กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว ยังมีเรื่องเล่าขานถึงป่าอาถรรพ์ ความน่าสะพรึงกลัว มาพร้อมกับอันตรายจากสิ่งลี้ลับคนธรรมดาอย่างพวกเรา ไม่อาจเข้าถึงได้...
คนเล่าหยุดพูดก่อนชี้นิ้วนำทางไปยังด้านหลัง
ตรงกลางวงนิทาน มีกองไฟขนาดย่อมถูกจุดสว่างไสวเอาไว้ ใช้สำหรับคลายอากาศหนาวเย็น ช่วงเดือนนี้กำลังเข้าสู่หน้าหนาว เด็กบางคนยังต้องลากผ้าผืนโต นำมาห่อหุ้มร่างกายก็มี...
“มันอยู่ตรงนั้น...”
สุดลูกหูลูกตา ปรากฏภูเขารูปทรงแปลกประหลาด รายล้อมด้วยอากาศขมุกขมัว เมฆฟ้าสีดำทะมึน...
“ตรงหลังภูเขาลูกนั่นไง...ที่ข้าหมายถึง” พร้อมสำทับด้วยน้ำเสียงก้องกังวาน
“มันเป็นป่าดงดิบ เต็มไปด้วยอันตรายจากสิ่งที่ข้าเองก็ไม่กล้าแม้แต่จะเฉียดกายเข้าใกล้...แต่ถึงกระนั้น ก็ยังมีคนอยากลองดี หมายจะเดินข้ามภูเขา เพื่อไปพิสูจน์สิ่งลี้ลับ หากยังเดินไม่ทันถึงตีนเขาด้วยซ้ำ ชีวิตมันก็มอดไหม้ด้วยสิ่งที่มองไม่เห็นเสียก่อน...”
คำเล่าต่อมาของปู่เฒ่า พาทำเอาคนฟังถึงกับขนลุกซู่ เด็กเล็กชายหญิงหลายคน ต่างส่งเสียงเซ็งแซ่ ไม่กล้าแม้จะเหลือบตามองภูเขาลูกนั้นอีกเลย...
“ไม่คิดว่าหลังภูเขาลูกนั้นจะมีสิ่งที่น่ากลัวซ่อนอยู่ ฉันไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลยพ่อปู่...”
สาวน้อยในวันยี่สิบ บุ้ยปากไปยังที่ตั้งของภูเขาลูกใหญ่...
ปู่กอคะยาเป็นเฒ่าอายุมากที่สุดในหมู่บ้าน แกเป็นคนแก่ที่มีวิชาอาคมติดตัว
นิสัยประจำแกชอบมานั่งกินหมาก พร้อมกับเล่านิทานปรัมปราให้เด็กในหมู่บ้านฟังแก้เหงา...
รวมถึงตัวเธอด้วย ถึงแม้ในตอนนี้ เธอจะโตเป็นสาวเต็มตัว หากก็ยังชอบมานั่งฟังนิทานจากพ่อปู่ก่อนนอนอยู่ดี...
“อะไรคือสิ่งลี้ลับที่พ่อปู่ว่าหรือจ๊ะ...” คนถูกถามหลุบเปลือกตาลงมองขอนไม้แห้ง ถุยน้ำหมากทิ้งลงพื้นก่อนจะเล่าต่อ...
“เขาเรียกกันว่า บุตรแห่งป่าน่ะช่อม่วง...”
“บุตรแห่งป่า!งั้นเหรอจ๊ะ...” อามีเลิกคิ้ว ขยับเข้ามานั่งใกล้คนเล่า ก่อนเอ่ยปากซักถามด้วยความใคร่รู้
“แล้วบุตรแห่งป่า มีหน้าตาเป็นอย่างไร....เป็นคนหรือว่าเป็นสัตว์”
“เป็นคนอย่างๆเรานี่ละ แต่หน้าตาเป็นเยี่ยงไร ตัวข้าเองก็หารู้ไม่ แต่เท่าที่ฟังๆเขาเล่าต่อๆกันมา อ้อ...คนเล่าไม่ใช่คนในหมู่บ้านนี้หรอกนะ หากทว่าเป็น...” กอคะยาหลับตาพลางถอนหายใจหนัก...
“เป็นใครหรือจ๊ะ...” อามีถามอีก ปู่กอคะยาส่ายหน้า
“ข้าบอกเอ็งไม่ได้...”
