"วัฒเขาก็ไปกับคนพิเศษของเขาสิคะ ว่าไงคะจะทานบนนี้หรือว่าไปที่ร้าน พี่ชักหิวแล้วนะคะ"
อ้าว จู่ๆก็โผล่มาไม่ให้เธอตั้งตัวมาถึงก็ถามๆแล้วยังมาพูดอะไรให้เธองงอีก พี่ชายเธอไปกับคนพิเศษหมายความว่ายังไง แล้วคนตรงหน้าเธอนี่ไม่ใช่คนพิเศษเหรอ
"จิณว่าสั่งอะไรง่ายๆมาทานนี่ดีกว่าค่ะ ที่ร้านแถวนี้ถ้าไม่ได้จองไว้คงจะไม่มีที่นั่งหรอกเวลานี้น่ะ"
"แล้วจิณอยากทานอะไรล่ะ สเต็ก สลัด พิตซ่าไหมคะ?"
พอได้ยินเมนูอาหารง่ายๆแต่มันเป็นอาหารที่เธอชอบรอยยิ้มสดใสก็เผยออกมารีบพยักหน้าทันทีให้คนเป็นพี่ได้ยกยิ้มมุมปาก อะไรที่น้องชอบทำไมเธอจะไม่รู้
"พยักหน้านี่คือเอาอะไรคะ"
"เอาทั้งหมดเลยค่ะ จิณหิว"
"น่าตีจริงๆเลยนะเราเนี่ย ทำไมไม่รู้จักดูแลตัวเองฮึ"
คำบ่นไม่จริงจังแต่มันมาพร้อมความห่วงใยที่ทำให้คนเป็นน้องหัวเราะแหะๆตามมา
อัยศิกาส่ายหน้าก่อนกดมือถือหาเลขาตัวเองที่วันนี้หลายคนยังมาทำงานเพราะมีโปรเจคด่วนรออยู่
"เกศ พี่รบกวนโทรสั่งอาหารให้หน่อยค่ะ"
เมื่อปลายสายรับอัยศิกาก็บอกเมนูที่คงจะเหมาะสำหรับสั่งมากินที่ทำงานในเวลานี้
"เกศถามคนอื่นดูด้วยนะว่าอยากจะกินอะไรก็จัดการสั่งมาเผื่อพวกเขาด้วย ส่วนของพี่ให้เอามาส่งที่ชั้นยี่สิบเก้านะเอาเงินสำรองจ่ายไปก่อนเดี๋ยวพี่คืนให้ จ๊ะขอบใจมาก"
"ช่วงนี้มีงานด่วนเหรอคะ"
จิณตภัทรถามขึ้นเมื่อพากันมานั่งลงที่โซฟารับแขกริมผนังกระจก
"ค่ะพอดีมีลูกค้าจะจัดงานฉลองครบรอบบริษัทต้นเดือนหน้านี้งานค่อนข้างจัดใหญ่พอสมควรทีมงานก็เลยต้องเตรียมพร้อมอะไรหลายอย่างน่ะ นักร้องในค่ายเราก็ถูกว่าจ้างไปอยู่นี่จิณไม่รู้เรื่องนี้เหรอ"
"อ่อ งานเฉลิมฉลองครบรอบของบริษัทรัฐวิสาหกิจนั่นใช่ไหมคะ"
"นั่นแหล่ะค่ะ"
จิณตภัทรพยักหน้าเข้าใจ เพราะเรื่องนี้ทางบริษัทเธอก็ได้มีการติดต่อว่าจ้างศิลปินในค่ายไปงานด้วยเหมือนกัน
"จิณนึกว่าพี่อัยไปดินเนอร์กับพี่วัฒซะอีก แล้วเมื่อกี้พี่บอกว่าพี่ชายจิณไปกับคนพิเศษหมายความว่าไงคะ?"
