เมื่อเจอคำถามแบบนั้นเข้าปรางวรัญก็ส่งยิ้มแหยออกมา เธอจะตอบยังไงล่ะในเมื่อจำอะไรไม่ได้เลยนอกจากความรู้สึกเหมือนว่าเธอฝันไป
"คือ ฉันว่าฉันฝันเห็นเอ่อ นางเอกละครน่ะ"
"อือหึ แล้วยังไงคะ ในฝันคุณทำอะไรบ้าง"
ร่างบางยังกอดอกถามต่อ อยากรู้จะจำอะไรได้บ้าง
"เอ่อ คะ คือ" ร่างสูงตอบตะกุกตะกักเมื่อสมองเริ่มจะมีภาพลางๆของความฝันเมื่อคืนฉายเข้ามาให้นึกตาม อย่าบอกนะว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนตัวของนางเอกสาวคือสิ่งที่เธอคิดว่าเป็นความฝันทั้งหมดน่ะ โอ้ยตายยัยปรางแกทำอะไรลงไปเนี่ย
"ถ้ายังนึกไม่ออกก็ไปอาบน้ำก่อนเถอะค่ะ เพราะคุณจะโดนคุณแม่ฉันซักฟอกจนละเอียดแน่"
"ห๊ะ! อะ อะไรนะ คุณแม่คุณอยู่นี่เหรอ?"
"ท่านเพิ่งมาจากบ้านค่ะฉันก็ไม่คิดว่าท่านจะโผล่มาหรอก แต่ตอนนี้ท่านเห็นคุณกับฉันนอนอยู่ด้วยกันในสภาพยี่สิบห้าบวกไปแล้ว"
โอยตายแน่ยัยปราง ความซวยครั้งใหญ่มาเยือนอีกแล้วเหรอนี่เรื่องเก่ายังไม่ทันเคลียร์จบก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแถมยังเป็นเรื่องที่ไม่เคยคิดด้วยซ้ำเธอข่มเหงผู้หญิงด้วยกันนี่มันบ้าบอชัดๆเลยชีวิต
"คุณไปอาบก่อนเถอะฉันขอเวลาทำใจก่อน ตอนนี้ปวดหัวมากเลยคุณ"
เงียบไปสักพักจึงได้เอ่ยบอกกับนางเอกคนสวยที่ยังนั่งมองกันอยู่ เจติยาพยักหน้าก่อนจะลุกลงไปจากเตียงให้คนร่างสูงได้แต่มองตามหลังอีกฝ่ายไปพลางถอนหายใจออกมาอย่างคิดไม่ตก ในเมื่อผู้ใหญ่มาเห็นคาตาแบบนี้เธอจะทำยังไง จะบอกว่าไม่มีอะไรแล้วหลักฐานบนตัวของอีกคนล่ะ ไหนจะภาพความฝันลางเลือนแต่มันเหมือนจริงและมันก็คงเป็นเรื่องจริงที่เธอกอดจูบเจติยาแถมยังกล้าฝากรอยรักไว้แบบนั้นอีก
สิบห้านาทีต่อมาร่างบางของนางเอกสาวออกมาจากห้องน้ำ สองสายตาสบประสานกันแต่ไร้ซึ่งคำพูด ร่างบางจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้าค้นหาอะไรกุกกักสักพักก็ถือผ้าขนหนูพร้อมเสื้อคลุมอีกตัวมายื่นให้คนที่นั่งพิงหัวเตียง
"ไปอาบน้ำก่อนนะคะเดี๋ยวฉันเตรียมเสื้อผ้าให้ ฉันพอมีชั้นในที่ยังไม่ได้ใช้คุณน่าจะพอใส่ได้อยู่"
"ขอบคุณนะ เอ่อคุณ ฉันขอโทษนะที่รังแกคุณแบบนั้นน่ะ"
