ตอนที่3

3199 Words
   เมื่อเจอคำถามแบบนั้นเข้าปรางวรัญก็ส่งยิ้มแหยออกมา เธอจะตอบยังไงล่ะในเมื่อจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความรู้สึกเหมือนว่าเธอฝันไป "คือ ฉันว่าฉันฝันเห็นเอ่อ นางเอกละครน่ะ" "อือหึ แล้วยังไงคะ ในฝันคุณทำอะไรบ้าง" ร่างบางยังกอดอกถามต่อ อยากรู้จะจำอะไรได้บ้าง "เอ่อ คะ คือ" ร่างสูงตอบตะกุกตะกักเมื่อสมองเริ่มจะมีภาพลางๆของความฝันเมื่อคืนฉายเข้ามาให้นึกตาม อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนตัวของนางเอกสาวคือสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นความฝันทั้งหมดน่ะ โอ้ยตายยัยปรางแกทำอะไรลงไปเนี่ย "ถ้ายังนึกไม่ออกก็ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เพราะคุณจะโดนคุณแม่ฉันซักฟอกจนละเอียดแน่" "ห๊ะ! อะ อะไรนะ คุณแม่คุณอยู่นี่เหรอ?" "ท่านเพิ่งมาจากบ้านค่ะฉันก็ไม่คิดว่าท่านจะโผล่มาหรอก แต่ตอนนี้ท่านเห็นคุณกับฉันนอนอยู่ด้วยกันในสภาพยี่สิบห้าบวกไปแล้ว" โอยตายแน่ยัยปราง ความซวยครั้งใหญ่มาเยือนอีกแล้วเหรอนี่เรื่องเก่ายังไม่ทันเคลียร์จบก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแถมยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดด้วยซ้ำเธอข่มเหงผู้หญิงด้วยกันนี่มันบ้าบอชัดๆเลยชีวิต "คุณไปอาบก่อนเถอะฉันขอเวลาทำใจก่อน ตอนนี้ปวดหัวมากเลยคุณ" เงียบไปสักพักจึงได้เอ่ยบอกกับนางเอกคนสวยที่ยังนั่งมองกันอยู่ เจติยาพยักหน้าก่อนจะลุกลงไปจากเตียงให้คนร่างสูงได้แต่มองตามหลังอีกฝ่ายไปพลางถอนหายใจออกมาอย่างคิดไม่ตก ในเมื่อผู้ใหญ่มาเห็นคาตาแบบนี้เธอจะทำยังไง จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วหลักฐานบนตัวของอีกคนล่ะ ไหนจะภาพความฝันลางเลือนแต่มันเหมือนจริงและมันก็คงเป็นเรื่องจริงที่เธอกอดจูบเจติยาแถมยังกล้าฝากรอยรักไว้แบบนั้นอีก  สิบห้านาทีต่อมาร่างบางของนางเอกสาวออกมาจากห้องน้ำ สองสายตาสบประสานกันแต่ไร้ซึ่งคำพูด ร่างบางจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นหาอะไรกุกกักสักพักก็ถือผ้าขนหนูพร้อมเสื้อคลุมอีกตัวมายื่นให้คนที่นั่งพิงหัวเตียง "ไปอาบน้ำก่อนนะคะเดี๋ยวฉันเตรียมเสื้อผ้าให้ ฉันพอมีชั้นในที่ยังไม่ได้ใช้คุณน่าจะพอใส่ได้อยู่" "ขอบคุณนะ เอ่อคุณ ฉันขอโทษนะที่รังแกคุณแบบนั้นน่ะ" "คำขอโทษนี่คือความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่าคะ" เจติยาถามออกมาพร้อมรอยยิ้มบางถ้าหากว่าอีกคนไม่รับเธอก็ไม่ว่าหรอกเพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมายถึงขั้นนั้น ปรางวรัญมองหน้านางเอกสาวก่อนจะเอ่ยบอกออกไปในสิ่งที่คิดไตร่ตรองแล้ว "เปล่าหรอกฉันอยากขอโทษในสิ่งที่ฉันทำไป ส่วนเรื่องรับผิดชอบก็แล้วแต่คุณแล้วกันจะให้ทำยังไงก็บอกมา" คำตอบที่ได้ฟังทำให้เจติยาอดยิ้มดีใจออกมาไม่ได้ไม่คิดว่าคนเมาจะกล้าแสดงความรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองแบบนี้ "ขอบคุณนะคะแต่เอาไว้คุยกับคุณแม่ก่อนดีกว่าค่ะว่าท่านจะว่ายังไง" "อืมก็ได้ค่ะ"   เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นทำให้หญิงวัยห้าสิบกว่าหันไปมองคนที่เดินนำออกมาคือลูกสาวและตามด้วยหญิงสาวร่างสูงกว่าเจติยาเล็กน้อยเดินตามกันมา "นี่คุณแม่ฉันค่ะ คุณแม่นี่ปรางค่ะ ปรางวรัญ  พิพัฒน์บดินทร์" คำแนะนำของคนหน้าหวานทำให้ปรางวรัญถึงกับอึ้งแปลกใจที่อีกคนรู้จักชื่อนามสกุลเธอได้ยังไง แต่ก็มีมารยาทพอที่จะทำความเคารพหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาบ่งบอกถึงสายเลือดอย่างนางเอกสาวเลยล่ะ "สวัสดีค่ะคุณป้า" จรินทร์พรรับไหว้หญิงสาวหน้าตาดี หากจะเทียบกับดาราบางคนก็คงได้ "เรื่องมันอะไรยังไงกัน นี่เราสองคนคบกันอยู่เหรอทำไมถึงได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ แม่บอกตรงๆนะเจจะมีแฟนแม่ไม่ว่าแต่ลูกควรจะทำอะไรให้มันเหมาะสมกว่านี้ถึงจะไม่ใช่ผู้ชายแต่การทำแบบนี้แม่ก็มองว่ามันไม่ควร" นั่นไง ถึงมารดาเธอจะรับได้ในรสนิยมของลูกสาวแต่เรื่องรักนวลสงวนตัวละก็อย่าได้ออกนอกกรอบที่นางวางให้เชียว  "เอ่อ คือ มันยังไม่มีอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่" "ไม่มีอะไรคืออะไร แล้วไอ้รอยแดงที่คอแกมดมันกัดหรือไง แล้วทำไมต้องนอนแก้ผ้ากอดกันกลมแบบนั้นฮึ" "เอ่อ คุณป้าคะคือสิ่งที่คุณป้าเห็นปรางไม่มีอะไรแก้ตัวค่ะ ถ้าหากคุณป้าเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่เหมาะสมและทำให้เจเสียหายปรางก็พร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองค่ะ" ปรางวรัญเอ่ยขึ้นมาให้ผู้หญิงที่มีใบหน้าคล้ายเจติยาอยู่มากจะต่างกันคงจะเป็นความสูงที่คนเป็นลูกมีมากกว่า จรินทร์พรมองหน้าหญิงสาวที่กล่าวแสดงความรับผิดชอบออกมาก็ให้รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย  "หนูแน่ใจนะว่ายินยอมที่จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองน่ะ" "ค่ะ คุณป้าจะให้รับผิดชอบยังไงก็บอกมาเถอะค่ะ" "ดีมากที่กล้าทำก็กล้ารับแบบนี้น่ะ ถ้าป้าจะให้รับผิดชอบด้วยการหมั้นล่ะหนูจะว่ายังไง" "คุณแม่! เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วยซ้ำจะหมั้นได้ยังไงคะ" เจติยาถึงกับตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดากล่าวออกมา "อ้าว ไม่เป็นแฟนแต่มีอะไรกันไปแล้วแกคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไงล่ะฮึ" ปรางวรัญแอบลอบถอนหายใจ ผิดคาดนิดหน่อยเธอนึกว่าจะถูกจับแต่งงานเร็วๆนี้ด้วยซ้ำ นี่แค่หมั้นถือว่าผู้ใหญ่ยังให้โอกาสเธออยู่ "ปรางไม่มีปัญหาค่ะถ้าคุณป้าเห็นสมควรก็ตกลงตามนั้น" "คุณ นี่เรื่องใหญ่นะ หมั้นแล้วคุณจะมาถอนหมั้นกันตามอำเภอใจไม่ได้นะฉันเสียหายยิ่งกว่าตอนนี้อีกนะ" เจติยาหันไปบอกคนข้างๆที่จู่ๆก็เออออห่อหมกไปกับมารดาเธอง่ายๆซะอย่างนั้น ถ้าจะรับผิดชอบกันก็แค่ลองคบหาดูใจกันไปก่อนก็ได้ นี่หมั้นกันแบบนี้มันจะบีบบังคับอีกคนเกินไปหรือเปล่า  "นี่คุณ ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกน่า คุณก็ทำตัวเป็นคู่หมั้นที่ดีว่าที่ภรรยาที่ดีฉันจะไปถอนหมั้นคุณทำไมเล่า" คำพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมถึงสถานะที่กำลังจะมาถึงทำเอานางเอกสาวถึงกับใบหน้าขึ้นสีด้วยความอาย คนบ้าแฟนก็ยังไม่ได้เป็นอีกคนก็พูดไปถึงตำแหน่งภรรยาแล้ว จรินทร์พรที่แอบชอบใจกับคำพูดคำจาของสาวสวยรุ่นลูกก็พยายามตีหน้านิ่งทั้งที่อยากจะหัวเราะขำออกมา ยัยเจเอ้ย อย่าคิดว่าแม่จะดูไม่ออกเลี้ยงมาจนโตป่านนี้ถ้าไม่มีใจให้อีกฝ่ายมีหรือจะยอมให้เขามานอนกอดซบขนาดนั้นน่ะ แล้วนี่รู้จักกระทั่งชื่อนามสกุลเขาแบบนี้คงหนีไม่พ้นคนที่ให้รถเขาไปใช้แน่ๆ จะว่าไปปรางวรัญก็หน้าเหมือนใครสักคนแต่นึกไม่ออก รูปหน้าเรียวปากแบบนี้คลับคล้ายคลับคลาใครที่เธอเคยเห็น "เอาล่ะๆ สรุปแล้วถ้าหนูไม่มีปัญหา ป้าจะให้หมั้นกันไปก่อนคราวนี้ก็เรียนรู้เรียนรักกันไปเพราะไหนๆก็เล่นผูกกันไปก่อนแล้วนี่ ว่าแต่เราเถอะ จะบอกพ่อแม่ยังไงจู่ๆจะมีคู่หมั้นเนี่ยเรื่องนี้ป้าต้องให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายนะไม่ใช่จะมาทำกันเล่นๆ" จรินทร์พรหันมาพูดกับว่าที่เขยคนสวยที่ออกจะถูกใจเธออยู่ไม่น้อย "เรื่องนี้ปรางจะเรียนคุณพ่อคุณแม่ตามจริงค่ะ ส่วนเรื่องหมั้นเดี๋ยวปรางจะให้ท่านไปสู่ขออย่างเป็นทางการก่อนจากนั้นก็แล้วแต่ทางคุณป้าจะกำหนดวันมาค่ะ" "อืม ขอบใจนะที่กล้าแสดงความรับผิดชอบกับลูกสาวป้าแบบนี้น่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูพร้อมวันไหนก็ให้พาผู้ใหญ่เข้าไปคุยก็แล้วกันนะแต่ไม่ใช่ปล่อยเวลาไปเรื่อยตามใจตัวเองล่ะ" "ค่ะ ปรางจะรีบเรียนท่านให้จัดการเรื่องนี้เร็วที่สุดค่ะคุณป้าไม่ต้องห่วง ปรางก็ไม่อยากปล่อยว่าที่ภรรยาให้ใครมาจ้องตะครุบเหมือนกันแหล่ะค่ะ" หึๆเสียงหัวเราะในคอของมารดาและไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆทำให้คนที่แทบจะไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรสักอย่างแต่ต้องมานั่งอายหน้าแดงอยู่ตอนนี้ คำก็คู่หมั้นสองคำก็ว่าที่ภรรยาพูดออกมาเต็มปากเต็มคำไม่คิดว่าเธอจะอายบ้างหรือไงแล้วยิ่งสายตาเหมือนรู้ทันแกมล้อเลียนของมารดาที่จ้องมานั่นอีก อายจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้วเจติยา     หลังจากที่มารดากลับไปแล้วทั้งสองสาวที่คนหนึ่งยังมีอาการขัดเขินให้เห็น ส่วนอีกคนที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่นี่คืออะไรผีเข้าหรือยังไง "ผีเข้าหรือไงคะนั่งยิ้มอยู่ได้น่ะ" เจติยาอดหมั่นไส้ไม่ได้ถึงได้เอ่ยเหน็บออกไป หึๆ "อืมสงสัยผีตัวเมื่อคืนจะกลับเข้าร่างอีกมั้ง" ปรางวรัญตอบออกไปขำๆ ก็ตอนนี้ภาพในความฝันเมื่อคืนมันฉายชัดทั้งคำพูดและการกระทำของตัวเองขึ้นมาเหมือนจอฉายเลยนะสิ ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรแบบนั้นไปได้ยังไงอยากเป็นเหมือนภาคินพระเอกในละครหึๆ ทำไปได้นะยัยปราง "ถามจริงเถอะคุณคิดยังไงถึงได้เออออไปกับคุณแม่แบบนั้นน่ะ" ร่างบางเอ่ยถามสีหน้าจริงจังให้คนร่างสูงเผยยิ้มบางออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่จู่ๆตัวเองก็ถูกจับหมั้นกับคนที่แทบจะเรียกว่าแปลกหน้าด้วยซ้ำ ถึงเธอจะเป็นดาราที่คนทั้งประเทศรู้จักก็ตามเถอะถ้าเป็นความสนิทส่วนตัวก็เรียกว่าไม่รู้จักกันเลย "ก็เมื่อคืนบอกว่าจะรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบตามนั้นแหล่ะ" คำตอบง่ายๆแต่มันทำให้คนฟังถึงกับใจเต้นรัวและใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าอีกคนจำเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว ปรางวรัญอมยิ้มมองคนที่ใบหน้าแดงเรื่อไปยันลำคอขาวเธอชักจะชอบแล้วสิ เวลาที่เห็นอาการขัดเขินของนางเอกสาวคนดัง "คุณ ฉันหิว" เจติยาหันมามองคนที่ทำหน้าเหมือนหมาน้อยต้องการอาหารก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นไปดูที่โต๊ะทานข้าวซึ่งเห็นว่ามีปิ่นโตเถาใหญ่วางอยู่ "คุณแม่เอาอาหารมาจากที่บ้านน่ะเดี๋ยวฉันอุ่นก่อนคุณรอแป๊ปนึงนะ" ปรางวรัญพยักหน้ารับรู้ปล่อยให้ร่างบางจัดเตรียมกับอาหารมื้อแรกของวันที่อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงอยู่แล้ว นั่งดูรายการทีวีไปไม่นานเสียงหวานก็เรียกเธอเมื่ออาหารทุกอย่างพร้อมบนโต๊ะแล้ว "สรุปเมื่อคืนคุณแพ้พนันฉันนะ" เจติยาเอ่ยถึงต้นเหตุของความเมาเมื่อคืนให้คนที่กำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆชะงักมองหน้าเธอสักพักก็ยอมพยักหน้ารับ "อืม เรื่องค่าซ่อม50%ฉันจ่ายได้แต่เรื่องที่ต้องเป็นเบ้รับใช้คุณหนึ่งเดือนนี่ฉันไม่ได้มีเวลาว่างตามไปรับใช้คุณขนาดนั้นหรอกนะ" ปรางวรัญบอกกับอีกคนตรงๆเธอต้องทำงานและตำแหน่งรองประธานบริษัทก็ใช่ว่าจะเอาเวลาไปทำเรื่องส่วนตัวได้ ลำพังจะได้หยุดพักนี่ก็ลำบากอยู่แล้วดีที่ว่าช่วงนี้เพิ่งปิดงบไตรมาสที่สามไปเลยพอมีเวลาได้หายใจบ้าง "หนึ่งเดือนคือสามสิบวัน วันไหนที่คุณให้เวลากับฉันได้ก็นับไปจนกว่าจะครบสามสิบวันแค่นั้นเองค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างเท่าไหร่หรอก" นางเอกสาวกล่าวออกมายิ้มๆ ที่ได้เอาคืนอีกคนเดี๋ยวจะใช้ให้คุ้มเลยโทษฐานที่เมาแล้วยังหื่นมาลวนลามเธออีก "เหอะ แบบนั้นคงได้รับใช้คุณทั้งปีแหล่ะเพราะฉันงานยุ่งลำพังเวลาจะได้หยุดพักก็ยังยากอยู่" "ฉันไม่ได้ซีเรื่องเวลาหรอกค่ะ เพราะยังไงในฐานะคู่หมั้นคุณต้องดูแลฉันอยู่แล้ว อย่าคิดว่าหมั้นแล้วจะมาทิ้งๆขว้างๆไม่ดูดำดูดีกันนะฉันไม่ยอม" "ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยไหมล่ะถ้าจะให้ดูแลขนาดนั้นน่ะ" ปรางวรัญย้อนกลับทันควันเช่นกัน เจติยาชะงักไปก่อนที่มุมปากสวยจะถูกยกยิ้มขึ้นมา "ก็ดีนะคะ คุณจะได้อยู่ในสายตาฉันนอกจากเวลาทำงานน่ะ" "เอาจริงเหรอคุณ" ปรางวรัญย้ำถาม "ทำไมคะ หรือคุณมีใครแอบซ่อนไว้หรือไง" น้ำเสียงบอกความหงุดหงิดและสายตาจับผิดทำให้ปรางวรัญหลุดขำออกมา เออเน๊าะนี่ขนาดว่ายังไม่ทันหมั้นเป็นทางการเธอก็โดนอีกคนจ้องจับผิดกันซะแล้วถ้าหากเธอมีจริงๆอยากรู้อีกคนจะทำยังไง "ฉันก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่นะคุณ มันก็ต้องมีคนรักคนชอบบ้างแหล่ะนี่อยู่ดีๆฉันก็มีคู่หมั้นขึ้นมายังไม่รู้จะไปอธิบายกับเขายังไงนะเนี่ย" คำพูดและท่าทางเหมือนหนักใจของคนตรงหน้าก็เล่นเอาคนฟังหัวใจวูบไหวรู้สึกแปล๊บในใจขึ้นมาเฉยๆ นี่ปรางวรัญมีคนที่คบหาอยู่แล้วสินะ แล้วทำไมถึงยอมหมั้นกับเธอง่ายๆ  "ถ้าคุณมีคนรักอยู่แล้วคุณไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องของฉันขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันจะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากความเมาก็แล้วกัน" เจติยาบอกพร้อมรวบช้อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม รู้สึกตื้อจนกินต่อไม่ลงแล้วตอนนี้  "อิ่มแล้วเหรอคุณเพิ่งทานไปไม่กี่คำเอง" คนต้นเหตุรีบคว้ามือบางไว้เมื่อนางเอกคนสวยที่จู่ๆก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายคล้ายว่ากำลังน้อยใจหรือผิดหวังอย่างนั้นล่ะเพียงแค่เธอบอกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว "คุณทานต่อเถอะฉันอิ่มแล้ว" เจติยาบอกก่อนจะบิดมือออกจากมือเรียวที่ดึงรั้งกันไว้ ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่หรอกไอ้อาการเจ็บแปล๊บทันทีที่รับรู้ว่าอีกคนเหมือนมีใครอยู่แล้วนี่มันคืออะไร ผิดหวัง เสียใจ เสียดาย น้อยใจหรือหวงกันแน่ "เจ  นั่งลงค่ะจะทานต่อเองหรือต้องให้ป้อน" เจติยาถึงกับปรี๊ดขึ้นมาเมื่อเจอน้ำเสียงและสายตาเชิงบังคับกลายๆนั่น อย่ามาวางอำนาจใส่เธอแบบนี้นะ คนที่อารมณ์เริ่มไม่ปกติก็ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายทันที "นี่คุณจะมาบังคับฉันทำไม ฉันบอกว่าอิ่มแล้วคุณก็กินต่อไปสิ" อุ๊ย! ด้วยไม่ทันตั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายดึงแรงจนเธอถลาไปนั่งแหมะบนตักอีกคนพอดิบพอดี "จะอิ่มได้ยังไงกินไปไม่ถึงสิบคำด้วยซ้ำฮึ เป็นอะไรคะ หึงเหรอ" แขนเรียวที่กอดกระชับเอวบางไว้แน่นพร้อมคำพูดที่ข้างหูทำเอาคนอารมณ์แปรปรวนถึงกับนิ่งค้างไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จมูกโด่งกดเข้าที่แก้มตัวเองนั่นแหล่ะ "ปรางแค่พูดเล่นเอง ไม่ต้องหึงแรงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ กินต่อนะเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก" น้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยออกมาเรียกสติคนที่นิ่งอึ้งไปเมื่อครู่ให้รู้สึกตัว และสิ่งที่ตามมาคือหัวใจที่เต้นแรงขึ้นและใบหน้าที่ร้อนผ่าวตามมา ปรางวรัญอมยิ้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนบนตักแก้มนวลและใบหูขาวที่ตอนนี้แดงเรื่อจนออกสีชมพูเข้มนั่นน่ากัดเม้มจริงๆ "ว่าไงคะ จะทานเองหรือจะให้ป้อน ถ้าป้อนปรางไม่ใช้ช้อนนะ" คนขี้แกล้งยังคงพูดแหย่ต่อให้ร่างบางบนตักขยับฮึดฮัด "ก็ปล่อยสิ กอดแบบนี้ใครจะไปกินได้ล่ะ" น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดน้อยๆทำให้คนฟังยิ่งอยากแกล้งเข้าไปอีก "พูดดีๆก่อนค่ะไม่งั้นก็จะกอดอยู่แบบนี้ล่ะปรางชักจะอิ่มแล้วเหมือนกันอยากกินของหวานต่อแล้วน่ะ" คำพูดแฝงเลศนัยที่เอ่ยอยู่ข้างหูทำให้นางเอกสาวหันขวับมามองทันที รอยยิ้มกริ่มและแววตาเต้นระริกกลั้นขำนี่มันน่าเอานิ้วจิ้มให้บอดจริงๆ "ปรางปล่อยเจก่อนนะคะ นั่งแบบนี้ใครจะกินได้ถนัดล่ะ" เจติยายอมเอ่ยออกไปเสียงหวาน ฝากไว้ก่อนเถอะเดี๋ยวถึงเวลาเธอจะเอาคืนบ้างนางเอกสาวคิดในใจอย่างหมั่นไส้ไม่คิดว่าอีกคนจะขี้แกล้งแบบนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์ของเธอตีรวนไปด้วยนี่สิ เมื่อคนชอบแกล้งยอมปล่อยดีๆร่างบางจึงได้ลุกขึ้นจากตักอุ่น แต่ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งเก้าอี้ฝั่งตัวเองมือบางก็ยื่นไปบิดเนื้อบริเวณเอวอีกฝ่ายอย่างแรง "โอ๊ยย! เจ เจ็บๆ" ปรางวรัญร้องเสียงหลงเมื่อเนื้ออ่อนช่วงเอวถูกอีกคนบิดอย่างแรงจนต้องรีบกุมมือบางนั่นไว้ "สมน้ำหน้า อยากแกล้งกันดีนัก" เจติยาส่งยิ้มสะใจให้คนที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ "หือ แดงช้ำเลยคุณ เป็นซาดิสม์หรือไงเนี่ย" "ไม่ต้องมาบ่นเลยค่ะทีคุณทำกับเจล่ะเห็นไหมหลักฐานโชว์บนคอเนี่ยน่ะ" "โหจะเอาคืนก็ใช้วิธีเดียวกันสิคุณ นั่นปรางใช้ปากนะไม่ได้ใช้มือสักหน่อย คนอะไรมือหนักชะมัดบิดมาได้เจ็บนะเนี่ย" ปรางวรัญบ่นให้อีกฝ่ายแต่คนที่เอาคืนเมื่อกี้ต้องใบหน้าขึ้นสีอีกระลอก เมื่อคำพูดยอกย้อนให้นึกไปถึงการสร้างรอยบนตัวเธอขึ้นมา
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD