และช่วงเวลาของความอึดอัดขัดเขินของเจติยาก็จบลงเมื่อกิจกรรมส่งท้ายวันแห่งความรักหมดลงด้วยเวลาชั่วโมงครึ่ง หลังจากถ่ายรูปและให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนบ้างเล็กน้อยเธอถึงได้ปลีกตัวออกจากงานได้
ฟู่
เสียงเป่าลมออกจากปากเมื่อหลบออกมาหลังเวทีได้ ทิวายิ้มขำกับท่าทางอีกคนแม้จะโดนต้อนโดนแซวเจติยายังไหลเอาตัวรอดได้
"นึกว่าน้องสาวพี่จะเอาตัวไม่รอดแล้ววันนี้"
"นี่ถือว่าเป็นการแสดงที่ไม่มีบทเลยนะพี่ทิวา"
"ทำได้ดีแล้วนี่คะ ความลับยังอยู่รอดปลอดภัย"
"แต่ไม่มีความลับมันคงดีกว่าน่ะพี่ทิวา เจว่าเจคงปิดเรื่องนี้ได้ไม่นานหรอกค่ะ"
"เอาเถอะค่ะ พี่รู้ว่าเราปิดได้ไม่ตลอดหรอกเดี๋ยวสักวันก็คงต้องมีคนรู้ลำพังตอนนี้เขาก็คงสงสัยแล้วล่ะเพราะฉะนั้นน้องเจก็เตรียมตัวเตรียมใจไว้เถอะต้องมีคนคอยจับตาดูแน่ๆ ป่ะไปกันดีกว่าค่ะเดี๋ยวพี่ไม่ทันนัดสำคัญ"
"อ้าว พี่ทิวามีนัดทำไมไม่ให้เจเอารถมาเองละคะ จะได้ไม่ต้องรอเสียเวลาแย่แล้วนี่พี่มีนัดกี่โมงคะ"
"ไม่ต้องห่วงหรอกค่ะพี่บริหารเวลาได้ เดี๋ยวไปส่งน้องเจก่อน"
เมื่อเข้ามาในลิฟท์ที่จะพาไปยังชั้นจอดรถนางเอกสาวก็ขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยถาม
"พี่ทิวาเปลี่ยนชั้นจอดรถเหรอคะ เจว่าขามาเราจอดไว้ที่ชั้นห้านะ"
"ใช่จ๊ะ"
ทิวาตอบสั้นๆพลางยิ้มให้นางเอกสาวแทนคำอธิบาย ไม่นานลิฟท์มาหยุดที่ชั้นแปดของอาคารจอดรถหลังห้างใหญ่ทิวาเดินนำนางเอกสาวไปยังจุดที่ได้รับข้อความแจ้งมาก่อนหน้านี้ เสียงปลดล็อครถยนต์ดังขึ้นใกล้ๆเมื่อทิวาพาเธอมายืนข้างรถยนต์คันหนึ่งซึ่งมันคุ้นตาเธอมาก
"พี่ทิวา?"
เจติยาหันมองหน้าผู้จัดการด้วยคิดไม่ถึง ตอนนี้ไม่ต้องถามแล้วล่ะว่าอะไรยังไงก็รถคันที่เธอยืนข้างๆนี่ทำไมจะจำไม่ได้ก็เธอทำให้มันไปเข้าอู่อยู่เกือบเดือนน่ะ
"เซอร์ไพร้ส์จากหวานใจคุณน้องค่ะ แฮปปี้วาเลนไทน์นะคะน้องเจ"
กระจกรถถูกเลื่อนลงมาและเสียงคุ้นหูของคนในรถก็เอ่ยขึ้น
"ขอบคุณนะคะพี่ทิวา"
ปรางวรัญบอกขอบคุณผู้จัดการร่างใหญ่ก่อนจะยิ้มหวานให้คนที่ยังไม่ยอมขึ้นรถ
"ยินดีค่ะน้องปราง อย่าพานางเอกพี่ฉลองหนักมากนะคะพรุ่งนี้น้องเจยังมีคิวงานอยู่นะคะ ป่ะขึ้นรถได้แล้วคะคุณน้องเดี๋ยวไม่ทันดินเนอร์มื้อค่ำพอดี"
ทิวาเปิดประตูรถก่อนดันนางเอกสาวให้เข้าไปนั่งในรถแล้วปิดประตูลงพร้อมโบกมือแถมรอยยิ้มล้อเลียนให้อีก เจติยาเม้มปากพยายามกลั้นยิ้มเอาไว้ ใครจะไปคิดว่าจอมทะเล้นจะมีมุมโรแมนติกขนาดนี้ล่ะ
ปรางวรัญมองคนที่ขึ้นมานั่งบนรถแต่ไม่ยอมพูดยอมจามีแต่ใบหน้าแดงเรื่อกับใบหูสีชมพูเข้มที่เห็นนั่นแหล่ะที่ทำให้เธอยิ้มออกมาอย่างพอจะรู้อาการอีกคน
"เหนื่อยเหรอคะเงียบเชียว หรือว่าหิว"
น้ำเสียงห่วงใยทำให้คนถูกเซอร์ไพร้ส์หันไปมองคนที่ส่งยิ้มอ่อนโยนมาให้ก่อนจะตอบออกไปกวนๆ
"หิวค่ะ"
หึๆ
"อืมสงสัยจะโมโหหิวด้วยนะเนี่ยหน้าดำหน้าแดงเชียว"
"ปราง!"
ฮ่าๆ
"โอ๋ๆ ไม่แกล้งแล้วค่ะ ไหนหันมายิ้มหวานๆให้ชื่นใจหน่อยสิคะหืม"
เจติยาหันมาส่งค้อนให้คนชอบแกล้งทั้งที่ใบหน้าแดงเรื่อให้อีกคนยิ้มขำ
"เจเริ่มหิวจริงๆนะคะปราง"
"โอเคค่ะเจ้าหญิง เดี๋ยวเราไปดินเนอร์กันค่ะ"
"ขอบคุณค่ะ"
ทีงี้ทั้งเสียงแถมรอยยิ้มหวานหยดแบบไม่ต้องขอเลยนะ ปรางวรัญยิ้มก่อนจะขับรถพานางเอกสาวไปยังสถานที่ที่จองไว้สำหรับวันพิเศษนี้ ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะมามีโมเม้นท์เซอร์ไพร้ส์โรแมนติกหวานแหววแบบนี้สักทีหรอกนะ ก็เพิ่งมีความรู้สึกอยากจะทำให้กับคนที่นั่งอมยิ้มอยู่ข้างๆนี่แหล่ะ ความรักนี่มันทำให้คนเปลี่ยนและทำอะไรที่ไม่คาดคิดได้เสมอสินะ
ประมาณครึ่งชั่วโมงในการเดินทางเมื่อปรางวรัญขับรถเข้าจอดยังบริเวณที่มีการให้บริการฝากรถแบบวีไอพี
"เปลี่ยนบรรยากาศทานมื้อค่ำกันบนเรือนะคะวันนี้ ไปค่ะเดี๋ยวคนบางคนจะโมโหหิวขึ้นมาจริงๆ"
ปรางวรัญเอ่ยล้อคนหน้าหวานก่อนเปิดประตูลงจากรถ การมีแฟนเป็นคนดังมันลำบากก็เรื่องความเป็นส่วนตัวนี่แหล่ะ งานนี้เธอจึงต้องให้ทิวาช่วยหาบริษัทที่จะจองเรือแบบเหมาลำเพื่อความเป็นส่วนตัวในดินเนอร์พิเศษคืนนี้ ในเมื่อผู้จัดการเขาเป็นคนคัดสรรมาแล้วเรื่องที่ว่าจะมีภาพเธอกับเจติยาหลุดรอดออกไปก็คงจะไม่ต้องกังวลเท่าไหร่ทิวาคงมั่นใจแล้วว่าจะไม่เกิดปัญหานั้นตามมาในวันนี้
"จะทานอาหารกันเลยไหมคะ หรือคุณอยากชมวิวก่อน"
เมื่อพากันขึ้นมาบนเรือเรียบร้อยปรางวรัญก็เอ่ยถาม
"เดี๋ยวซักพักค่อยทานก็ได้ค่ะ เจอยากชมวิวแม่น้ำสักหน่อย"
ปรางวรัญพยักหน้าก่อนบอกกับเจ้าหน้าที่บริการว่าอีกสักครึ่งชั่วโมงค่อยเสิร์ฟอาหาร
แสงไฟยามค่ำคืนของสถานที่ต่างๆริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งสองฟากฝั่งมันดูสวยงามเสมอ เคยมีละครบางเรื่องเหมือนกันที่มีฉากดินเนอร์โรแมนติกแบบนี้แต่วันนี้เธออยู่กับความเป็นจริงอารมณ์ความรู้สึกมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ร่างบางยืนกอดอกมองแสงสีและเรือสำราญบางลำที่ล่องสวนกันในแม่น้ำแห่งนี้ภาพเบื้องหน้าคือสะพานพระรามแปดที่ดูสวยงามในยามค่ำคืนลมเย็นๆพัดประทะเข้ามาให้ความรู้สึกเย็นสบายผ่อนคลายจากความเหนื่อยล้าได้ดีทีเดียว
เรียวปากบางเผยยิ้มออกมาเมื่อเอวบางถูกแขนของคนที่เดินมาซ้อนด้านหลังสวมกอด หัวใจเต้นแรงขึ้นเพียงแค่ปลายจมูกโด่งกดลงที่แก้มเธอพร้อมเสียงกระซิบ
"คิดถึง"
มือบางเลื่อนลงไปวางทาบมือเรียวที่กอดรัดเธอไว้หลวมๆก่อนลูบสัมผัสนิ้วนางที่มีแหวนของเธอสวมอยู่
"ปรางไม่คิดมากใช่ไหมที่ช่วงนี้เราไม่ค่อยมีเวลาเจอกันน่ะ"
น้ำเสียงหวานติดกังวลเอ่ยถามให้คนที่เอาคางเกยไหล่ยิ้มออกมาบางๆ
"ไม่หรอกค่ะ แค่เป็นห่วงแล้วก็ เพิ่งรู้ว่าความคิดถึงกันมันทรมานจริงๆ"
เจติยาอมยิ้ม บทอีกคนจะหวานก็หวานจนเธอแทบละลายเวลาทะเล้นเจ้าเล่ห์ก็ช่างน่าหมั่นไส้นัก
"ทำไงได้ละคะก็ละครเรื่องนี้มันต้องถ่ายที่ทะเลเป็นส่วนมาก ไว้ปิดกล้องเรื่องนี้เรื่องหน้าก็ไม่ได้ไปไหนไกลแล้วค่ะวนเวียนถ่ายในเมืองนี่แหล่ะ"
"หืม งานเยอะจัง"
"อ้าว เจงานเยอะไม่ดีเหรอคะหรืออยากให้เจตกงานฮึ"
นางเอกสาวเอี้ยวหน้ามาถามคนที่คลอเคลียปลายจมูกอยู่กับแก้มเธอไม่ห่าง
"ก็ดี แต่เห็นคุณทำงานแล้วมันหนักเกินไปหรือเปล่าพี่ทิวาบอกบางทีถ่ายยันตีสามตีสี่ก็มีไม่ใช่เหรอ"
"มันก็มีค่ะ แต่ก็ไม่ได้บ่อยหรือติดต่อกันหลายคืนหรอกไม่งั้นเจคงน็อคเหมือนกัน ปกติแล้วเจรับงานเท่าที่ตัวเองไหว มีแค่ช่วงเทศกาลนี่ล่ะที่มีงานอีเว้นท์เข้ามาเยอะหน่อยเดี๋ยวก็ซาลงแล้วค่ะ"
"ถ้าเจไม่เป็นนักแสดงแล้วจะทำอะไรคะ?"
"ก็คิดไว้เหมือนกันนะคะตอนนี้อายุเริ่มเยอะขึ้นแล้ว ก็คงไปช่วยงานที่บริษัทกับพี่โจน่ะแหล่ะแต่เจกับพายเคยคิดว่าจะเปิดบริษัทรับสอนการแสดงนะคะและเป็นโมเดลลิ่งไปในตัวด้วยพี่ทิวาเขาก็เห็นด้วยและพร้อมจะลงหุ้นไหนจะกระต๊อบอีก ก็พากันวางแผนไว้บ้างแล้วล่ะค่ะ"
"อืม อันนี้ปรางก็เห็นด้วยนะ มีแต่แผนการทำงานแล้วไหนแผนจะแต่งงานของเราละคะ"
เจติยาหัวเราะขำ ก็ดีใจอยู่นะที่อีกคนพูดถึงเรื่องแต่งงานบ่อยๆน่ะ
"ปรางข้ามขั้นตอนอะไรไปหรือเปล่าคะ ก่อนจะแต่งงานเขาทำอะไรก่อน"
"หือ ก่อนแต่งก็หมั้นไงคะเราก็หมั้นเรียบร้อยแล้วปรางชวนแต่งงานก็ถูกแล้วนี่?"
เจติยาหันมาเผชิญหน้าอีกคนตรงๆก่อนจะถามออกไปยิ้มๆ
"เคยดูละครไหมคะ ฉากที่พระเอกขอนางเอกแต่งงานน่ะ"
"ก็เคยบ้างนะ อ๋อ อยากให้ปรางคุกเข่าขอแต่งงานแบบนั้นเหรอคะ ได้สิคะเจ้าหญิง"
"เดี๋ยวคะปราง ไม่ใช่แบบนั้น"
เจติยาบอกออกไปขำๆเมื่ออีกคนทำท่าจะนั่งคุกเข่าไปจริงๆจนเธอต้องรีบรั้งแขนไว้
"อ้าว แล้วทำอะไรละคะ?"
เจติยายิ่งขำแต่ก็พยายามไม่หลุดหัวเราะออกมา คนโรแมนติกของเธอคงคิดไม่ออกจริงๆดูคิ้วขมวดเป็นโบว์เชียว เธอเลยข่มอาการเขินอายบอกไป
"ขอแต่งงานน่ะบอกรักเจหรือยังฮึ"
แค่นั้นล่ะคิ้วที่ขมวดเป็นปมคลายออกทันที แต่คราวนี้รอยยิ้มหวานและสายตาแพรวพราวที่มองมานั่นแหล่ะ มันอันตรายต่อหัวใจคนเห็นมากมายจนต้องเม้มปากกลั้นยิ้มเขินเสมองวิวแม่น้ำแทน
"คนไม่รักเขาขอแต่งงานกันด้วยเหรอคะหืม"
ปรางวรัญถามเสียงนุ่มก่อนประคองใบหน้าหวานให้หันมาสบตากันตรงๆใบหน้านวลที่ล้อแสงไฟทำให้มองเห็นเป็นสีชมพูระเรื่อนิ้วหัวแม่มือเกลี่ยไล้แก้มนุ่มเบาๆ
"ถ้าการที่เรารู้สึกเป็นห่วงใครสักคนมากๆ รู้สึกคิดถึงโหยหาบ่อยๆ อยากใช้เวลาอยู่ด้วยกันทุกวินาที อยากเห็นเขาอยู่ในสายตาตลอดเวลาอยากดูแลอยากหลับโดยที่มีคนๆนั้นในอ้อมกอดทุกค่ำคืนอยากตื่นขึ้นมาเจอหน้าคนนั้นในทุกๆเช้าถ้าความรู้สึกนี้มันเรียกว่ารัก ปรางก็คง...รักเจเข้าแล้วล่ะ"
"ปราง"
คนที่ถูกสารภาพรักด้วยความรู้สึกยิ้มออกมาด้วยความตื้นตันดีใจ หัวใจดวงน้อยเหมือนมันพองขึ้นจนรู้สึกอึดอัดแต่มันเป็นความอึดอัดที่เต็มไปด้วยความสุขที่ถูกเติมเต็ม
ร่างสูงเผยยิ้มออกมาเมื่อถูกสวมกอดจากคนร่างบางก่อนที่เธอจะกอดตอบ มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ไม่รู้หรอกรู้แต่ว่าเกือบเดือนที่ไม่เจอหน้ากันมีเพียงข้อความในแต่ละวันต่างหน้าถึงได้รู้ว่าเธอคิดถึงคนในอ้อมกอดนี้เหลือเกิน
"คราวนี้เราจะหาฤกษ์แต่งงานกันได้หรือยังคะ"
เมื่อปล่อยบรรยากาศอ่อนหวานโอบล้อมไปหลายนาทีปรางวรัญถึงได้เอ่ยถามคนที่กอดซบกันอยู่ เจติยาผละออกจากอ้อมกอดอุ่นก่อนยิ้มหวานให้คนที่ยิ้มมาสายตาสื่อความหมาย
"รอเจหน่อยนะคะ ขอเวลาให้เจเคลียร์งานก่อนถ้าแต่งกันไปเจก็อยากมีเวลาอยู่กับครอบครัวเต็มที่"
มือบางยกขึ้นลูบไล้ใบหน้าสวย รัก เธอรักคนๆนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขรักที่เริ่มจากความประทับใจ รักที่เหมือนความฝันที่ไม่คิดว่ามันจะเป็นจริงในวันนี้ได้
"แล้วนานแค่ไหนล่ะคะกว่างานเจจะว่างน่ะ?"
"เจรับงานละครไว้แล้วสามเรื่องไม่รวมเรื่องที่กำลังจะปิดกล้องเร็วๆนี้นะคะก็น่าจะปีกว่าเกือบสองปีนั่นแหล่ะ"
"โหตั้งเกือบสองปี ทำไมนานจังคะแบบนี้ขอเข้าห้องหอก่อนได้ไหม"
จอมทะเล้นทำหน้าอ้อนชวนสงสารแต่แววตาเต้นระริกกับคำพูดนี่มันทำให้คนมองสงสารไม่ลง
เพี๊ยะ มือบางตีเข้าที่แขนคนกอดด้วยหมั่นไส้
"ไม่ต้องคิดทะลึ่งเลยค่ะ ที่ให้รอก็เพื่อปรางทั้งนั้นนะเดี๋ยวมาบ่นว่าเจไม่มีเวลาให้ รับงานเขามาแล้วเจก็อยากทำให้เต็มที่เอาเป็นว่าหมดชุดนี้เจจะรับน้อยลงหรืออาจจะหยุดรับเล่นละครแล้วหันมาเปิดบริษัทเลยก็ได้"
ฟอด แก้มขวา
"น่ารักที่สุดเลยค่ะ แบบนี้ค่อยมีกำลังใจรอเข้าหอหน่อย วันนี้วันอะไรคะ"
เจติยามองคนถามแล้วอมยิ้ม
"วันอาทิตย์ค่ะ"
ฟอด แก้มซ้าย
"ไม่ถูก"
"ปรางน่ะเล่นอะไรคะ" คนโดนหอมแก้มซ้ายขวาอดขำกับคนเจ้าเล่ห์ไม่ได้
"ก็ตอบไม่ถูกใจต้องโดนทำโทษไงคะ"
"ขี้โกง ใครตั้งกติกาคะ"
"คู่หมั้นเจค่ะเป็นคนตั้ง ให้ตอบอีกรอบตอบไม่ถูกใจคราวนี้ จูบนะ"
"บ้า ปรางน่ะขี้โกงไม่ถูกตรงไหนก็วันนี้วันอาทิตย์ ที่14 กุมภาวันวาเลนไทน์"
หึๆ
"แล้ววันวาเลนไทน์ คือวันอะไรคะ"
"ก็ วันแห่งความรักไงปรางถามอะไรเนี่ยวกไปวนมา"
นางเอกสาวขมวดคิ้วให้คนที่ตั้งคำถามวกวนจนเธอเริ่มงงแล้วว่าอีกคนจะพูดอะไร
"วันแห่งความรัก แล้วบอกรักแฟนหรือยังคะ"
คราวนี้นางเอกสาวแม้จะเขินแต่ก็อดขำไม่ได้ ก่อนที่จะย้อนเอาคำพูดของคนตรงหน้ามาตอบ
"คนไม่รักเขาจะยอมแต่งงานด้วยเหรอคะ"
"หืมกวน ตอบไม่ถูกใจต้องโดนจูบ"
ใบหน้าที่ทำท่าโน้มลงมาหาให้คนรู้ทันรีบซุกใบหน้าตัวเองเข้าซบที่ไหล่คนเจ้าเล่ห์ทันทีก่อนหัวเราะคิกคัก ปรางวรัญอมยิ้มขำกดจูบเข้าที่ขมับร่างบางแล้วยกมือลูบเรือนผมนุ่มเบาๆ
"หิวหรือยังคะ"
"อืม หิวจริงๆแล้วค่ะคราวนี้"
"ความรักมันอิ่มใจแต่ไม่อิ่มท้องนี่เน๊าะ ถ้างั้นก็ไปทานอะไรดีกว่าค่ะจะได้อิ่มทั้งตัวและหัวใจ"
เจติยาหัวเราะขำ
"พูดอะไรเสี่ยวๆแบบนี้ก็เป็นเหรอคะปราง"
หึๆ
"เสี่ยวแล้วรักหรือเปล่าละคะ"
นางเอกสาวอมยิ้ม นี่จะต้อนให้เธอบอกรักให้ได้สินะ
"รักค่ะทั้งรักทั้งหวงด้วย พอใจหรือยังคะหืม"
มือบางยกขึ้นบีบแก้มขาวส่ายไปมาให้เจ้าของเผยยิ้มกว้างจนเธอต้องยิ้มตามไปด้วย
วันพิเศษสำหรับคนมีคู่ แต่สำหรับคนไร้คู่มันช่างเป็นวันที่ตอกย้ำความอ้างว้างเดียวดายดีแท้ จิณตภัทรแค่นยิ้มก่อนถอนหายใจหลังจากยืนกอดอกมองอะไรเรื่อยเปื่อยมากว่ายี่สิบนาทีแล้ว วันวาเลนไทน์ปีนี้มันทำไมถึงได้รู้สึกแย่กว่าทุกปีที่ผ่านมา อาจจะเป็นเพราะปีนี้บิดามารดาไม่อยู่ด้วยหรือเปล่าความรู้สึกเธอถึงได้เหงาหงอยขนาดนี้เพราะทุกปีที่ผ่านมาแม้ว่าพี่ชายจะไม่ได้อยู่ร่วมทานข้าวกับครอบครัว แต่เธอก็ยังมีพ่อกับแม่ฉลองความรักของครอบครัวทุกปีแต่ปีนี้ท่านทั้งสองพร้อมกับคู่เพื่อนรักพากันไปเที่ยวฉลองที่ต่างประเทศตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ส่วนพี่ชายก็คงจะไปสวีทกับคู่หมั้นอย่างทุกปี
เมื่อไม่มีใครให้ร่วมฉลองเธอเลยต้องระเห็จตัวเองมาอยู่ที่ทำงานแบบนี้ทั้งที่มันควรจะเป็นวันพักผ่อนอยู่บ้านด้วยซ้ำ เฮ้อไม่เข้าใจตัวเองไม่อยากมีใครแต่ก็เหมือนโหยหาอะไรอยู่ก็ไม่รู้ พอๆฟุ้งซ่านทำงานดีกว่า หลังจากทอดถอนหายใจทิ้งจึงเดินกลับมานั่งที่โต๊ะทำงานอีกครั้งเมื่อสมองได้มาจดจ่ออยู่กับงานความฟุ้งซ่านในหัวก็หายวับไปทันทีไม่รู้ว่านานเท่าไหร่จนเมื่อแว่วเสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น คิ้วสวยขมวดเข้าหากันก่อนจะเหลือบดูเวลาบนข้อมือ หือนี่จะสองทุ่มแล้วเหรอ
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
เสียงเคาะดังขึ้นอีกรอบให้เจ้าของห้องต้องลุกออกไปปลดล็อค ด้วยความสงสัยว่าใครหรือว่าจะมีฝ่ายไหนที่มาทำงานแล้วมีปัญหา ประตูห้องทำงานถูกเปิดออก
"พี่อัย!?"
ร่างหญิงสาวบุคคลที่เธอคิดว่าตอนนี้คงจะกำลังดินเนอร์อยู่กับพี่ชาย แล้วทำไมคนเป็นพี่ถึงมาอยู่ตรงหน้าเธอแถมดูจากการแต่งตัวก็ไม่ใช่ชุดสำหรับออกไปดินเนอร์ในคืนพิเศษด้วยอัยศิกาอยู่ในชุดทำงานเสื้อเชิ๊ตขาวระบายลูกไม้เข้ารูปกับกระโปรทรงเอสีครีมเหนือเข่าขึ้นมาเป็นคืบโชว์เรียวขาขาวสวย
"จะสำรวจพี่อีกนานไหมคะ หรือไม่มั่นใจว่าเป็นพี่"
คำพูดที่เหมือนจะล้อเลียนของคนตรงหน้าเรียกสติของคนน้องให้กลับเข้าร่างทันที
"เอ่อ คือ จิณไม่คิดว่าจะเป็นพี่อัยน่ะ นึกว่าพนักงานจะมาถามเรื่องงาน"
คนที่ทั้งตกใจแปลกใจตอบออกไปเก้อๆ
"แล้วจะยืนคุยกันอยู่ตรงนี้เหรอคะฮึ"
"อ่ะ อ่อ เข้ามาก่อนค่ะ"
อัยศิกาเดินนำคนที่ปิดประตูตามหลังเข้ามาภายในห้องทำงานของอีกคน ถ้าไม่หาเรื่องงานมาคุยน้องตัวดีก็คอยแต่จะหลบหน้าอยู่ร่ำไป
"งานเยอะเหรอคะ ทำไมยังไม่กลับบ้านอีก"
อัยศิกาหันกลับมาถามคนที่มายืนอยู่ไม่ห่าง
"ก็เยอะอยู่ค่ะ"
"แล้วนี่ทานอะไรหรือยังคะจะสองทุ่มอยู่แล้วเนี่ย"
คำถามปกติหากเป็นเมื่อก่อนเธอคงเข้าไปเกาะแขนคนพี่แล้วส่ายหน้าอ้อนว่าน้องยังไม่มีอะไรตกถึงท้องเลย แต่ตอนนี้คงทำได้แค่ส่งยิ้มแหยให้อีกคนแล้วส่ายหน้า
"จะให้พี่สั่งขึ้นมาทานนี่หรือจะไปนั่งทานกันที่ร้านคะ"
"เอ่อ แล้วคือ พี่อัยไม่ได้ไปกับพี่วัฒเหรอคะ?"
สุดท้ายความสงสัยและแปลกใจก็พาให้จิณตภัทรเอ่ยถามอย่างอดไม่ได้