"คำขอโทษนี่คือความรับผิดชอบด้วยหรือเปล่าคะ"
เจติยาถามออกมาพร้อมรอยยิ้มบางถ้าหากว่าอีกคนไม่รับเธอก็ไม่ว่าหรอกเพราะมันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากมายถึงขั้นนั้น
ปรางวรัญมองหน้านางเอกสาวก่อนจะเอ่ยบอกออกไปในสิ่งที่คิดไตร่ตรองแล้ว
"เปล่าหรอกฉันอยากขอโทษในสิ่งที่ฉันทำไป ส่วนเรื่องรับผิดชอบก็แล้วแต่คุณแล้วกันจะให้ทำยังไงก็บอกมา"
คำตอบที่ได้ฟังทำให้เจติยาอดยิ้มดีใจออกมาไม่ได้ไม่คิดว่าคนเมาจะกล้าแสดงความรับผิดชอบในการกระทำของตัวเองแบบนี้
"ขอบคุณนะคะแต่เอาไว้คุยกับคุณแม่ก่อนดีกว่าค่ะว่าท่านจะว่ายังไง"
"อืมก็ได้ค่ะ"
เสียงเปิดประตูห้องนอนดังขึ้นทำให้หญิงวัยห้าสิบกว่าหันไปมองคนที่เดินนำออกมาคือลูกสาวและตามด้วยหญิงสาวร่างสูงกว่าเจติยาเล็กน้อยเดินตามกันมา
"นี่คุณแม่ฉันค่ะ คุณแม่นี่ปรางค่ะ ปรางวรัญ พิพัฒน์บดินทร์"
คำแนะนำของคนหน้าหวานทำให้ปรางวรัญถึงกับอึ้งแปลกใจที่อีกคนรู้จักชื่อนามสกุลเธอได้ยังไง แต่ก็มีมารยาทพอที่จะทำความเคารพหญิงวัยกลางคนที่หน้าตาบ่งบอกถึงสายเลือดอย่างนางเอกสาวเลยล่ะ
"สวัสดีค่ะคุณป้า"
จรินทร์พรรับไหว้หญิงสาวหน้าตาดี หากจะเทียบกับดาราบางคนก็คงได้
"เรื่องมันอะไรยังไงกัน นี่เราสองคนคบกันอยู่เหรอทำไมถึงได้มาอยู่ด้วยกันแบบนี้ แม่บอกตรงๆนะเจจะมีแฟนแม่ไม่ว่าแต่ลูกควรจะทำอะไรให้มันเหมาะสมกว่านี้ถึงจะไม่ใช่ผู้ชายแต่การทำแบบนี้แม่ก็มองว่ามันไม่ควร"
นั่นไง ถึงมารดาเธอจะรับได้ในรสนิยมของลูกสาวแต่เรื่องรักนวลสงวนตัวละก็อย่าได้ออกนอกกรอบที่นางวางให้เชียว
"เอ่อ คือ มันยังไม่มีอะไรขนาดนั้นหรอกค่ะคุณแม่"
"ไม่มีอะไรคืออะไร แล้วไอ้รอยแดงที่คอแกมดมันกัดหรือไง แล้วทำไมต้องนอนแก้ผ้ากอดกันกลมแบบนั้นฮึ"
"เอ่อ คุณป้าคะคือสิ่งที่คุณป้าเห็นปรางไม่มีอะไรแก้ตัวค่ะ ถ้าหากคุณป้าเห็นว่าเรื่องนี้มันไม่เหมาะสมและทำให้เจเสียหายปรางก็พร้อมจะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองค่ะ"
ปรางวรัญเอ่ยขึ้นมาให้ผู้หญิงที่มีใบหน้าคล้ายเจติยาอยู่มากจะต่างกันคงจะเป็นความสูงที่คนเป็นลูกมีมากกว่า
จรินทร์พรมองหน้าหญิงสาวที่กล่าวแสดงความรับผิดชอบออกมาก็ให้รู้สึกพอใจอยู่ไม่น้อย
"หนูแน่ใจนะว่ายินยอมที่จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเองน่ะ"
"ค่ะ คุณป้าจะให้รับผิดชอบยังไงก็บอกมาเถอะค่ะ"
"ดีมากที่กล้าทำก็กล้ารับแบบนี้น่ะ ถ้าป้าจะให้รับผิดชอบด้วยการหมั้นล่ะหนูจะว่ายังไง"
"คุณแม่! เรายังไม่ได้เป็นแฟนกันด้วยซ้ำจะหมั้นได้ยังไงคะ"
เจติยาถึงกับตกใจเมื่อได้ยินสิ่งที่มารดากล่าวออกมา
"อ้าว ไม่เป็นแฟนแต่มีอะไรกันไปแล้วแกคิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาหรือไงล่ะฮึ"
ปรางวรัญแอบลอบถอนหายใจ ผิดคาดนิดหน่อยเธอนึกว่าจะถูกจับแต่งงานเร็วๆนี้ด้วยซ้ำ นี่แค่หมั้นถือว่าผู้ใหญ่ยังให้โอกาสเธออยู่
"ปรางไม่มีปัญหาค่ะถ้าคุณป้าเห็นสมควรก็ตกลงตามนั้น"
"คุณ นี่เรื่องใหญ่นะ หมั้นแล้วคุณจะมาถอนหมั้นกันตามอำเภอใจไม่ได้นะฉันเสียหายยิ่งกว่าตอนนี้อีกนะ"
เจติยาหันไปบอกคนข้างๆที่จู่ๆก็เออออห่อหมกไปกับมารดาเธอง่ายๆซะอย่างนั้น ถ้าจะรับผิดชอบกันก็แค่ลองคบหาดูใจกันไปก่อนก็ได้ นี่หมั้นกันแบบนี้มันจะบีบบังคับอีกคนเกินไปหรือเปล่า
"นี่คุณ ฉันไม่ได้เลวขนาดนั้นหรอกน่า คุณก็ทำตัวเป็นคู่หมั้นที่ดีว่าที่ภรรยาที่ดีฉันจะไปถอนหมั้นคุณทำไมเล่า"
คำพูดตรงๆไม่อ้อมค้อมถึงสถานะที่กำลังจะมาถึงทำเอานางเอกสาวถึงกับใบหน้าขึ้นสีด้วยความอาย คนบ้าแฟนก็ยังไม่ได้เป็นอีกคนก็พูดไปถึงตำแหน่งภรรยาแล้ว
จรินทร์พรที่แอบชอบใจกับคำพูดคำจาของสาวสวยรุ่นลูกก็พยายามตีหน้านิ่งทั้งที่อยากจะหัวเราะขำออกมา ยัยเจเอ้ย อย่าคิดว่าแม่จะดูไม่ออกเลี้ยงมาจนโตป่านนี้ถ้าไม่มีใจให้อีกฝ่ายมีหรือจะยอมให้เขามานอนกอดซบขนาดนั้นน่ะ แล้วนี่รู้จักกระทั่งชื่อนามสกุลเขาแบบนี้คงหนีไม่พ้นคนที่ให้รถเขาไปใช้แน่ๆ จะว่าไปปรางวรัญก็หน้าเหมือนใครสักคนแต่นึกไม่ออก รูปหน้าเรียวปากแบบนี้คลับคล้ายคลับคลาใครที่เธอเคยเห็น
"เอาล่ะๆ สรุปแล้วถ้าหนูไม่มีปัญหา ป้าจะให้หมั้นกันไปก่อนคราวนี้ก็เรียนรู้เรียนรักกันไปเพราะไหนๆก็เล่นผูกกันไปก่อนแล้วนี่ ว่าแต่เราเถอะ จะบอกพ่อแม่ยังไงจู่ๆจะมีคู่หมั้นเนี่ยเรื่องนี้ป้าต้องให้ผู้ใหญ่รับรู้ทั้งสองฝ่ายนะไม่ใช่จะมาทำกันเล่นๆ"
จรินทร์พรหันมาพูดกับว่าที่เขยคนสวยที่ออกจะถูกใจเธออยู่ไม่น้อย
"เรื่องนี้ปรางจะเรียนคุณพ่อคุณแม่ตามจริงค่ะ ส่วนเรื่องหมั้นเดี๋ยวปรางจะให้ท่านไปสู่ขออย่างเป็นทางการก่อนจากนั้นก็แล้วแต่ทางคุณป้าจะกำหนดวันมาค่ะ"
"อืม ขอบใจนะที่กล้าแสดงความรับผิดชอบกับลูกสาวป้าแบบนี้น่ะ ถ้าอย่างนั้นหนูพร้อมวันไหนก็ให้พาผู้ใหญ่เข้าไปคุยก็แล้วกันนะแต่ไม่ใช่ปล่อยเวลาไปเรื่อยตามใจตัวเองล่ะ"
"ค่ะ ปรางจะรีบเรียนท่านให้จัดการเรื่องนี้เร็วที่สุดค่ะคุณป้าไม่ต้องห่วง ปรางก็ไม่อยากปล่อยว่าที่ภรรยาให้ใครมาจ้องตะครุบเหมือนกันแหล่ะค่ะ"
หึๆเสียงหัวเราะในคอของมารดาและไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของคนข้างๆทำให้คนที่แทบจะไม่ได้ออกความคิดเห็นอะไรสักอย่างแต่ต้องมานั่งอายหน้าแดงอยู่ตอนนี้ คำก็คู่หมั้นสองคำก็ว่าที่ภรรยาพูดออกมาเต็มปากเต็มคำไม่คิดว่าเธอจะอายบ้างหรือไงแล้วยิ่งสายตาเหมือนรู้ทันแกมล้อเลียนของมารดาที่จ้องมานั่นอีก อายจนไม่รู้จะทำหน้ายังไงแล้วเจติยา
หลังจากที่มารดากลับไปแล้วทั้งสองสาวที่คนหนึ่งยังมีอาการขัดเขินให้เห็น ส่วนอีกคนที่นั่งยิ้มกรุ้มกริ่มอยู่นี่คืออะไรผีเข้าหรือยังไง
"ผีเข้าหรือไงคะนั่งยิ้มอยู่ได้น่ะ"
เจติยาอดหมั่นไส้ไม่ได้ถึงได้เอ่ยเหน็บออกไป
หึๆ
"อืมสงสัยผีตัวเมื่อคืนจะกลับเข้าร่างอีกมั้ง"
ปรางวรัญตอบออกไปขำๆ ก็ตอนนี้ภาพในความฝันเมื่อคืนมันฉายชัดทั้งคำพูดและการกระทำของตัวเองขึ้นมาเหมือนจอฉายเลยนะสิ ไม่รู้ว่าตนเองทำอะไรแบบนั้นไปได้ยังไงอยากเป็นเหมือนภาคินพระเอกในละครหึๆ ทำไปได้นะยัยปราง
"ถามจริงเถอะคุณคิดยังไงถึงได้เออออไปกับคุณแม่แบบนั้นน่ะ"
ร่างบางเอ่ยถามสีหน้าจริงจังให้คนร่างสูงเผยยิ้มบางออกมาเหมือนไม่ทุกข์ร้อนอะไรกับการที่จู่ๆตัวเองก็ถูกจับหมั้นกับคนที่แทบจะเรียกว่าแปลกหน้าด้วยซ้ำ ถึงเธอจะเป็นดาราที่คนทั้งประเทศรู้จักก็ตามเถอะถ้าเป็นความสนิทส่วนตัวก็เรียกว่าไม่รู้จักกันเลย
"ก็เมื่อคืนบอกว่าจะรับผิดชอบก็ต้องรับผิดชอบตามนั้นแหล่ะ"
คำตอบง่ายๆแต่มันทำให้คนฟังถึงกับใจเต้นรัวและใบหน้าก็ร้อนผ่าวขึ้นมาอีกแล้ว นี่อย่าบอกนะว่าอีกคนจำเรื่องเมื่อคืนได้แล้ว
ปรางวรัญอมยิ้มมองคนที่ใบหน้าแดงเรื่อไปยันลำคอขาวเธอชักจะชอบแล้วสิ เวลาที่เห็นอาการขัดเขินของนางเอกสาวคนดัง
"คุณ ฉันหิว"
เจติยาหันมามองคนที่ทำหน้าเหมือนหมาน้อยต้องการอาหารก็อดที่จะขำออกมาไม่ได้ ก่อนจะลุกขึ้นไปดูที่โต๊ะทานข้าวซึ่งเห็นว่ามีปิ่นโตเถาใหญ่วางอยู่
"คุณแม่เอาอาหารมาจากที่บ้านน่ะเดี๋ยวฉันอุ่นก่อนคุณรอแป๊ปนึงนะ"
ปรางวรัญพยักหน้ารับรู้ปล่อยให้ร่างบางจัดเตรียมกับอาหารมื้อแรกของวันที่อีกไม่กี่นาทีก็จะเที่ยงอยู่แล้ว นั่งดูรายการทีวีไปไม่นานเสียงหวานก็เรียกเธอเมื่ออาหารทุกอย่างพร้อมบนโต๊ะแล้ว
"สรุปเมื่อคืนคุณแพ้พนันฉันนะ"
เจติยาเอ่ยถึงต้นเหตุของความเมาเมื่อคืนให้คนที่กำลังเคี้ยวอาหารตุ้ยๆชะงักมองหน้าเธอสักพักก็ยอมพยักหน้ารับ
"อืม เรื่องค่าซ่อม50%ฉันจ่ายได้แต่เรื่องที่ต้องเป็นเบ้รับใช้คุณหนึ่งเดือนนี่ฉันไม่ได้มีเวลาว่างตามไปรับใช้คุณขนาดนั้นหรอกนะ"
ปรางวรัญบอกกับอีกคนตรงๆเธอต้องทำงานและตำแหน่งรองประธานบริษัทก็ใช่ว่าจะเอาเวลาไปทำเรื่องส่วนตัวได้ ลำพังจะได้หยุดพักนี่ก็ลำบากอยู่แล้วดีที่ว่าช่วงนี้เพิ่งปิดงบไตรมาสที่สามไปเลยพอมีเวลาได้หายใจบ้าง
"หนึ่งเดือนคือสามสิบวัน วันไหนที่คุณให้เวลากับฉันได้ก็นับไปจนกว่าจะครบสามสิบวันแค่นั้นเองค่ะ ฉันเองก็ไม่ได้มีเวลาว่างเท่าไหร่หรอก"
นางเอกสาวกล่าวออกมายิ้มๆ ที่ได้เอาคืนอีกคนเดี๋ยวจะใช้ให้คุ้มเลยโทษฐานที่เมาแล้วยังหื่นมาลวนลามเธออีก
"เหอะ แบบนั้นคงได้รับใช้คุณทั้งปีแหล่ะเพราะฉันงานยุ่งลำพังเวลาจะได้หยุดพักก็ยังยากอยู่"
"ฉันไม่ได้ซีเรื่องเวลาหรอกค่ะ เพราะยังไงในฐานะคู่หมั้นคุณต้องดูแลฉันอยู่แล้ว อย่าคิดว่าหมั้นแล้วจะมาทิ้งๆขว้างๆไม่ดูดำดูดีกันนะฉันไม่ยอม"
"ย้ายมาอยู่ด้วยกันเลยไหมล่ะถ้าจะให้ดูแลขนาดนั้นน่ะ"
ปรางวรัญย้อนกลับทันควันเช่นกัน เจติยาชะงักไปก่อนที่มุมปากสวยจะถูกยกยิ้มขึ้นมา
"ก็ดีนะคะ คุณจะได้อยู่ในสายตาฉันนอกจากเวลาทำงานน่ะ"
"เอาจริงเหรอคุณ"
ปรางวรัญย้ำถาม
"ทำไมคะ หรือคุณมีใครแอบซ่อนไว้หรือไง"
น้ำเสียงบอกความหงุดหงิดและสายตาจับผิดทำให้ปรางวรัญหลุดขำออกมา เออเน๊าะนี่ขนาดว่ายังไม่ทันหมั้นเป็นทางการเธอก็โดนอีกคนจ้องจับผิดกันซะแล้วถ้าหากเธอมีจริงๆอยากรู้อีกคนจะทำยังไง
"ฉันก็ใช่ว่าจะขี้ริ้วขี้เหร่นะคุณ มันก็ต้องมีคนรักคนชอบบ้างแหล่ะนี่อยู่ดีๆฉันก็มีคู่หมั้นขึ้นมายังไม่รู้จะไปอธิบายกับเขายังไงนะเนี่ย"
คำพูดและท่าทางเหมือนหนักใจของคนตรงหน้าก็เล่นเอาคนฟังหัวใจวูบไหวรู้สึกแปล๊บในใจขึ้นมาเฉยๆ นี่ปรางวรัญมีคนที่คบหาอยู่แล้วสินะ แล้วทำไมถึงยอมหมั้นกับเธอง่ายๆ
"ถ้าคุณมีคนรักอยู่แล้วคุณไม่จำเป็นต้องมารับผิดชอบเรื่องของฉันขนาดนี้ก็ได้นะ ฉันจะคิดว่ามันเป็นอุบัติเหตุจากความเมาก็แล้วกัน"
เจติยาบอกพร้อมรวบช้อนยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม รู้สึกตื้อจนกินต่อไม่ลงแล้วตอนนี้
"อิ่มแล้วเหรอคุณเพิ่งทานไปไม่กี่คำเอง"
คนต้นเหตุรีบคว้ามือบางไว้เมื่อนางเอกคนสวยที่จู่ๆก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ ถ้าไม่เข้าข้างตัวเองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายคล้ายว่ากำลังน้อยใจหรือผิดหวังอย่างนั้นล่ะเพียงแค่เธอบอกมีคนที่ชอบอยู่แล้ว
"คุณทานต่อเถอะฉันอิ่มแล้ว"
เจติยาบอกก่อนจะบิดมือออกจากมือเรียวที่ดึงรั้งกันไว้ ไม่เข้าใจความรู้สึกตัวเองเท่าไหร่หรอกไอ้อาการเจ็บแปล๊บทันทีที่รับรู้ว่าอีกคนเหมือนมีใครอยู่แล้วนี่มันคืออะไร ผิดหวัง เสียใจ เสียดาย น้อยใจหรือหวงกันแน่
"เจ นั่งลงค่ะจะทานต่อเองหรือต้องให้ป้อน"
เจติยาถึงกับปรี๊ดขึ้นมาเมื่อเจอน้ำเสียงและสายตาเชิงบังคับกลายๆนั่น อย่ามาวางอำนาจใส่เธอแบบนี้นะ คนที่อารมณ์เริ่มไม่ปกติก็ขึ้นเสียงใส่อีกฝ่ายทันที
"นี่คุณจะมาบังคับฉันทำไม ฉันบอกว่าอิ่มแล้วคุณก็กินต่อไปสิ"
อุ๊ย! ด้วยไม่ทันตั้งตัวเมื่ออีกฝ่ายดึงแรงจนเธอถลาไปนั่งแหมะบนตักอีกคนพอดิบพอดี
"จะอิ่มได้ยังไงกินไปไม่ถึงสิบคำด้วยซ้ำฮึ เป็นอะไรคะ หึงเหรอ"
แขนเรียวที่กอดกระชับเอวบางไว้แน่นพร้อมคำพูดที่ข้างหูทำเอาคนอารมณ์แปรปรวนถึงกับนิ่งค้างไป รู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่จมูกโด่งกดเข้าที่แก้มตัวเองนั่นแหล่ะ
"ปรางแค่พูดเล่นเอง ไม่ต้องหึงแรงขนาดนี้ก็ได้ค่ะ กินต่อนะเดี๋ยวก็ปวดท้องหรอก"
น้ำเสียงนุ่มที่เอ่ยออกมาเรียกสติคนที่นิ่งอึ้งไปเมื่อครู่ให้รู้สึกตัว และสิ่งที่ตามมาคือหัวใจที่เต้นแรงขึ้นและใบหน้าที่ร้อนผ่าวตามมา ปรางวรัญอมยิ้มมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของคนบนตักแก้มนวลและใบหูขาวที่ตอนนี้แดงเรื่อจนออกสีชมพูเข้มนั่นน่ากัดเม้มจริงๆ
"ว่าไงคะ จะทานเองหรือจะให้ป้อน ถ้าป้อนปรางไม่ใช้ช้อนนะ"
คนขี้แกล้งยังคงพูดแหย่ต่อให้ร่างบางบนตักขยับฮึดฮัด
"ก็ปล่อยสิ กอดแบบนี้ใครจะไปกินได้ล่ะ"
น้ำเสียงกระฟัดกระเฟียดน้อยๆทำให้คนฟังยิ่งอยากแกล้งเข้าไปอีก
"พูดดีๆก่อนค่ะไม่งั้นก็จะกอดอยู่แบบนี้ล่ะปรางชักจะอิ่มแล้วเหมือนกันอยากกินของหวานต่อแล้วน่ะ"
คำพูดแฝงเลศนัยที่เอ่ยอยู่ข้างหูทำให้นางเอกสาวหันขวับมามองทันที รอยยิ้มกริ่มและแววตาเต้นระริกกลั้นขำนี่มันน่าเอานิ้วจิ้มให้บอดจริงๆ
"ปรางปล่อยเจก่อนนะคะ นั่งแบบนี้ใครจะกินได้ถนัดล่ะ"
เจติยายอมเอ่ยออกไปเสียงหวาน ฝากไว้ก่อนเถอะเดี๋ยวถึงเวลาเธอจะเอาคืนบ้างนางเอกสาวคิดในใจอย่างหมั่นไส้ไม่คิดว่าอีกคนจะขี้แกล้งแบบนี้ และมันก็ทำให้อารมณ์ของเธอตีรวนไปด้วยนี่สิ
เมื่อคนชอบแกล้งยอมปล่อยดีๆร่างบางจึงได้ลุกขึ้นจากตักอุ่น แต่ก่อนที่จะเดินกลับมานั่งเก้าอี้ฝั่งตัวเองมือบางก็ยื่นไปบิดเนื้อบริเวณเอวอีกฝ่ายอย่างแรง
"โอ๊ยย! เจ เจ็บๆ"
ปรางวรัญร้องเสียงหลงเมื่อเนื้ออ่อนช่วงเอวถูกอีกคนบิดอย่างแรงจนต้องรีบกุมมือบางนั่นไว้
"สมน้ำหน้า อยากแกล้งกันดีนัก"
เจติยาส่งยิ้มสะใจให้คนที่ใบหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บ
"หือ แดงช้ำเลยคุณ เป็นซาดิสม์หรือไงเนี่ย"
"ไม่ต้องมาบ่นเลยค่ะทีคุณทำกับเจล่ะเห็นไหมหลักฐานโชว์บนคอเนี่ยน่ะ"
"โหจะเอาคืนก็ใช้วิธีเดียวกันสิคุณ นั่นปรางใช้ปากนะไม่ได้ใช้มือสักหน่อย คนอะไรมือหนักชะมัดบิดมาได้เจ็บนะเนี่ย"
ปรางวรัญบ่นให้อีกฝ่ายแต่คนที่เอาคืนเมื่อกี้ต้องใบหน้าขึ้นสีอีกระลอก เมื่อคำพูดยอกย้อนให้นึกไปถึงการสร้างรอยบนตัวเธอขึ้นมา