“ทำไมล่ะ...เขาห้ามพ่อปู่ไว้หรือ...” คราวนี้เฒ่าแห่งหมู่บ้าน จะมีกอคะยา พยักหน้า...
“ข้ารู้เพียงว่า...บุตรแห่งเจ้าป่าคนนี้ มันเป็นบุรุษหนุ่มรูปงาม รูปร่างสูงใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่น ชวนให้มองหวั่นกลัว อีกทั้งยังมีพละกำลังมหาศาล สามารถล้มเสือร้ายได้ด้วยมือเปล่า ช้างทั้งโขลงยังต้องยอมสิโรราบให้กับไอ้ผู้นี้...”
“โอ้โห! เก่งฉกาจขนาดนั้นเลย...” อามีนหอปาก นัยน์ตาดำขยับพราวระยับ ถ้าตัวเธอมีบุญ เธอเองก็อยากจะเจอบุตรแห่งเจ้าป่าตนนี้สักครั้ง
ช่อม่วงเหลือบไปเห็นสีหน้าเพื่อนดูตื่นเต้นเกินกว่าเหตุ เจ้าหล่อนเลยเบ้ปากเข้าใส่...
น่าสมเพช ฟังแค่นี้ก็เก็บเอาไปตื่นเต้นยกใหญ่ จะเก่งแค่ไหนกันเชียว...
“พี่รามีนของข้าก็ฆ่าเสือมือเปล่าได้เหมือนกัน...”
อามีนกลอกตา...ก็แน่ละ เสือเฒ่าตัวนั้น มันยังวิ่งหนีได้ก็บุญถมเถ
รามีนไม่เห็นจะเก่งตรงไหน ดีแต่ทำตัวเจ้าชู้ไปวันๆน่ะสิไม่ว่า...
“เก่งตายล่ะ...” สาวน้อยหน้ามุ่ย ส่งเสียงลากยาวยียวน
“พอๆ เอ็งสองคนนี่กระไรนักนะ อยู่ใกล้กันทีไร เป็นได้กัดกันเสียทุกที...” พ่อปู่ยกมือห้ามทัพ ก่อนเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต ให้มานั่งฟังนิทาน ดันจะมาหาเรื่องทะเลาะใส่กันเสียได้...
“งั้นฉันไม่ฟังต่อแล้วล่ะพ่อปู่...ไม่เห็นจะน่าสนใจตรงไหนเลย สู้ไปหาพี่รามีนของฉันก็ไม่ได้”
“ตามใจเอ็งเถิด...จะไปไหนก็ไป...” พ่อปู่กอคะยาส่ายหน้า ตัดรำคาญด้วยการยกมือไล่
“แต่ฉันจะฟังต่อจ๊ะ...ใครไม่ฟังก็เรื่องของมัน...ดีเสียอีก อากาศรอบตัวจะได้สดใสขึ้นอีกเป็นกอง”
พูดจบก็สะบัดหน้าพรืด ย้ายก้นมานั่งใกล้กับแคร่ไม้ไผ่ เป็นที่นั่งพ่อปู่นั่นเอง นึกหมั่นไส้คนมีความรักขึ้นมาตงิด เธอกับช่อม่วงอายุรุ่นราวคราวเดียวกันแท้ๆ แต่กลับยังไม่มีชายใดมาคิดหมายปอง พอตกเย็นทีไร เลยจำต้องมานั่งฟังนิทานแก่เซ็งไปวันๆ...
ช่อม่วงไม่อยากสาวความยาวกับคู่อริตลอดกาล พอลุกขึ้นยืนได้ เจ้าตัวก็เดินจ้ำอ้าวมายังกระท่อมไม้ ท้ายหมู่บ้าน หัวใจสาวน้อยรู้สึกพองโต ใบหน้าอิ่มเอิบยิ้มร่า อีกประเดี๋ยวเถอะ เธอจะไปจ๊ะเอ๋ ให้พี่รามีนตกใจเล่นเสียหน่อย...
ดังนั้นตลอดทั้งเส้นทางเดินมายังท้ายหมู่บ้าน ช่อม่วงจึงฮัมเพลงรักมาตลอดเส้นทาง เสียงหวานไพเราะเสนาะหู มีหลายบ้านเปิดบานหน้าต่างออกมาเมียงมอง...
“อารมณ์ดีจังนะช่อม่วง...”
“จ้า...” เจ้าของเสียงเพลงหวานตอบรับ สีหน้ายิ้มแย้ม พอนึกถึงหน้าชายคนทีไร โลกทั้งใบกลับกลายเป็นสีชมพูตลอด...
ความรักระหว่างเธอกับพี่รามีนกำลังอยู่ในช่วงสุกงอม หัวใจเธอถึงได้มีความสุขทุกครั้งยามนึกถึงคำพูดหวานหูของเขา ...
เวลาจวนเจียนค่ำเช่นนี้ พี่รามีนของเธอคงกำลังนั่งดูดยาสูบอยู่ตรงแคร่ไม้ไผ่นั่นแหละ...
สองเท้าเล็กจึงเดินเลยมายังด้านหลังกระท่อม ไม่โผล่หน้ามาทางหน้าบ้าน...
เวลานั้นเองหูเจ้ากรรมดันได้ยินเสียงแปลกประหลาดเสียงหนึ่งเข้าพอดี...
“อะ...อะ....ซี้ด...อ้า...ขยับอีก แรงอีกผัวจ๋า น้ำเมียใกล้จะแตกแล้ว....อู้วววว”
เสียงอะไร ทำไมฟังดูคุ้นหูจัง...
ช่อม่วงขมวดคิ้ว ค่อยเดินย่องมายังแหล่งกำเนิดของเสียงประหลาด...
เอ...หรือมีใครแอบมาทำอะไร ใกล้เรือนของพี่รามีน
ในขณะช่อม่วงเดินเข้ามาใกล้เสียงดั่งว่านั่น สีหน้าของเจ้าหล่อนกลับดูซีดเซียวลงเรื่อยๆ...
“โอ้ว!รามีน ดุ้นเอ็งช่างคับแน่นร่องข้าอะไรเช่นนี้...”
เสียงสาวสั่นกระเส่าดังขึ้นไม่ขาดระยะ ยิ่งเป็นการเร่งเร้าคนฟังทะยานไปยังทิศทางนั้นด้วยหัวใจร้อนรน...ก่อนภาพตรงหน้าจะทำเอาช่อม่วงแทบคลั่งตาย
นั่นมันพี่รามีนกับพี่มะเฟือง พี่สะใภ้ของเธอนี่นา...
สองคนนั้นกำลังเอากัน หลักฐานตำตา คาหนังคาเขาเสียด้วยสิ...
ช่อม่วงรีบยกมือปิดปาก กั้นเสียงกรีดร้องของตัวเอง ชายชั่ว กลับหญิงโฉด มันสองคนกำลังเล่นชู้กันในป่าท้ายหมู่บ้าน ไม่อายผีสางเทวดาหน้าไหนเสียด้วย...
เหตุการณ์ตำตาตำใจ หากช่อม่วงกลับไม่กล้าแสดงตัวตน เจ้าหล่อนมอบร่างน้อยหลบเข้าหาพุ่มไม้ เอาที่สามารถอำพรางตัวเองได้มิดชิด ถึงกระนั้นสายตาเจ้ากรรม ที่มันเกลื่อนไปด้วยหยาดน้ำใส ยังคงมองเห็นภาพบัดสีนั้นถนัดถนี่มากยิ่งขึ้น...
“อา...แรงอีก รามีนจ๋า ฉันใกล้ถึงสวรรค์อีกแล้ว”
รามีนจัดให้ตามคำขอ เขายึดบั้นท้ายงอนเด้งไว้มั่น ซูดปากซี๊ดซ๊าดกับความเสียวซ่านตอนโหมแรงเข้าสอดใส่ร่องสวาท พร้อมสาวสะโพกตอกอัดลำลึงค์อันโต สัมผัสได้ถึงผนังมดลูกดังกึก ก่อนจะแช่ค้างทิ้งไว้เพียงสักครู่ เป็นการปรับอารมณ์ ถึงแม้ร่องนี้เคยผ่านการใช้งานมาอย่างโชกโชน แต่ทว่าก็ทำเอาหัวเขาหมุนได้ดีทีเดียว ชายหนุ่มชักดุ้นรบมาครึ่งจนหัวบานเกือบหลุด ก่อนทะลวงเข้าใส่ ร่องสวาทใหม่อีกครา ชนิดไม่ออมแรงกันละคราวนี้...
“โอ้ว...ซีด...อุ๊ย...เอาดุเหลือเกินพ่อรามีนคนเก่ง”
ร่างสาวใหญ่ยืนโก้งโค้ง แอ่นตัวรอรับแรงกระแทกจนเม็ดสวาทสั่นผวา ก่อนถูกปลายนิ้วแข็งแรงบี้บดเพิ่มอารมณ์กระสันซ่าน แผ่นหลังขาวแอ่นระนาบลู่ลงสู่พื้นดิน ยามถูกแรงกระทั้นเข้ามาใหม่อีกระลอก
คราวนี้จำต้องขยับปลายเท้าทั้งสองออกกว้าง สองมือยึดกิ่งต้นมะม่วงป่าไว้อย่างมั่นคง ประคองร่างไม่ให้ล้มลงกระแทกเอากับพื้นดินด้านล่าง...
“อา...อา...เสียว...เสียวร่องเหลือเกิน”
พี่สะใภ้ช่อม่วงหลับตาพริ้มรับความสุขเสน่หา โย้ร่างอรชรอ้อนแอ้นไปตามแรงกระเด้า จนหัวสั่นหัวคลอน เสียงเนื้อกระทบเนื้อดัง ตับ ตับ ตับ ก้องไปทั่วบริเวณ
ช่อม่วงได้แต่นั่งน้ำตารินเจ็บใจอยู่หลังพุ่มไม้ ส่งสายตาตัดพ้อมองภาพตรงหน้าไม่กะพริบ ส่วนในใจเอาแต่ก่นด่าชายหญิงทั้งคู่ แช่งชักหักกระดูก ไม่ขอให้ทั้งคู่ตายดี...
เลว ชั่วชาติกันทั้งคู่ คอยดู เธอจะเอาเรื่องนี้ไปบอกพี่ลีชอ ให้มันมาจัดการไอ้อีทั้งสองคนให้ถึงแก่ชีวิต...
หากรามีนผู้ยังไม่รู้ชะตากรรมของตนในภายภาคหน้า กลับแสดงสีหน้าพึงพอใจรสสวาทของหญิงสาวรุ่นพี่ช่างดีต่อใจเขาหนักหนา เขาไม่ได้รู้สึกผิดต่อศีลธรรมอันดีนี้เลยแม้แต่น้อย มันก็ช่วยไม่ได้ พี่มะเฟืองอยากมาให้ท่า เขาถึงที่เองก่อนทำไม...
ถ้าไม่จัดให้นี่สิ เขาคงรู้สึกผิดไปตลอดชาติเลยก็ว่าได้...
ทั้งที่ตนเองนั้นรู้อยู่เต็มอก สาวมะเฟืองผู้นี้ มิใช่หญิงสาวตัวเปล่าเล่าเปลือย เจ้าหล่อนมีสามีเป็นตัวเป็นตน มิหนำซ้ำสามีของเจ้าหล่อนก็ยังเป็นพี่ชายแท้ๆ ของช่อม่วง แฟนสาวคนสวยของเขาอีกต่างหาก...
แต่จะให้ทำอย่างไรได้ อาหารกลิ่นคาวมันยั่วน้ำลายขนาดนี้ แถมยังมีคนเอามาป้อนให้ถึงปาก ขืนเขาบอกปัดไป เขาก็คงโง่เต็มทน ไม่ต่างจากควาย...
“แรงอีก เอาฉันให้แรงกว่านี้อีกสิรามีน...”
เสียงกระเส่าร้องสั่ง อันที่จริงแรงกระเด้าที่ขับเคลื่อนเข้าใส่ ไม่ได้ผ่อนแรงลงเลยแม้แต่น้อย รามีนกัดฟันแน่น โหมแรงกายทั้งหมดกระทุ้งเข้าหาอีกระลอก มือหนาฟอนเฟ้นหน้าอกลูกโตคล้ายกับมะละกอ โดยไม่ต้องกลัวเจ้าของมันจะรู้สึกเจ็บ ความใหญ่โตของเต้าอวบอัดจะบีบจะเคล้นท่าไหน มันถึงใจเขาเสียจริง...
“โอ๊ย! เอากับใครก็ไม่มันเท่าเอากับพี่มะเฟืองเลยพับผ่าสิ พี่ต้องมาให้ฉันเอาบ่อยๆนะ”
“อะ...รามีนไม่กลัว ช่อม่วงมันจะรู้เรื่องนี้เข้าหรอกเหรอ” มะเฟืองแสร้งถามเสียงขาดห้วง
“ไม่กลัวหรอกจ้ะ...แล้วทำไมฉันต้องกลัวมันด้วยเล่า...”
เวลานี้ไอ้รามีนมันไม่กลัวอะไรทั้งนั้นแหละ...มันอยากมีความสุข ร่องรอยได้อย่างเดียวเท่านั้น ช่อม่วงดีแต่จะร้องห้าม หรือไม่ก็บ่ายเบี่ยงไม่ยอมท่านู้นท่านี้จนเขาเอือมระอา บอกแต่จะรอให้ถึงคืนวันเข้าหอ ซึ่งเขาเองก็ไม่ค่อยแน่ใจจะมีวันนั้นหรือไม่...
เขามันก็เป็นผู้ชายทั้งแท่ง มีเลือดมีเนื้อ มีความรู้สึกเสียด้วย ไม่รู้จะให้เขาแห้งเหี่ยวตายคาต้นไปถึงเมื่อไหร่...ในเมื่อขอดีๆแล้วไม่ให้ เขาก็ต้องเสาะแสวงหากินที่อื่นแทน ครั้นจะมารอให้ถึงวันแต่งงาน พอดีไข่เขาคงฝ่อก่อนใช้งานได้จริง ยิ่งมาเจอความเด็ดสะระตี่ของพี่มะเฟือง ช่อม่วงแทบไม่อยู่ในสมองเขาด้วยซ้ำไป...
รามีนโน้มกายชุ่มด้วยเหงื่อเข้าหาร่างอวบอิ่ม กดริมฝีปากลงกับผิวกายหอมลออ รัดกายสาวไว้แน่นด้วยมือทั้งสองข้าง พร้อมกับโหมแรงเฮือกสุดท้ายกระทุ้งดุ้นเอ็นแรงขึ้น เร็วขึ้น จนทั้งคู่ต่างพร้อมใจกันเปล่งเสียงครางระโหย มะเฟืองเชิดใบหน้ารอรับความหฤหรรษ์ สาดใส่เข้าพร้อมแรงอัดฉีดของน้ำคาวข้น มันออกมาเยอะมาก ขนาดไหลทะลักล้นมาจนเปื้อนร่องขาอ่อนทั้งสองข้าง...
“อา...โอ้ว...”
สิ้นเสียงร้องครวญคราง พลันสายตาปรือด้วยแรงแห่งกำหนัดกับปะทะเข้ากับร่างหนึ่งเข้า...มะเฟืองหันขวับ ผลักร่างอ่อนแรงของรามีนจนกระเด็น พุ่งสายตาไปยังเป้าหมาย มันอยู่หลังพุ่มไม้ ...
“นั่นใคร!”
คนถูกทักสะดุ้งโหยง หันรีหันขวางด้วยแววตาตื่นตกใจ ก่อนพุ่งกายออกจากหลังพุ่มไม้ วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต...
ให้ตาย! แล้วนี่เธอจะต้องกลัว หญิงโฉดชายชั่วคู่นั้นไปทำไมกันหนอ...
เธอไม่ได้ทำผิดอะไรสักหน่อย ทำไมต้องกลัวจนหัวหด คนทำผิดคิดชั่ว ด้วยการลอบคบชู้ คือมันสองคนต่างหากเล่า...
ยิ่งคิดยิ่งแค้น ยิ่งอยากฆ่ามันให้ตาย ตนรึอุตส่าห์ทั้งรัก มอบความไว้ใจให้มันเสมอมา อีกทั้งยังเคยวาดฝัน ถึงอนาคตสวยงามต่างๆนานา ที่ไหนได้ พอลับหลังเธอเข้าหน่อย สันดานมักมากมันก็ปรากฏทันที...
“พี่รักเอ็งแต่เพียงคนเดียว”
ถุย! คำรักคำหวาน มันก็เปรียบดั่งกับคำโกหก หาความจริงใจไม่ได้สักหยดเดียว...
