นายแพทย์ก้องภพ ธนากรกุล หรือ หมอก้อง Talks
ตอนนี้ผมเป็นหมออยู่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร อาชีพหมอคือความใฝ่ฝันของผมมาตั้งแต่จำความได้ ถึงทางบ้านจะทำธุรกิจหลายอย่าง แต่ผมก็อยากเป็นหมออยู่ดี ซึ่งครอบครัวของผมอยู่อเมริกากันหมด ไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อ คุณแม่ หรือน้องสาวฝาแฝด มีผมที่อยู่เมืองไทย เพราะคุณย่าท่านอยากให้หลานชายคนเดียวของท่านอยู่ใกล้ ๆ
วันนี้...วันที่สิบสี่ กุมภาพันธ์ วันแห่งความรัก วันที่ใคร ๆ ก็ชอบอยากให้มีวันนี้บ่อย ๆ แต่สำหรับผมน่ะเหรอ โคตรเกลียดวันนี้ ไม่อยากให้มีวันนี้ อยากให้มีวันที่สิบสามกุมภา แล้วข้ามไปวันที่สิบห้าเลยได้ไหม ก่อนหน้านี้ผมก็ไม่ได้เกลียดวันนี้ขนาดนี้หรอก ก็ชอบเหมือนคนอื่น ได้บอกรักผู้หญิงที่แอบชอบ ได้ส่งดอกกุหลาบให้สาว ๆ และได้ช็อกโกแลตจากสาว ๆ
แต่เรื่องบัดซบมันดันเกิดก่อนวันวาเลนไทน์เมื่อห้าปีที่แล้ว เรื่องราวที่ทำให้ชีวิตและจิตใจผมโคตรเปลี่ยนไปตลอดกาล
ย้อนไปเมื่อห้าปีที่แล้ว ผับ SSS
“ไงไอ้ก้องกูนึกว่ามึงจะมาไม่ได้แล้ว”
“เลี้ยงรุ่นทั้งทีไม่มาได้ยังไงวะ” ใช่ครับมันคืองานเลี้ยงรุ่นของผมกับเพื่อนมัธยม ไม่ได้เจอกันเกือบสองปี...ซึ่งทุกคนมากันครบ...แบบเหมือนไม่เคยมีมาก่อน
เพื่อน ๆ มากันครบแก๊งแบบนี้ต้องฉลองกันหน่อย เอาให้สุดเหวี่ยงไปเลย...คืนนี้ไม่เมาไม่เลิก
“ดื่ม ๆ ๆ”
“มา ๆ ไอ้ก้องดื่ม ๆ”
“อ้าวดื่ม...หมดแก้ว”
คำว่าหมดแก้วกับดื่ม ๆ ๆ ดังขึ้นตลอดงานเลี้ยง
วันนั้นผมจำได้ว่าดื่มกันหนักมาก ชนิดที่ว่าลืมทางกลับบ้านกันเลยทีเดียว
“กูไปเข้าห้องน้ำก่อน”
ผมบอกกับเพื่อนคนหนึ่ง เดินไปเข้าห้องน้ำก่อนกลับคอนโดซึ่งไม่ได้อยู่ไกลจากผับเท่าไหร่ แค่เดินไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงแล้ว
ตึก...ระหว่างที่ผมเดิน ๆ อยู่นั้นได้ชนใครสักคนหน้าห้องน้ำ...
“ขอโทษครับ / ขอโทษค่ะ”
ซึ่งความทรงจำสุดท้ายผมก็มีเพียงเท่านี้ รู้สึกเหมือนครึ่งหลับครึ่งตื่น
“อือ...อือ...แน่นมาก”
“อ่าาาา เสียว”
“ตอดฉิบหาย อือ อือ” ในฝันของผม คล้ายกับผมกำลังบรรเลงบทรักร้อนฉ่ากับนางฟ้าคนสวย กลิ่นกายที่หอมเฉพาะ...กลิ่นของเธอบริสุทธิ์ผุดผ่อง ยังคงติดตรงจมูกของผมจนถึงทุกวันนี้
นางฟ้าคนนี้บริสุทธิ์ผุดผ่อง...หอมหวานราวกับขนมหวานที่เพิ่งออกจากเตาอบ รสสัมผัสนุ่มละมุนลิ้น ไม่ว่าจะด้านนอกหรือด้านใน ความตอดรัดที่แน่นจนปวดร้าวไปทั้งตัว...เราบรรเลงเพลงรักกันทั้งคืน
ความสุขในรสรักที่ไม่เคยได้สัมผัส และไม่เคยได้สัมผัสอีกเลยตลอดห้าปีที่ผ่านมา ความสุขมักไม่อยู่กับเรานาน...
“อือ...ปวดหัวว่ะ” ความรู้สึกหน่วง ๆ ตรงแก่นกาย แต่สบายตัวอย่างบอกไม่ถูก...อิ่มใจ...อิ่มกาย
ผมใช้มือควานหาโทรศัพท์เพื่อดูเวลา ควานไปควานมาไปสัมผัสกับอะไรสักอย่าง
อะไรนุ่ม ๆ วะ ความสงสัยเกิดขึ้นในใจผม
“เชี่ย” ผมสบถออกมาแบบไม่ทันได้ตั้งสติ
กูหิ้วใครมาที่ห้องวะเนี่ย เรื่องเมื่อคืนไม่ได้ฝันไปเหรอวะ เธอนอนหันหลังให้ผม ทำให้ผมเห็นปานแดงตรงกลางหลังเธออย่างชัดเจน ผมตบหน้าตัวเอง
“แม่ง ไม่ได้ฝัน กูทำไงดีวะ”
มือสั่น ๆ ของผมกำลังจะยื่นมือไปจับไหล่เธอเพื่อหันหน้ามาดู บอกตรง ๆ ผมจำหน้าไม่ได้...จำได้แต่กลิ่น
ติ๊ด ติ๊ด
ก่อนที่มือของผมจะสัมผัสเธอ ผมได้ยินเหมือนเสียงคนกำลังกดรหัสประตูห้อง และมีคนเดียวที่มีรหัสประตูคอนโดผม..ของขวัญ
“เชี่ย” มันจะมีอะไรบัดซบเท่านี้อีกวะ ผมรีบคว้ากางเกงยีนมาสวม แต่ยังไม่ทันจะใส่ดี ร่างบางที่ผมคุ้นตาก็เดินเข้ามาเสียก่อน
“ก้องนี่มันอะไร”
“ขวัญฟังก้องก่อน” ผมรีบใส่กางเกงยีนแล้วสวมเสื้อยืด วิ่งตามของขวัญออกไป รองเท้าก็ไม่ทันได้ใส่
“ขวัญ ขวัญ”
ไม่ทัน...ของขวัญขึ้นแท็กซี่ไปแล้ว
มือถือ...มือถือ กูอยู่ไหน
ผมรีบวิ่งกลับมาเอามือถือที่ห้อง หยิบมาดูถึงได้รู้ว่าแบตหมด
สายชาร์จ... สายชาร์จ ...
เปิดเครื่องได้...ผมรีบกดโทรหาของขวัญ หากเป็นเสียงฝากข้อความ...หมายเลขที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้
“แม่งเอ๊ย”
เธอปิดเครื่องไปแล้ว
อ้าว แม่งผู้หญิงที่นอนอยู่ตรงนี้ไปไหนแล้ววะ
“เชี่ย...ครั้งแรกเหรอวะ”
ไม่ใช่ผมที่ครั้งแรก แต่ผู้หญิงที่ผมหิ้วมา
ครั้งแรกของเธอ...เพราะเลือดที่ยังเปื้อนเต็มที่นอนและเลือดที่ยังติดอยู่ที่หน้าขาของผม...บอกได้เป็นอย่างดีว่าเมื่อคืนเราหนักหน่วงกันขนาดไหน
“เชี่ย นี่กูไม่ได้ใส่ถุงด้วยเหรอวะ” เพราะเลือดมันดันติดที่ก้องน้อยของผมด้วย
วันนี้ไม่รู้ว่าผมพูดคำว่า “เชี่ย” และสบถไปกี่ครั้งไม่ได้นับ ก็วันนี้มันโคตรเชี่ยจริง ๆ
เป็นไงครับแบบนี้จะให้ผมชอบวันแห่งความรักอีกไหม
ความบัดซบมันยังไม่หมด...เมื่อผมรับสายจากไอ้ปั้น
“ไอ้ก้อง ของขวัญฆ่าตัวตายตอนนี้อยู่ห้องไอซียู”