อัยศิกามองหน้าคนถามก่อนจะยิ้มแล้วตอบออกไปกวนๆ
"ก็หมายความตามนั้นแหล่ะค่ะ"
"พี่อัย! อย่ากวนสิคะก็พี่เป็นคู่หมั้นแล้วจะมีใครพิเศษสำคัญไปกว่าพี่ล่ะ"
หึๆ
เสียงหัวเราะในคอไม่ได้บอกถึงความกระจ่างของคนที่สงสัยเลยสักนิด
"พี่เป็นแค่คู่หมั้นค่ะ แต่ไม่ใช่คนพิเศษและไม่ใช่คนสำคัญของเขาด้วย จิณก็รู้ไม่ใช่เหรอคนพิเศษเขาคือใคร"
"เอ่อ พี่อัยหมายถึง พี่วัฒไปกับป่านเหรอคะ?"
อัยศิกาไม่ตอบแต่ยิ้มบางให้คนตรงหน้าแทน ห้าปีที่อยู่ในฐานะคู่หมั้นกับจิรวัฒน์ตามพันธะสัญญาใจของผู้ใหญ่ แน่นอนว่าเธอรับรู้มาตลอดเรื่องความรักของฝ่ายชายกับรุ่นน้องสาวที่เป็นเพื่อนจิณตภัทรด้วย
"แล้ว พี่ เอ่อ คือ ก็ปล่อยเขาสองคนไปด้วยกันแบบนั้นเหรอคะ"
"อือหึ ก็เป็นแบบนั้นทุกปีแหล่ะค่ะ"
คำตอบไม่ทุกข์ร้อนของคนตรงหน้าทำให้จิณตภัทรเหวอไปเลยก็จะไม่ให้เธออึ้งแปลกใจได้ยังไงก็รู้อยู่หรอกว่าเพื่อนเธอกับพี่ชายชอบพอกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมน่ะ แต่ไม่คิดว่าคนที่อยู่ในสถานะคู่หมั้นจะไม่รู้สึกรู้สาปล่อยสองคนไปแบบนั้น จิณตภัทรเข้าใจว่าที่ผ่านมาพี่ทั้งสองไปดินเนอร์ด้วยกันทุกปีมันไม่ใช่เหรอ
อัยศิกายกยิ้มมุมปากเอนตัวพิงกับโซฟากอดอกมองคนที่หน้ายุ่งคิ้วขมวดก็นึกขำอยู่เหมือนกัน นี่ถ้ารู้ความจริงว่าตอนนี้เพื่อนกับพี่ชายตัวเองกลายเป็นสามีภรรยาทางนิตินัยกันไปแล้วจิณตภัทรจะทำหน้ายังไง
ก๊อก ก๊อกๆ
"สงสัยอาหารจะมาแล้วล่ะ"
คนเป็นพี่เอ่ยบอกก่อนจะลุกเดินไปเปิดประตูห้องจิณตภัทรรีบลุกตามไปเห็นหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเองยืนยิ้มอยู่หน้าประตูและผู้ชายอีกคนที่ยืนหิ้วของพะรุงพะรังกันทั้งคู่
"สวัสดีค่ะคุณจิณ"
เกศราส่งเสียงทักทายคนที่มีตำแหน่งสูงกว่าตน
"สวัสดีค่ะคุณเกศ"
จิณตภัทรส่งยิ้มตอบเลขาอีกคนของอัยศิกาที่พอจะรู้จักกันบ้าง
"สั่งมาเผื่อทุกคนด้วยใช่ไหมเกศ"
"ค่ะคุณอัย พากันดี้ด๊ากันใหญ่ว่าเจ้านายใจดีเลี้ยงวันวาเลนไทน์"