ตอนช่อม่วงวิ่งหนีเตลิด น้ำตานั้นไหลกลบดวงตางดงาม สมองก็คิดด่าทอผู้ใจคิดคดไปสารพัด ปล่อยให้ขาทั้งสองข้าง พาวิ่งหนีเตลิดมายังทิศทางใดตนนั้นก็ไม่รู้ จนกระทั่งหญิงสาววิ่งผ่านเข้ามายังป่าลึก ผ่านแผ่นป้ายทำจากไม้ผืนใหญ่ ปักหราไว้ตรงถนนแยกสี่แพ่ง...
ระบุตัวอักษรสีแดงฉานว่า ‘ห้ามผ่าน’
แต่ถึงกระนั้นคนขวัญกระเจิง หาได้มองเห็นแผ่นป้ายดังกล่าวไม่...
ช่อม่วงวิ่งผ่านเข้ามา บัดดลนั้น เส้นถนนเบื้องหลัง กลับอันตรธาน หายไปในพริบตา...
“กูถามว่านั่นใคร!...”
มะเฟืองตะโกนลั่น หลังจากดันร่างชู้รักออกห่าง รับคว้าเสื้อกับผ้าถุงผืนเก่า เอามาสลัดฝุ่นกับเศษใบไม้แห้งด้วยมือไม้สั่นเทา ก่อนรีบสวมใส่กลับเข้าร่างแบบลวกๆ
ครั้นรามีนพอถูกผลักจนกระเด็น เขาจึงเกิดอาการงุนงงปนโมโหหน่อยๆ
“พี่มะเฟือง มาผลักฉันทำไม ดูสิ...ได้แผลถลอกปอกเปิกหมดแล้วเนี่ย...”
คนฉุนกึกถามขึ้นด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง พอเสร็จสมอารมณ์หมาย เขาก็หมดประโยชน์ต่อเจ้าหล่อนเลยหรือไง...
รามีนคิดแบบโกรธจัด ก่อนขยับกายตัวเองลุกขึ้นยืน คว้าเอากางเกงขาสามส่วนมาสวมด้วยท่าทางกระฟัดกระเฟียด...
มะเฟืองกัดกลีบปาก เพ่งสายตาไปยังพุ่มไม้เขม็ง ไม่คิดสนใจท่าทางสะบัดสะบิ้งของหนุ่มรุ่นน้อง...
“แล้วจะกลับขึ้นเรือน หรือว่าพี่จะ...”
“เงียบเสียงก่อนเถอะ...เมื่อตะกี้ ตาฉันเหมือนเห็นเงาใครก็ไม่รู้ มันผลุบๆโผล่ๆอยู่ตรงหลังพุ่มไม้นั่น” มะเฟืองชี้นิ้วไปยังหลังพุ่มไม้สูงเพียงแค่เอว ด้านข้างเป็นต้นสักใหญ่ ใบของมันหนาทึบ เลยทำให้ตรงบริเวณนั้นแสงสว่างเข้าไม่ถึง เลยทำให้มะเฟืองมองโดยรอบเห็นไม่ถนัดเท่าไหร่...
รามีนได้ยินดังนั้นเลยรีบหันขวับมองตาม ใจคอชายหนุ่มรู้สึกไม่ค่อยสู้ดี อย่างน้อยๆเขายังนึกกลัวคมดาบของไอ้พี่ลีซออยู่เหมือนกัน
“ตาฝาดไปเองหรือเปล่า ถ้าเป็นคนจริงๆ ป่านนี้คงโวยวายไปเสียนานแล้ว...” รามีนถามเสียงแผ่ว ก่อนย่างสามขุมมายังบริเวณดังกล่าว...
ทันใดนั้นหัวคิ้วทั้งสองข้างกดเข้าหากันต่ำ หัวใจหนุ่มชู้แทบหล่นกองกับพื้น หรือว่าจะเป็น...
“ช่อม่วง..” รามีนถลาร่างหนา แหวกพงหญ้า กวาดสายตาหาร่องรอยบนพื้นดิน มันปรากฏรอยเท้าขนาดเล็ก แน่แล้วต้องเป็นรอยเท้าของผู้หญิง ไม่แน่ว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้เลยถ้าไม่ใช่...
“อีช่องั้นหรือ...” มะเฟืองถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลใจ พยายามเดินหาร่องรอยดังกล่าว ขืนเป็นน้องผัวของตนเองจริง เรื่องคงบรรลัยหนักกว่าที่คิด...
รามีนพยักหน้า...
“น่าจะไม่ผิดตัว มีมันคนเดียวที่รู้ว่า ฉันชอบหลบมานั่งที่ใด ในช่วงเวลานี้...”
“ต้องรีบหาตัวมันให้เจอ ก่อนเรื่องนี้จะไปถึงหูพี่ลีซอ...ไม่อย่างงั้น ฉันต้องตายแน่ๆ”
ด้วยกลัวว่าช่อม่วงที่เห็นเหตุการณ์เร่าร้อนระหว่างเธอกับรามีน อาจนำเรื่องบัดสี เรื่องผิดผีนี้ไปฟ้องไอ้ผัวไร้น้ำยา คราวนี้เธอคงได้กลายเป็นผีเน่า ถูกฝังกลบในหลุมใดหลุมหนึ่งในป่านี้เป็นแน่แท้ ถึงผัวจะไม่ใช่คนโหดเหี้ยม แต่มันก็เป็นคนจริงคนหนึ่งของหมู่บ้าน ถูกสวมเขาแบบนี้มันคงจะเอาไว้บูชาหรอก...
ชายโฉดหญิงชั่วสบตากันด้วยความหวั่นเกรง ก่อนพากันตามหาร่องรอยตามพื้นดิน อกใจข้างในมันรู้สึกสั่นไหว กลัวความผิดอัปรีย์นี้จะถูกแพ่งพาย...
แน่นอนโทษนั้นคงมีแค่ชีวิตเพียงอย่างเดียว ถึงจะสาสมแก่ความระยำตำบอน ด้วยการแอบคบชู้สู่ชาย ทั้งที่รู้จักคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี อีกคนก็อนาคตน้องเขย เคยกินข้าวสำรับเดียวกันออกจะบ่อย ตอนนี้ยังไม่ใช่คนในครอบครัว อีกไม่นานก็คงใช่...
ตัดกลับมาอีกด้าน คนวิ่งหนีเตลิดเข้ามาในป่าลึก ยังคงหลับหูหลับตาวิ่งชนิดลืมดูทิศทาง จนกระทั่งรู้สึกเหนื่อยหอบ หายใจหายคอแทบไม่ทัน ถึงได้รู้สึกตัวสักที ตนนั้นวิ่งหลงทิศมาไกลมากขนาดไหน...
ด้วยน้ำหูน้ำตายังคงไหลพราก กลบเปลือกตาทั้งสองข้าง เดือดร้อนให้ช่อม่วงต้องคอยปาดทิ้งอยู่เรื่อย พอเหนื่อยหนักเข้าหน่อย เจ้าหล่อนเลยชะลอฝีเท้า เปลี่ยนจากวิ่งกลายเป็นเดินช้าๆ พอมีเวลาได้หายใจ สติเลยค่อยๆกลับคืนมา ครานี้เจ้าตัวหันรีหันขวาง ส่ายสายตามองบรรยากาศรอบตัว มันไม่ใช่สิ่งคุ้นเคย ขนในกายพลันลุกชัน...
แล้วที่นี่ มันคือที่ใดกันเล่า? ไฉนเธอจึงไม่เคยเห็นผ่านตามาก่อน..
ทันใดนั้นหูเจ้ากรรมดันได้ยินเสียงแว่ว เป็นเสียงลมพัดผ่านกระทบเข้ากับกิ่งไม้ เสียงของมันดังครืดคราด อากาศโดยรอบชักเริ่มเย็นตัวลงเรื่อยๆ ทำเอากายสาวสั่นผวา ช่อม่วงกระชับเสื้อเชิ้ตลายดอก พร้อมห่อตัวเข้าหากัน...
“ป่านี้คือที่ใด?” ช่อม่วงเอ่ยถามเสียงแผ่ว
ทุกสรรพสิ่งรอบตัว ล้วนไม่เคยผ่านสายตาเธอมาก่อนเลยทั้งนั้น แม้กระทั่งต้นไม้น้อยใหญ่เหล่านี้ ปกติมันก็เหมือนกันหมด ทว่าป่าแทบนี้กลับไม่ใช่ ต้นไม้แต่ละต้น มันดูแปลกประหลาดไม่เหมือนต้นไม้โดยทั่วไป ซ้ำร้ายสองข้างถนนยังเต็มไปด้วยหนามจากเถาวัลย์...
ช่อม่วงหยุดเท้าตัวเองลงกึก นัยน์ตากลมโตเบิกโพลง รู้สึกประหวั่นพรั่นพรึงกับเหตุการณ์ตรงหน้าเหลือเกิน พาลทำเอาระบบทางเดินหายใจชักเริ่มขาดห้วง เจ้าตัวยกมือขึ้นปิดปาก กั้นไม่ให้ตัวเองส่งเสียงกรีดร้องออกมา...ก่อนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า แลเห็นแต่เพียงความเวิ้งว้าง ท้องฟ้ากลายเป็นสีแดงเข้มจัด ราวกับทะเลเพลิง...
บนท้องฟ้านั่น มองไม่เห็นแม้กระทั่งดวงจันทร์ แม้แต่ดวงดาวทั้งหลายก็ไม่มีให้เห็นสักดวง...มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ความหวาดกลัวในใจเริ่มทวีมากขึ้นทุกชั่วขณะจิต...
ช่อม่วงตัวสั่นงันงก ร้องหามารดาทันที...
“แม่จ๋า...ช่วยช่อม่วงด้วย” หญิงสาวตะโกนเรียกหาผู้ให้กำเนิด แววตานั้นเหลือกลาน หวาดกลัวจับจิตจับใจ...
“มึงต้องตาย”
ทันใดนั้นเสียงเนิบช้าของผู้เฒ่าประจำหมู่บ้าน เล่าถึงเรื่องกล่าวขานของเขตป่าอาถรรพ์ ดันผลุดขึ้นมาในหัวสมองพอดิบพอดี พาลทำเอาจิตใจคนนึกคิดระส่ำระสาย หัวใจตกลงตาตุ่มอีกครั้งจนได้...
“มันเป็นป่าอาถรรพ์ ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้มันหลอก เพราะถ้าหากผู้ใดเผลอหลงเข้าไป ชีวิตนี้ก็อย่าหวังว่าจะหาทางกลับออกมาได้อีก...”
“ไม่...ฉันยังไม่อยากตาย ฉันยังอยากมีชีวิตอยู่ ไอ้อีต่ำช้าสองตัวนั่นต่างหาก พวกมันสมควรต้องตายมากกว่าฉัน...”
ช่อม่วงส่ายหน้า น้ำตารินอาบสองข้างแก้ม เธอยังอยากมีชีวิตอยู่ ยังไม่อยากตายในตอนนี้เลย เหตุใดโลกช่างไม่ยุติธรรม เธอทำอะไรผิด ถึงต้องมาเผชิญกับสิ่งเลวร้ายเช่นนี้...
“ฮือ...ใครก็ได้ช่วยฉันที...”
ด้วยความกลัวตาย ช่อม่วงจึงเริ่มต้นวิ่งใหม่อีกครั้ง และก็เหมือนคราวแรก เจ้าหล่อนวิ่งโดยไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้ เอาแต่วิ่งแล้วก็วิ่ง จนกระทั่งสะดุดเข้ากับรากไม้ เลยทำให้ร่างเล็กเซถลากลิ้งตกมายังพุ่มไม้ข้างทาง
“โอ๊ย!...”
ร่างเล็กที่สะดุดเข้ากับรากไม้ ทำให้ร่างทั้งร่างโผนทะยานไปด้านหน้า ช่อม่วงไม่มีเวลาแม้แต่จะส่งเสียงกรีดร้อง ตอนร่างบางล้มกระแทกลงกับพื้นดิน ทั้งชื้นแฉะแถมยังมีกลิ่นเน่าเหม็นคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ ก่อนร่างบางจะกลิ้งหลุนๆลงมานอนกองใกล้กับรากไม้ขนาดใหญ่
เนื้อนุ่มนิ่มครูดเข้ากับแง่งหินจนเลือดออกซิบ สร้างความแสบสันให้กับเจ้าตัวยิ่งนัก ก่อนสติทุกอย่างจะดับวูบไม่สามารถรับรู้ได้ด้วยซ้ำ บนต้นไม้ขนาดสูงลิบ มีร่างสูงใหญ่จ้องมาอย่างสะพรึงกลัว...
----------------------------------------------------