ตอนที่11

3152 Words
"วัฒเขาก็ไปกับคนพิเศษของเขาสิคะ ว่าไงคะจะทานบนนี้หรือว่าไปที่ร้าน พี่ชักหิวแล้วนะคะ" อ้าว จู่ๆก็โผล่มาไม่ให้เธอตั้งตัวมาถึงก็ถามๆแล้วยังมาพูดอะไรให้เธองงอีก พี่ชายเธอไปกับคนพิเศษหมายความว่ายังไง แล้วคนตรงหน้าเธอนี่ไม่ใช่คนพิเศษเหรอ "จิณว่าสั่งอะไรง่ายๆมาทานนี่ดีกว่าค่ะ ที่ร้านแถวนี้ถ้าไม่ได้จองไว้คงจะไม่มีที่นั่งหรอกเวลานี้น่ะ" "แล้วจิณอยากทานอะไรล่ะ สเต็ก สลัด พิตซ่าไหมคะ?" พอได้ยินเมนูอาหารง่ายๆแต่มันเป็นอาหารที่เธอชอบรอยยิ้มสดใสก็เผยออกมารีบพยักหน้าทันทีให้คนเป็นพี่ได้ยกยิ้มมุมปาก อะไรที่น้องชอบทำไมเธอจะไม่รู้ "พยักหน้านี่คือเอาอะไรคะ" "เอาทั้งหมดเลยค่ะ จิณหิว" "น่าตีจริงๆเลยนะเราเนี่ย ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองฮึ" คำบ่นไม่จริงจังแต่มันมาพร้อมความห่วงใยที่ทำให้คนเป็นน้องหัวเราะแหะๆตามมา อัยศิกาส่ายหน้าก่อนกดมือถือหาเลขาตัวเองที่วันนี้หลายคนยังมาทำงานเพราะมีโปรเจคด่วนรออยู่ "เกศ พี่รบกวนโทรสั่งอาหารให้หน่อยค่ะ" เมื่อปลายสายรับอัยศิกาก็บอกเมนูที่คงจะเหมาะสำหรับสั่งมากินที่ทำงานในเวลานี้ "เกศถามคนอื่นดูด้วยนะว่าอยากจะกินอะไรก็จัดการสั่งมาเผื่อพวกเขาด้วย ส่วนของพี่ให้เอามาส่งที่ชั้นยี่สิบเก้านะเอาเงินสำรองจ่ายไปก่อนเดี๋ยวพี่คืนให้ จ๊ะขอบใจมาก" "ช่วงนี้มีงานด่วนเหรอคะ" จิณตภัทรถามขึ้นเมื่อพากันมานั่งลงที่โซฟารับแขกริมผนังกระจก "ค่ะพอดีมีลูกค้าจะจัดงานฉลองครบรอบบริษัทต้นเดือนหน้านี้งานค่อนข้างจัดใหญ่พอสมควรทีมงานก็เลยต้องเตรียมพร้อมอะไรหลายอย่างน่ะ นักร้องในค่ายเราก็ถูกว่าจ้างไปอยู่นี่จิณไม่รู้เรื่องนี้เหรอ" "อ่อ งานเฉลิมฉลองครบรอบของบริษัทรัฐวิสาหกิจนั่นใช่ไหมคะ" "นั่นแหล่ะค่ะ" จิณตภัทรพยักหน้าเข้าใจ เพราะเรื่องนี้ทางบริษัทเธอก็ได้มีการติดต่อว่าจ้างศิลปินในค่ายไปงานด้วยเหมือนกัน "จิณนึกว่าพี่อัยไปดินเนอร์กับพี่วัฒซะอีก แล้วเมื่อกี้พี่บอกว่าพี่ชายจิณไปกับคนพิเศษหมายความว่าไงคะ?" อัยศิกามองหน้าคนถามก่อนจะยิ้มแล้วตอบออกไปกวนๆ "ก็หมายความตามนั้นแหล่ะค่ะ" "พี่อัย! อย่ากวนสิคะก็พี่เป็นคู่หมั้นแล้วจะมีใครพิเศษสำคัญไปกว่าพี่ล่ะ" หึๆ เสียงหัวเราะในคอไม่ได้บอกถึงความกระจ่างของคนที่สงสัยเลยสักนิด  "พี่เป็นแค่คู่หมั้นค่ะ แต่ไม่ใช่คนพิเศษและไม่ใช่คนสำคัญของเขาด้วย จิณก็รู้ไม่ใช่เหรอคนพิเศษเขาคือใคร" "เอ่อ พี่อัยหมายถึง พี่วัฒไปกับป่านเหรอคะ?" อัยศิกาไม่ตอบแต่ยิ้มบางให้คนตรงหน้าแทน