"อืม ฝากกลับไปบอกด้วยล่ะอิ่มท้องแล้วถ้างานไม่เดินพี่จะงดจ่ายโอทีวันนี้นะ"
คิกๆ
เลขาสาวหัวเราะกับคำขู่ของเจ้านายคนสวย อัยศิกาเป็นทั้งเจ้านายและเป็นเพื่อนพี่สาว นอกเหนือเวลางานอีกคนมักจะเอ่ยหยอกล้อกันเล่นเป็นประจำ
"ค่อยๆทานก็ได้จิณเดี๋ยวก็ติดคอหรอก ดูซิอายุเท่าไหร่แล้วนี่กินเลอะเป็นเด็กสามขวบเลย"
คนเป็นพี่บอกพลางยื่นนิ้วไปปาดซอสที่เลอะมุมปากคนที่กำลังกินของโปรดตัวเองให้ได้ชะงักกึก อีกแล้วนะอาการใจกระตุกทำไมหัวใจชอบเต้นกระหน่ำทุกทีเวลาพี่เขาทำอะไรแบบนี้กับเธอ
ส่วนคนที่ทำอะไรเหมือนเป็นเรื่องปกติก็แอบยิ้มในใจกับปฏิกิริยาของอีกคนการที่จิณตภัทรออกอาการตื่นและตามมาด้วยการหลบตาพร้อมใบหน้าที่แดงเรื่อเวลาที่เธอแตะเนื้อต้องตัวทุกครั้ง มันทำให้อัยศิกาค่อนข้างพอใจอยู่ไม่น้อยเพราะนั่นหมายถึงว่าเธอมีอิทธิพลกับคนเป็นน้องมากกว่าคำว่าพี่น้องที่สนิทนั่นแหล่ะแต่เจ้าตัวรู้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ถ้าเป็นแบบนี้เธอก็สบายใจหวังว่าสิ่งที่ลงแรงวางแผนไว้คงจะไม่มีปัญหาจากคนตรงหน้านี้หรอกนะ
******
ดินเนอร์แสนหวานจบลงตอนสี่ทุ่มพอดี เมื่อกลับเข้ามานั่งในรถอีกครั้งปรางวรัญก็เอี้ยวตัวไปหยิบอะไรบางอย่างมาจากเบาะหลัง
"อ่ะนี่ ของสุดที่รักค่ะ"
ดอกกุหลาบสีขาวที่เป็นดอกเดียวกับภาพถ่ายพร้อมข้อความเมื่อตอนเช้านั่นเอง เจติยายิ้มรับมาถือไว้ก่อนยื่นหน้าไปหอมแก้มให้เจ้าของช่อดอกไม้ได้ยิ้มหน้าบาน
"ขอบคุณค่ะ"
"นี่ก็ดึกแล้วปรางค้างกับเจดีกว่าค่ะ"
เจติยาบอกเมื่อทั้งคู่กลับมาถึงคอนโดเรียบร้อยด้วยความเป็นห่วงอีกคนเพราะตอนนี้มันก็ห้าทุ่มแล้วถ้าปล่อยให้ขับรถกลับบ้านก็คงเกือบชั่วโมง
"ถึงเจไม่ชวนปรางก็ตั้งใจจะค้างอยู่แล้วล่ะ เพราะอุตส่าห์โทรไปขออนุญาตคุณป้ามาเรียบร้อย"
"หือ นี่วางแผนล่วงหน้าเลยเหรอคะ แล้วคุณแม่อนุญาตด้วยไม่อยากเชื่อ"
"ความรักชนะทุกอย่างค่ะ"
ปรางวรัญหันมาบอกพลางยิ้มมีเลศนัยเมื่อนำรถเข้ามาจอดภายในคอนโดเรียบร้อย
"ยังไงคะ งง?"
"ปรางก็บอกท่านไปตรงๆแค่นั้นแหล่ะ ว่าอยากอยู่กับคุณน่ะก็เป็นเดือนไม่เจอกันเลยปรางคิดถึงจริงๆนะ"
คำตอบที่ได้รับถ้าหัวใจคนฟังมีปีกตอนนี้มันคงจะโบยบินออกจากอกไปแล้ว คนอะไรบทจะหวานจะตรงก็ทำเอาเธอเขินจนทำตัวไม่ถูก
"แล้วคุณแม่ก็อนุญาตง่ายๆเลยเหรอคะ ไม่ใช่ไปเจ้าเล่ห์เพทุบายแต่งเรื่องอะไรให้ท่านหลงกลนะคะ"
"แต่งเรื่องที่ไหนไม่มีหรอกค่ะ ความจริงล้วนๆรับรองด้วยเกียรติของพิพัฒน์บดินทร์เลยนะคะ"
เจติยาอมยิ้มส่ายหน้าไม่อยากจะเชื่อจอมทะเล้นสักเท่าไหร่ และเมื่ออีกคนเดินไปเปิดท้ายรถแล้วยกกระเป๋าเดินทางใบหนึ่งลงมาเครื่องหมายคำถามก็ปรากฏบนหน้าเธอทันที
"อะไรกันคะ นี่ถึงกับเตรียมกระเป๋าเสื้อผ้ามาด้วยเหรอปราง?"
"อ้าว ก็ปรางขออนุญาตแล้วนี่คะ แถมคุณแม่ของเจท่านก็เห็นดีด้วยที่จะให้ปรางย้ายตัวเองมาดูแลลูกสาวท่านน่ะ ไม่ต้องทำหน้างงค่ะ ไม่เชื่อโทรไปถามคุณป้าดูก็ได้"
เจติยาสุดแสนจะงงงวย นี่อีกคนไปเป่ามนต์อะไรใส่มารดาเธอท่านถึงได้ยอมให้คนเจ้าเล่ห์หอบผ้าหอบผ่อนมาอยู่กับเธอแบบนี้ คอนโดมันมีสองห้องก็จริงแต่คนที่หวงลูกสาวไม่น่าจะยอมกันง่ายๆแบบนี้นะ
ปรางวรัญอมยิ้มในหน้ามือหนึ่งจูงคนที่หน้านิ่วคิ้วขมวดตรงไปยังลิฟท์อีกมือก็ลากกระเป๋าที่บรรจุเสื้อผ้าตัวเองไปด้วยอย่างสบายใจเหตุผลที่เธอได้หอบผ้ามาอยู่นี่ก็เพราะอาชีพนักแสดงของเจติยานั่นแหล่ะ ถ้าต่างคนต่างอยู่เวลาก็ไม่ค่อยมีให้กันแถมจะไปไหนด้วยกันก็ลำบากเพราะกลัวว่าจะเป็นข่าวขึ้นมาก่อนเวลาสมควรเธอเลยเสนอว่าขอมาพักอยู่ด้วยกันซะเลยอย่างน้อยก็ได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน
"เดี๋ยวเจไปเปลี่ยนผ้าปูกับปอกหมอนให้ก่อนนะคะ"
"ไม่ต้องหรอกค่ะดึกแล้วไว้ค่อยเปลี่ยนวันหลังก็ได้เจไปอาบน้ำก่อนเหอะ"
"ปรางจะนอนทั้งอย่างนั้นเหรอคะ ไม่รู้มีฝุ่นหรือเปล่าเจไม่ค่อยได้อยู่เลยไม่ได้ทำความสะอาด"
"ไม่เป็นไรเพราะคืนนี้ปรางจะนอนห้องนี้"
ร่างสูงบอกพร้อมชี้นิ้วไปยังห้องนอนที่ครั้งหนึ่งมันคือสาเหตุให้เธอได้อีกคนมาเป็นคู่หมั้นอยู่ตอนนี้นั่นแหล่ะ
"เจ้าเล่ห์นักนะคะ หือ ไว้ใจได้ไหมเนี่ย"
มือบางยกขึ้นบิดแก้มนุ่มอย่างหมั่นไส้
"สัญญาว่าจะไม่ปล้ำ ถ้าเจไม่ยินยอม"
เพี้ยะ โอ๊ย! หึๆ
"พูดแบบนี้นอนนอกห้องเลยแล้วกันค่ะ"
ร่างบางส่งค้อนให้คนกระล่อนที่ยิ้มกวนประสาทน่าทุบจริงๆ
"ไม่เอาค่ะ นอนได้ยังไงปวดหลังแย่เลย น่า นะ นอนด้วยปรางพูดเล่นหรอกใครจะกล้าเดี๋ยวคุณแม่คุณป้าตีหัวแบะพอดี ป่ะๆดึกแล้วไปอาบน้ำกันค่ะ"
เธอจะไว้ใจจอมทะเล้นได้ไหมเนี่ย ถึงจะหมั้นหมายกันแล้วเธอก็ยังอยากมอบสิ่งสำคัญให้อีกคนในวันแต่งงานอยู่ดี
เจติยาออกมาจากห้องน้ำมองไปยังคนที่กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงหัวเตียงเห็นดูอะไรในมือถือแล้วหัวเราะขำก็นึกสงสัย ก่อนที่อีกคนจะหันมามองเธอยิ้มๆ
"ดูอะไรคะท่าทางตลก"
ร่างบางขึ้นไปนั่งลงข้างๆ
"เพื่อนส่งคลิปหลานแฝดมาให้ดูค่ะ เด็กอะไรไม่รู้ฉลาดน่าชังจริงๆเจดูสิ"
ปรางวรัญเปิดคลิปที่วิลาสินีเล่นกับหลานสาวมันเป็นการเล่นเกมส์ใบ้คำโดยสองหนูน้อยฝาแฝดหน้าตาน่าชังคนหนึ่งถือกระดาษที่มีคำใบ้ให้อีกคนแสดงท่าทางเพื่อให้คนที่ถือกระดาษตอบให้ได้ เจติยาดูไปสักพักก็ขำออกมาเมื่อเจอท่าใบ้ตลกๆของเด็กหญิงผิวขาวหน้าตาน่ารัก
"น่ารักจังเลยค่ะ นี่ขนาดคำตอบยากๆยังสรรหาวิธีใบ้ได้น่ะ"
"นั่นนะสิคะ นี่เจรู้ไหมหนูน้อยนี่มีคุณแม่ไม่ใช่คุณพ่อนะคะแถมยังเกิดมาแบบไม่ต้องอาศัยวิธีทางการแพทย์ช่วยด้วยล่ะ"
"หืม ยังไงคะหมายถึงว่ามีคุณแม่เป็นผู้หญิงทั้งคู่น่ะเหรอคะ?"
"ใช่ค่ะ ญาติของยัยวิวน่ะชื่อพี่ณัฐเป็นผู้หญิงที่มียีนผู้ชายในตัวค่ะ ซึ่งข้อมูลประหลาดนี่ปรางก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่หรอกนะแต่เคยอ่านผ่านในอินเทอเนตบ้าง คือพี่เขามีโครโมโซมเหมือนเพศชายค่ะแม้กระทั่งน้ำรักก็เหมือนอสุจิผู้ชายเลย สามารถทำให้ผู้หญิงท้องได้เมื่อมีเพศสัมพันธ์กันนี่ถ้าไม่ใช่คนรู้จักนะปรางก็ไม่อยากเชื่อว่ามันมีคนแบบนี้บนโลกด้วยน่ะ"
"หือ เหลือเชื่อจริงๆนะคะ จะว่าไปเจก็เคยอ่านเจอเคสคล้ายๆแบบนี้นะแต่ไม่ใช่คนไทยน่ะ นี่แสดงว่าสองแฝดนี่ก็เกิดมาโดยวิธีธรรมชาติใช่ไหมคะ"
"ใช่ค่ะ อยากมีแบบนี้บ้างจัง เราลองดูไหมเผื่อเราจะมีเจปรางตัวน้อยๆบ้าง"
เพี้ยะ
"บ้า!ปรางน่ะคิดแต่เรื่องเอาเปรียบกันตลอดเลยนะคะ"
คนเขินฟาดฝ่ามือเข้าที่แขนคนชอบแกล้งให้อีกฝ่ายหัวเราะขำ
เสียงหัวเราะพอใจที่ได้เห็นใบหน้าหวานแดงเรื่ออดไม่ได้ต้องก้มไปจดจมูกเข้ากับแก้มนุ่มหอมก่อนจะรั้งร่างบางเข้ามาในอ้อมกอด เจติยาเอนตัวพิงไหล่อีกคนความอบอุ่นที่รายรอบไม่ใช่อุ่นแค่กายแต่มันอุ่นไปถึงหัวใจ
"แต่ปรางอยากมีเจ้าตัวเล็กจริงๆนะ ปรางชอบเด็กผู้หญิง"
เจติยาอมยิ้มฟังดูท่าทางอีกคนจะชอบเด็กจริงๆ
"แล้วถ้าเป็นลูกชายละคะไม่ชอบเหรอ"
"ลูกชายก็รักอยู่ดีนั่นแหล่ะค่ะ ก็สายเลือดเรานี่ แต่ปรางอยากได้ลูกสาวตัวขาวๆแก้มแดงๆขี้อ้อนหน่อย เหมือนคุณตอนเด็ก"
คนพูดก็พูดไปยิ้มไปและภาพเมื่อสิบสี่ปีที่แล้วก็ฉายชัดขึ้นมาให้นึกถึงเด็กผู้หญิงกับจักรยานสีชมพู ส่วนคนฟังหัวใจพองโตคับอกอมยิ้มด้วยความสุขใครจะไปคิดว่าคนที่เป็นความประทับใจเพียงครั้งเดียวในวัยเด็กโชคชะตาจะนำพาคนนั้นให้กลับมาเจอและรักกันได้แบบวันนี้
"เรื่องอนาคตเอาไว้ก่อนเถอะค่ะ ตอนนี้ดึกแล้วนอนดีกว่าเจชักง่วงแล้ว"
เพราะร่างกายที่ถูกใช้งานแบบไม่ได้พักเต็มที่มาร่วมเดือนทำให้นางเอกสาวแทบจะหลับคาอกคนที่เอนตัวพิงหัวเตียงตอนนี้ ปรางวรัญเผยยิ้มออกมาก็สมควรที่อีกคนจะง่วงหรอกเพราะนี่มันก็เที่ยงคืนแล้ว ริมฝีปากอุ่นกดจูบที่หน้าผากนวลของคนที่ตาเริ่มปรือจะปิดเต็มที
"งั้นนอนกันค่ะ"
ร่างสูงขยับตัวและหมอนให้อีกฝ่ายได้เอนตัวลงนอนดีๆ
"ฝันดีนะคะ"
เสียงหวานเอ่ยบอกก่อนใบหน้าสวยจะยืดตัวมาจูบปลายคางคนที่ก้มมองมายิ้มให้ด้วยสายตาอ่อนหวาน
ร่างสูงก้มหอมแก้มนุ่มอีกครั้ง
"ฝันดีค่ะ"
ปรางวรัญมองใบหน้าหวานที่คงจะเหนื่อยล้ามากพอสมควรพอบอกง่วงอีกคนก็เข้าสู่ห้วงนิทราแทบจะทันที เรียวปากสวยแต้มยิ้มบางก่อนจะเอื้อมมือหยิบรีโหมดกดปิดไฟในห้องให้ดับลงแล้วเอนตัวลงนอนเคียงข้างร่างบางแขนเรียวเอื้อมโอบกระชับร่างหอมกรุ่นเข้ามาแนบตัวแล้วหลับตาลงพร้อมรอยยิ้มสุขใจ
เสียงปลุกเตือนของโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกคนที่หลับไหลอยู่ในอ้อมกอดอุ่นให้รู้สึกตัว ปรางวรัญงัวเงียมือก็ควานหาต้นตอของเสียง
"กี่โมงแล้วคะ?"
เสียงงัวเงียอู้อี้ของคนที่ซุกในอ้อมกอดอุ่นถามขึ้น
"เจ็ดโมงค่ะ คุณนอนต่อเถอะเดี๋ยวปรางอาบน้ำก่อน"
"หือ ปรางทานมื้อเช้าก่อนไปทำงานนะเดี๋ยวเจทำให้ ค่อยนอนต่อก็ได้ค่ะ"
คนที่อาสาจะทำมื้อเช้าเอ่ยบอกแต่กลับไม่มีท่าทีจะลุกออกจากที่นอนจนอีกคนอดยิ้มออกมาไม่ได้
"ถ้ายังนอนอยู่แบบนี้อาหารเช้าคงได้ทานบนที่นอนนี่แหล่ะค่ะ"
ป๊าบ!
หึๆ
เจติยาฟาดมือเข้าที่แขนคนขี้แกล้งด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดอุ่นมองหน้าคนที่อมยิ้มขำ
"ทานอะไรดีคะ อาหารฝรั่งหรืออาหารไทย"
"เอาง่ายๆขนมปังปิ้งกับไข่ดาวก็พอค่ะ"
เจติยาพยักหน้ารับก่อนจะลุกขึ้นเสยผมยาวสลวยให้เข้าทรง พอได้พักเต็มที่ค่อยรู้สึกมีพละกำลังเหมือนได้ชาร์จแบตให้ตัวเองนั่นล่ะ
กลิ่นหอมของขนมปังปิ้งโชยเข้ามาถึงในห้องนอนเมื่อร่างสูงเดินออกมาจากห้องน้ำ ใบหน้าสวยเผยยิ้มบางออกมาเพียงแค่นึกถึงคนที่กำลังจัดเตรียมมือเช้าอยู่ด้านนอก มีคนรักเป็นผู้หญิงด้วยกันมันคงดีแบบนี้สินะถ้าเธอมีแฟนเป็นผู้ชายหน้าที่คอยเตรียมอะไรแบบนี้คงจะหนีไม่พ้นเธอคนเดียวที่จะต้องคอยทำให้อีกฝ่ายในฐานะภรรยา
เจติยาหันมาส่งยิ้มบางให้คนที่อยู่ในชุดทำงานเรียบร้อยเมื่ออีกคนเดินออกมาจากห้องนอน
"ทานเลยไหมคะ"
ร่างสูงพยักหน้าเดินมานั่งลงโต๊ะทานข้าวเล็กๆ
"วันนี้ไปถ่ายละครที่ไหนคะ"
"ถ่ายในเมืองนี่แหล่ะค่ะ แต่ไม่รู้จะเสร็จตอนไหนเดี๋ยวปรางเอากุญแจกับคีย์การ์ดไปด้วยนะ ตอนลงไปเดี๋ยวเจพาไปแจ้งกับนิติของคอนโดเวลาเข้าออกเขาจะได้รู้ว่าพักในนี้"
"แล้วจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหมที่ปรางมาพักที่นี่กับคุณน่ะ"
"ไม่มีหรอกค่ะก็เราเป็นผู้หญิงด้วยกัน เจบอกว่าเพื่อนมาอาศัยอยู่ด้วยแค่นั้นเอง"
"อือหึ เพื่อน สนิท คิดไม่ซื่อ"
ร่างสูงย้ำพร้อมกับอมยิ้มตาพราว
"หรือปรางอยากเป็นข่าวตอนนี้คะ เจจะจัดให้"
นางเอกสาวย้อนถามคนทะเล้นพร้อมรอยยิ้มกวนกลับไปบ้าง
หึๆ
"เอาไว้ก่อนดีกว่าค่ะ ปรางยังอยากมีชีวิตสงบๆอีกอย่างเดี๋ยวงานคุณจะมีปัญหาหรือเปล่าก็ไม่รู้ไหนจะแฟนคลับคุณอีกจะมาดักตบกันไหมนี่"
"บ้า ปรางก็พูดไปใครจะมาทำอะไรรุนแรงแบบนั้นล่ะ อีกอย่างถ้าคนที่เป็นแฟนคลับจริงเขาต้องรู้ว่าเจไม่ได้ชอบผู้ชายขนาดคุณป้ายังรู้เลย"
เจติยาพูดออกไปขำๆเพราะสักวันมันก็คงต้องมีคนจับได้ถึงความลับนี้อยู่ดีนั่นล่ะ