย!” พลอยภัทรเด้งตัวจากเตียงนุ่ม จากที่กำลังงัวเงียตาก็ลุกวาวด้วยความตกใจ เพราะวันนี้ที่บริษัทมีเรื่องใหญ่ให้ต้องจัดการ
“นึกออกแล้วก็ลุกไปอาบน้ำค่ะ! แล้วไปอ่านแชตด้วย เมื่อคืนแกบอกให้ฉันโทรมาปลุกเว้ย!”
“เหรอวะ?”
“เออ! เจ็ดโมงเจอกันหน้าหอ เร็ว ๆ เลย!” นลินดาวางสาย ไม่เปิดโอกาสให้เพื่อนเถียง
พลอยภัทรเองก็หน้าเจื่อนเมื่อเห็นข้อความที่ส่งไปตอนตีหนึ่ง จำได้แค่นอนคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ รวมถึงเรื่องที่จะบอกให้นลินดาโทรปลุก แต่จำไม่ได้ว่าพิมพ์ข้อความส่งไปตอนไหน ทว่าไม่เสียเวลาทบทวน กระวีกระวาดไปเตรียมตัวให้พร้อม
“เฮ้ย!”
“มาฮงมาเฮ้ยอะไร เพื่อนเล่นเหรอ” นลินดาหน้าตึง เบะปากใส่เพื่อนรักที่เข้ามาทักทายด้วยการโอบไหล่
“ถือว่าหายกันกับที่วันก่อนแกอ้วกใส่ฉันแล้วกันนะ”
พลอยภัทรถือโอกาสทวงบุญคุณ คืนวันเสาร์ที่ผ่านมา ไม่รู้เพื่อนหนักอกหนักใจอะไรนักหนา ซื้อเบียร์เย็น ๆ มาหลายกระป๋อง บอกให้แบ่งกัน แต่สุดท้ายเพื่อนก็ซัดหมดทุกกระป๋อง
“ไม่ได้อ้วก แค่เป็นกระบวนการที่กระเพาะอาหารเอาของไม่ดีออกจากร่างกายทางปาก”
“โอเค ไม่อ้วกก็ไม่อ้วก แล้วนี่... เอาพวงมาลัยมาทำไม” พลอยภัทรมองถุงพลาสติกในมือเพื่อน
“เอาไปไหว้ศาลพระภูมิหน้าหอ ฉันซื้อมาเผื่อแกด้วย ไปเร็ว ไปไหว้กัน”
“เดี๋ยวนะ ไหว้ทำไม วันพระอีกแล้วเหรอ?”
นลินดาน่ะสวยมูตัวแม่ ทุก ๆ วันพระเพื่อนจะพาไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่ใกล้ตัวตั้งแต่สมัยเรียนมหาวิทยาลัย แต่วันพระของสัปดาห์นี้เพิ่งผ่านไปเมื่อสามวันก่อนเองไม่ใช่เหรอ
“เปล่า แต่วันนี้ไหว้เพื่อบอกเจ้าที่เจ้าทางว่าเราอยากอยู่ที่นี่ต่อ ให้ท่านช่วยคุ้มครองพวกเราให้อยู่รอดปลอดภัย ช่วยให้บริษัทไม่ถูกปิด”
“โอเค งั้นไปเลย” พลอยภัทรรับพวงมาลัยอย่างเต็มใจ
เหตุก็เพราะหนึ่งเดือนก่อนหน้านี้ มีข่าวแว่วมาว่าเจ้าของบริษัทจำเป็นต้องย้ายไปอยู่ต่างประเทศกะทันหันเลยส่งต่อธุรกิจให้คนอื่น
ทว่าไม่มีใครสนใจเพราะมูลค่าบริษัทค่อนข้างสูง หากไม่มีคนมาสานต่อพนักงานคงต้องตกงานกันหมด และแม้จะได้รับเงินชดเชยที่ถูกเลิกจ้างมากแค่ไหน ยังไงก็ต้องเดือดร้อนไม่ทางใดก็ทางหนึ่งอยู่ดี
แต่ข่าวล่ามาไวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีคนสนใจเข้ามาทำธุรกิจนี้ต่อแล้ว และว่าที่เจ้าของคนใหม่จะเข้ามาดูบริษัทวันนี้ พนักงานเลยต้องรีบไปแต่เช้าเพื่อเตรียมรับมือ เพราะไม่มีใครอยากเปลี่ยนงานทั้ง ๆ ที่มีความสุขดี
“บอกตรง ๆ นะพลอย ฉันชอบที่นี่มาก ไม่อยากกลับกรุงเทพแล้ว” นลินดาบอกด้วยเสียงจริงจังหลังจากไหว้ขอพรเสร็จแล้ว
“เหมือนกัน ที่นี่ทำให้ฉันมีความสุขมาก” พลอยภัทรมองไปรอบ ๆ แล้วเผลอยิ้มออกมา
จังหวัดนี้ห่างจากกรุงเทพสามชั่วโมง เป็นหัวเมืองใหญ่ของภาคอีสาน มีทุกอย่างตอบสนองการใช้ชีวิต และการได้อยู่ที่นี่ทำให้ได้หนีจากความทรงจำอันเลวร้ายในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จากที่เคยคิดถึงเหตุการณ์คืนนั้นทุกวัน สภาพแวดล้อมใหม่ ๆ ก็ช่วยให้คิดน้อยลง และหวังว่าจะลืมมันได้ในสักวัน ถ้าลืมไม่ได้ก็ขอแค่เวลาคิดถึง... ความเจ็บปวดและคำถามมากมายจะไม่ส่งผลอะไรกับใจแล้ว
“ฉันตัดสินใจละ”
“ว่า?” พลอยภัทรหันไปมองนลินดา รายนี้ชอบคิดอะไรคนเดียวแล้วค่อยพูดออกมา หลายครั้งเลยตามไม่ทันว่าหมายถึงเรื่องอะไร
“ฉันจะมีแฟน แล้วฉันกับเขา เราจะอยู่ที่นี่ด้วยกันไปจนตาย”
“ก็ดูเป็นเป้าหมายที่ทำได้นะ คนในบริษัทมีเป็นพันคน ต้องมีสักคนแหละน่าที่ชอบแก”
“น้อยไป อย่างน้อยต้องสิบคนค่ะ”
“ก็จริงของแกนะลิน”
“แน่นอนอยู่แล้ว ฉันน่ะ แม้กระทั่งปลายผมหนึ่งเซนสุดท้ายก็ยังสวย” นลินดาสะบัดผมไปด้านหลังแล้วหมุนตัวไปมาจนสะดุดขาตัวเอง แต่โชคดีที่พลอยภัทรช่วยจับไว้ได้ทัน
เธอช่วยไปขำไป คนเห็นเหตุการณ์จากที่ตกใจก็หัวเราะเบา ๆ ตามไปด้วย เพราะบริเวณนั้นขวักไขว่ไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินทางไปทำงาน
“โคตรอายเลยพลอย”
“อายทำไม คนเยอะแยะ”
อีกครั้งที่สองสาวหัวเราะร่าอยู่ริมถนน และนั่นทำให้คนบนรถที่กำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าหลังจากติดไฟแดงหันมามองด้วยความสนใจ ทว่ายังไม่ทันจะได้แน่ใจว่าคนที่เห็นเป็นคนที่คิดไว้หรือไม่ ระยะทางก็ห่างไกลเกินกว่าจะหาคำตอบได้แล้ว
“มีอะไรหรือเปล่าครับคุณวิศ” คณกรถามเจ้านายที่เอี้ยวตัวไปมองข้างหลัง เหมือนว่าเขาจะเห็นอะไรน่าสนใจจนก้นไม่ติดเบาะ
“เปล่า” ภวิศตอบสั้น ๆ แล้วกลับมาอ่านอะไรบางอย่างในแท็บเลตต่อ ทว่าสมาธิมีไม่มากเหมือนก่อนหน้า เหตุผลก็เพราะว่าผู้หญิงที่เห็นเพียงเสี้ยววินาทีเมื่อครู่... เหมือนพลอยภัทรเหลือเกิน