ห้าปีที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นกับจิรวัฒน์ตามพันธะสัญญาใจของผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเธอรับรู้มาตลอดเรื่องความรักของฝ่ายชายกับรุ่นน้องสาวที่เป็นเพื่อนจิณตภัทรด้วย  "แล้ว พี่ เอ่อ คือ ก็ปล่อยเขาสองคนไปด้วยกันแบบนั้นเหรอคะ" "อือหึ ก็เป็นแบบนั้นทุกปีแหล่ะค่ะ" คำตอบไม่ทุกข์ร้อนของคนตรงหน้าทำให้จิณตภัทรเหวอไปเลยก็จะไม่ให้เธออึ้งแปลกใจได้ยังไงก็รู้อยู่หรอกว่าเพื่อนเธอกับพี่ชายชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมน่ะ แต่ไม่คิดว่าคนที่อยู่ในสถานะคู่หมั้นจะไม่รู้สึกรู้สาปล่อยสองคนไปแบบนั้น จิณตภัทรเข้าใจว่าที่ผ่านมาพี่ทั้งสองไปดินเนอร์ด้วยกันทุกปีมันไม่ใช่เหรอ อัยศิกายกยิ้มมุมปากเอนตัวพิงกับโซฟากอดอกมองคนที่หน้ายุ่งคิ้วขมวดก็นึกขำอยู่เหมือนกัน นี่ถ้ารู้ความจริงว่าตอนนี้เพื่อนกับพี่ชายตัวเองกลายเป็นสามีภรรยาทางนิตินัยกันไปแล้วจิณตภัทรจะทำหน้ายังไง  ก๊อก ก๊อกๆ "สงสัยอาหารจะมาแล้วล่ะ" คนเป็นพี่เอ่ยบอกก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตูห้องจิณตภัทรรีบลุกตามไปเห็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองยืนยิ้มอยู่หน้าประตูและผู้ชายอีกคนที่ยืนหิ้วของพะรุงพะรังกันทั้งคู่ "สวัสดีค่ะคุณจิณ" เกศราส่งเสียงทักทายคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าตน "สวัสดีค่ะคุณเกศ" จิณตภัทรส่งยิ้มตอบเลขาอีกคนของอัยศิกาที่พอจะรู้จักกันบ้าง "สั่งมาเผื่อทุกคนด้วยใช่ไหมเกศ" "ค่ะคุณอัย พากันดี้ด๊ากันใหญ่ว่าเจ้านายใจดีเลี้ยงวันวาเลนไทน์" "อืม ฝากกลับไปบอกด้วยล่ะอิ่มท้องแล้วถ้างานไม่เดินพี่จะงดจ่ายโอทีวันนี้นะ" คิกๆ เลขาสาวหัวเราะกับคำขู่ของเจ้านายคนสวย อัยศิกาเป็นทั้งเจ้านายและเป็นเพื่อนพี่สาว นอกเหนือเวลางานอีกคนมักจะเอ่ยหยอกล้อกันเล่นเป็นประจำ "ค่อยๆทานก็ได้จิณเดี๋ยวก็ติดคอหรอก ดูซิอายุเท่าไหร่แล้วนี่กินเลอะเป็นเด็กสามขวบเลย" คนเป็นพี่บอกพลางยื่นนิ้วไปปาดซอสที่เลอะมุมปากคนที่กำลังกินของโปรดตัวเองให้ได้ชะงักกึก อีกแล้วนะอาการใจกระตุกทำไมหัวใจชอบเต้นกระหน่ำทุกทีเวลาพี่เขาทำอะไรแบบนี้กับเธอ ส่วนคนที่ทำอะไรเหมือนเป็นเรื่องปกติก็แอบยิ้มในใจกับปฏิกิริยาของอีกคนการที่จิณตภัทรออกอาการตื่นและตามมาด้วยการหลบตาพร้อมใบหน้าที่แดงเรื่อเวลาที่เธอแตะเนื้อต้องตัวทุกครั้ง มันทำให้อัยศิกาค่อนข้างพอใจอยู่ไม่น้อยเพราะนั่นหมายถึงว่าเธอมีอิทธิพลกับคนเป็นน้องมากกว่าคำว่าพี่น้องที่สนิทนั่นแหล่ะแต่เจ้าตัวรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็สบายใจหวังว่าสิ่งที่ลงแรงวางแผนไว้คงจะไม่มีปัญหาจากคนตรงหน้านี้หรอกนะ ******    ดินเนอร์แสนหวานจบลงตอนสี่ทุ่มพอดี เมื่อกลับเข้ามานั่งในรถอีกครั้งปรางวรัญก็เอี้ยวตัวไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากเบาะหลัง "อ่ะนี่ ของสุดที่รักค่ะ" ดอกกุหลาบสีขาวที่เป็นดอกเดียวกับภาพถ่ายพร้อมข้อความเมื่อตอนเช้านั่นเอง เจติยายิ้มรับมาถือไว้ก่อนยื่นหน้าไปหอมแก้มให้เจ้าของช่อดอกไม้ได้ยิ้มหน้าบาน "ขอบคุณค่ะ" "นี่ก็ดึกแล้วปรางค้างกับเจดีกว่าค่ะ" เจติยาบอกเมื่อทั้งคู่กลับมาถึงคอนโดเรียบร้อยด้วยความเป็นห่วงอีกคนเพราะตอนนี้มันก็ห้าทุ่มแล้วถ้าปล่อยให้ขับรถกลับบ้านก็คงเกือบชั่วโมง "ถึงเจไม่ชวนปรางก็ตั้งใจจะค้างอยู่แล้วล่ะ เพราะอุตส่าห์โทรไปขออนุญาตคุณป้ามาเรียบร้อย" "หือ นี่วางแผนล่วงหน้าเลยเหรอคะ แล้วคุณแม่อนุญาตด้วยไม่อยากเชื่อ" "ความรักชนะทุกอย่างค่ะ" ปรางวรัญหันมาบอกพลางยิ้มมีเลศนัยเมื่อนำรถเข้ามาจอดภายในคอนโดเรียบร้อย "ยังไงคะ งง?" "ปรางก็บอกท่านไปตรงๆแค่นั้นแหล่ะ ว่าอยากอยู่กับคุณน่ะก็เป็นเดือนไม่เจอกันเลยปรางคิดถึงจริงๆนะ" คำตอบที่ได้รับถ้าหัวใจคนฟังมีปีกตอนนี้มันคงจะโบยบินออกจากอกไปแล้ว คนอะไรบทจะหวานจะตรงก็ทำเอาเธอเขินจนทำตัวไม่ถูก "แล้วคุณแม่ก็อนุญาตง่ายๆเลยเหรอคะ ไม่ใช่ไปเจ้าเล่ห์เพทุบายแต่งเรื่องอะไรให้ท่านหลงกลนะคะ" "แต่งเรื่องที่ไหนไม่มีหรอกค่ะ ความจริงล้วนๆรับรองด้วยเกียรติของพิพัฒน์บดินทร์เลยนะคะ" เจติยาอมยิ้มส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อจอมทะเล้นสักเท่าไหร่ และเมื่ออีกคนเดินไปเปิดท้ายรถแล้วยกกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งลงมาเครื่องหมายคำถามก็ปรากฏบนหน้าเธอทันที "อะไรกันคะ นี่ถึงกับเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยเหรอปราง?" "อ้าว ก็ปรางขออนุญาตแล้วนี่คะ แถมคุณแม่ของเจท่านก็เห็นดีด้วยที่จะให้ปรางย้ายตัวเองมาดูแลลูกสาวท่านน่ะ ไม่ต้องทำหน้างงค่ะ ไม่เชื่อโทรไปถามคุณป้าดูก็ได้" เจติยาสุดแสนจะงงงวย นี่อีกคนไปเป่ามนต์อะไรใส่มารดาเธอท่านถึงได้ยอมให้คนเจ้าเล่ห์หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับเธอแบบนี้ คอนโดมันมีสองห้องก็จริงแต่คนที่หวงลูกสาวไม่น่าจะยอมกันง่ายๆแบบนี้นะ ปรางวรัญอมยิ้มในหน้ามือหนึ่งจูงคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดตรงไปยังลิฟท์อีกมือก็ลากกระเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้าตัวเองไปด้วยอย่างสบายใจเหตุผลที่เธอได้หอบผ้ามาอยู่นี่ก็เพราะอาชีพนักแสดงของเจติยานั่นแหล่ะ ถ้าต่างคนต่างอยู่เวลาก็ไม่ค่อยมีให้กันแถมจะไปไหนด้วยกันก็ลำบากเพราะกลัวว่าจะเป็นข่าวขึ้นมาก่อนเวลาสมควรเธอเลยเสนอว่าขอมาพักอยู่ด้วยกันซะเลยอย่างน้อยก็ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน  "เดี๋ยวเจไปเปลี่ยนผ้าปูกับปอกหมอนให้ก่อนนะคะ" "ไม่ต้องหรอกค่ะดึกแล้วไว้ค่อยเปลี่ยนวันหลังก็ได้เจไปอาบน้ำก่อนเหอะ" "ปรางจะนอนทั้งอย่างนั้นเหรอคะ ไม่รู้มีฝุ่นหรือเปล่าเจไม่ค่อยได้อยู่เลยไม่ได้ทำความสะอาด" "ไม่เป็นไรเพราะคืนนี้ปรางจะนอนห้องนี้" ร่างสูงบอกพร้อมชี้นิ้วไปยังห้องนอนที่ครั้งหนึ่งมันคือสาเหตุให้เธอได้อีกคนมาเป็นคู่หมั้นอยู่ตอนนี้นั่นแหล่ะ  "เจ้าเล่ห์นักนะคะ หือ ไว้ใจได้ไหมเนี่ย" มือบางยกขึ้นบิดแก้มนุ่มอย่างหมั่นไส้  "สัญญาว่าจะไม่ปล้ำ ถ้าเจไม่ยินยอม" เพี้ยะ โอ๊ย! หึๆ "พูดแบบนี้นอนนอกห้องเลยแล้วกันค่ะ" ร่างบางส่งค้อนให้คนกระล่อนที่ยิ้มกวนประสาทน่าทุบจริงๆ "ไม่เอาค่ะ นอนได้ยังไงปวดหลังแย่เลย น่า นะ นอนด้วยปรางพูดเล่นหรอกใครจะกล้าเดี๋ยวคุณแม่คุณป้าตีหัวแบะพอดี ป่ะๆดึกแล้วไปอาบน้ำกันค่ะ" เธอจะไว้ใจจอมทะเล้นได้ไหมเนี่ย ถึงจะหมั้นหมายกันแล้วเธอก็ยังอยากมอบสิ่งสำคัญให้อีกคนในวันแต่งงานอยู่ดี    เจติยาออกมาจากห้องน้ำมองไปยังคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงเห็นดูอะไรในมือถือแล้วหัวเราะขำก็นึกสงสัย ก่อนที่อีกคนจะหันมามองเธอยิ้มๆ "ดูอะไรคะท่าทางตลก" ร่างบางขึ้นไปนั่งลงข้างๆ "เพื่อนส่งคลิปหลานแฝดมาให้ดูค่ะ เด็กอะไรไม่รู้ฉลาดน่าชังจริงๆเจดูสิ" ปรางวรัญเปิดคลิปที่วิลาสินีเล่นกับหลานสาวมันเป็นการเล่นเกมส์ใบ้คำโดยสองหนูน้อยฝาแฝดหน้าตาน่าชังคนหนึ่งถือกระดาษที่มีคำใบ้ให้อีกคนแสดงท่าทางเพื่อให้คนที่ถือกระดาษตอบให้ได้ เจติยาดูไปสักพักก็ขำออกมาเมื่อเจอท่าใบ้ตลกๆของเด็กหญิงผิวขาวหน้าตาน่ารัก "น่ารักจังเลยค่ะ นี่ขนาดคำตอบยากๆยังสรรหาวิธีใบ้ได้น่ะ" "นั่นนะสิคะ นี่เจรู้ไหมหนูน้อยนี่มีคุณแม่ไม่ใช่คุณพ่อนะคะแถมยังเกิดมาแบบไม่ต้องอาศัยวิธีทางการแพทย์ช่วยด้วยล่ะ" "หืม ยังไงคะหมายถึงว่ามีคุณแม่เป็นผู้หญิงทั้งคู่น่ะเหรอคะ?" "ใช่ค่ะ ญาติของยัยวิวน่ะชื่อพี่ณัฐเป็นผู้หญิงที่มียีนผู้ชายในตัวค่ะ ซึ่งข้อมูลประหลาดนี่ปรางก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะแต่เคยอ่านผ่านในอินเทอเนตบ้าง คือพี่เขามีโครโมโซมเหมือนเพศชายค่ะแม้กระทั่งน้ำรักก็เหมือนอสุจิผู้ชายเลย สามารถทำให้ผู้หญิงท้องได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กันนี่ถ้าไม่ใช่คนรู้จักนะปรางก็ไม่อยากเชื่อว่ามันมีคนแบบนี้บนโลกด้วยน่ะ" "หือ เหลือเชื่อจริงๆนะคะ จะว่าไปเจก็เคยอ่านเจอเคสคล้ายๆแบบนี้นะแต่ไม่ใช่คนไทยน่ะ นี่แสดงว่าสองแฝดนี่ก็เกิดมาโดยวิธีธรรมชาติใช่ไหมคะ" "ใช่ค่ะ อยากมีแบบนี้บ้างจัง เราลองดูไหมเผื่อเราจะมีเจปรางตัวน้อยๆบ้าง" เพี้ยะ "บ้า!ปรางน่ะคิดแต่เรื่องเอาเปรียบกันตลอดเลยนะคะ" คนเขินฟาดฝ่ามือเข้าที่แขนคนชอบแกล้งให้อีกฝ่ายหัวเราะขำ  เสียงหัวเราะพอใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานแดงเรื่ออดไม่ได้ต้องก้มไปจดจมูกเข้ากับแก้มนุ่มหอมก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด เจติยาเอนตัวพิงไหล่อีกคนความอบอุ่นที่รายรอบไม่ใช่อุ่นแค่กายแต่มันอุ่นไปถึงหัวใจ "แต่ปรางอยากมีเจ้าตัวเล็กจริงๆนะ ปรางชอบเด็กผู้หญิง" เจติยาอมยิ้มฟังดูท่าทางอีกคนจะชอบเด็กจริงๆ "แล้วถ้าเป็นลูกชายละคะไม่ชอบเหรอ" "ลูกชายก็รักอยู่ดีนั่นแหล่ะค่ะ ก็สายเลือดเรานี่ แต่ปรางอยากได้ลูกสาวตัวขาวๆแก้มแดงๆขี้อ้อนหน่อย เหมือนคุณตอนเด็ก" คนพูดก็พูดไปยิ้มไปและภาพเมื่อสิบสี่ปีที่แล้วก็ฉายชัดขึ้นมาให้นึกถึงเด็กผู้หญิงกับจักรยานสีชมพู ส่วนคนฟังหัวใจพองโตคับอกอมยิ้มด้วยความสุขใครจะไปคิดว่าคนที่เป็นความประทับใจเพียงครั้งเดียวในวัยเด็กโชคชะตาจะนำพาคนนั้นให้กลับมาเจอและรักกันได้แบบวันนี้ "เรื่องอนาคตเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ดึกแล้วนอนดีกว่าเจชักง่วงแล้ว" เพราะร่างกายที่ถูกใช้งานแบบไม่ได้พักเต็มที่มาร่วมเดือนทำให้นางเอกสาวแทบจะหลับคาอกคนที่เอนตัวพิงหัวเตียงตอนนี้ ปรางวรัญเผยยิ้มออกมาก็สมควรที่อีกคนจะง่วงหรอกเพราะนี่มันก็เที่ยงคืนแล้ว ริมฝีปากอุ่นกดจูบที่หน้าผากนวลของคนที่ตาเริ่มปรือจะปิดเต็มที "งั้นนอนกันค่ะ" ร่างสูงขยับตัวและหมอนให้อีกฝ่ายได้เอนตัวลงนอนดีๆ "ฝันดีนะคะ" เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนใบหน้าสวยจะยืดตัวมาจูบปลายคางคนที่ก้มมองมายิ้มให้ด้วยสายตาอ่อนหวาน ร่างสูงก้มหอมแก้มนุ่มอีกครั้ง "ฝันดีค่ะ" ปรางวรัญมองใบหน้าหวานที่คงจะเหนื่อยล้ามากพอสมควรพอบอกง่วงอีกคนก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที เรียวปากสวยแต้มยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือหยิบรีโหมดกดปิดไฟในห้องให้ดับลงแล้วเอนตัวลงนอนเคียงข้างร่างบางแขนเรียวเอื้อมโอบกระชับร่างหอมกรุ่นเข้ามาแนบตัวแล้วหลับตาลงพร้อมรอยยิ้มสุขใจ    เสียงปลุกเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกคนที่หลับไหลอยู่ในอ้อมกอดอุ่นให้รู้สึกตัว ปรางวรัญงัวเงียมือก็ควานหาต้นตอของเสียง "กี่โมงแล้วคะ?" เสียงงัวเงียอู้อี้ของคนที่ซุกในอ้อมกอดอุ่นถามขึ้น "เจ็ดโมงค่ะ คุณนอนต่อเถอะเดี๋ยวปรางอาบน้ำก่อน" "หือ ปรางทานมื้อเช้าก่อนไปทำงานนะเดี๋ยวเจทำให้ ค่อยนอนต่อก็ได้ค่ะ" คนที่อาสาจะทำมื้อเช้าเอ่ยบอกแต่กลับไม่มีท่าทีจะลุกออกจากที่นอนจนอีกคนอดยิ้มออกมาไม่ได้ "ถ้ายังนอนอยู่แบบนี้อาหารเช้าคงได้ทานบนที่นอนนี่แหล่ะค่ะ" ป๊าบ! หึๆ เจติยาฟาดมือเข้าที่แขนคนขี้แกล้งด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นมองหน้าคนที่อมยิ้มขำ "ทานอะไรดีคะ อาหารฝรั่งหรืออาหารไทย" "เอาง่ายๆขนมปังปิ้งกับไข่ดาวก็พอค่ะ" เจติยาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเสยผมยาวสลวยให้เข้าทรง พอได้พักเต็มที่ค่อยรู้สึกมีพละกำลังเหมือนได้ชาร์จแบตให้ตัวเองนั่นล่ะ    กลิ่นหอมของขนมปังปิ้งโชยเข้ามาถึงในห้องนอนเมื่อร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าสวยเผยยิ้มบางออกมาเพียงแค่นึกถึงคนที่กำลังจัดเตรียมมือเช้าอยู่ด้านนอก มีคนรักเป็นผู้หญิงด้วยกันมันคงดีแบบนี้สินะถ้าเธอมีแฟนเป็นผู้ชายหน้าที่คอยเตรียมอะไรแบบนี้คงจะหนีไม่พ้นเธอคนเดียวที่จะต้องคอยทำให้อีกฝ่ายในฐานะภรรยา เจติยาหันมาส่งยิ้มบางให้คนที่อยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยเมื่ออีกคนเดินออกมาจากห้องนอน "ทานเลยไหมคะ" ร่างสูงพยักหน้าเดินมานั่งลงโต๊ะทานข้าวเล็กๆ "วันนี้ไปถ่ายละครที่ไหนคะ" "ถ่ายในเมืองนี่แหล่ะค่ะ แต่ไม่รู้จะเสร็จตอนไหนเดี๋ยวปรางเอากุญแจกับคีย์การ์ดไปด้วยนะ ตอนลงไปเดี๋ยวเจพาไปแจ้งกับนิติของคอนโดเวลาเข้าออกเขาจะได้รู้ว่าพักในนี้" "แล้วจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมที่ปรางมาพักที่นี่กับคุณน่ะ" "ไม่มีหรอกค่ะก็เราเป็นผู้หญิงด้วยกัน เจบอกว่าเพื่อนมาอาศัยอยู่ด้วยแค่นั้นเอง" "อือหึ เพื่อน สนิท คิดไม่ซื่อ" ร่างสูงย้ำพร้อมกับอมยิ้มตาพราว "หรือปรางอยากเป็นข่าวตอนนี้คะ เจจะจัดให้" นางเอกสาวย้อนถามคนทะเล้นพร้อมรอยยิ้มกวนกลับไปบ้าง หึๆ "เอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ปรางยังอยากมีชีวิตสงบๆอีกอย่างเดี๋ยวงานคุณจะมีปัญหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ไหนจะแฟนคลับคุณอีกจะมาดักตบกันไหมนี่" "บ้า ปรางก็พูดไปใครจะมาทำอะไรรุนแรงแบบนั้นล่ะ อีกอย่างถ้าคนที่เป็นแฟนคลับจริงเขาต้องรู้ว่าเจไม่ได้ชอบผู้ชายขนาดคุณป้ายังรู้เลย" เจติยาพูดออกไปขำๆเพราะสักวันมันก็คงต้องมีคนจับได้ถึงความลับนี้อยู่ดีนั่นล่ะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD