ผับหรูย่านกลางเมืองที่ส่วนมากจะมีแต่เหล่าคนดังและบรรดาไฮโซลูกผู้ดีมีกะตังค์มาใช้บริการเพราะสถานที่แห่งนี้เน้นความเป็นส่วนตัวต้องเป็นสมาชิกเท่านั้นถึงจะเข้าได้จึงไม่ต้องมาคอยกังวลว่าหากทำอะไรที่อาจดูไม่ค่อยเหมาะสมจะถูกนำภาพไปเผยแพร่กัน เจติยามานั่งรอคนที่นัดร่วมครึ่งชั่วโมงแล้วหลังจากเมื่อช่วงเย็นเธอแยกกับผู้จัดการกลับไปที่คอนโดอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วจึงออกมายังสถานที่แห่งนี้
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์และชื่อที่โชว์หราขึ้นมาทำให้นางเอกสาวรีบกดรับทันที
"นี่คุณช่วยยืนยันกับการ์ดของร้านทีว่าคุณกับฉันนัดกัน นี่เขาไม่ยอมให้ฉันเข้าไปข้างในนะ"
เสียงบ่นโวยด้วยความหงุดหงิดของปลายสายเรียกรอยยิ้มให้แต้มบนเรียวปากบางสีเรื่อ
"มันเป็นผับวีไอพีเฉพาะสมาชิกนะคะคุณต้องเข้าใจระบบการรักษาความปลอดภัยของร้านค่ะ เอาโทรศัพท์ให้การ์ดสิคะเดี๋ยวฉันคุยกับเขาเอง"
ปรางวรัญยื่นโทรศัพท์ตัวเองให้กับการ์ดของร้านที่แต่งสูทผูกเนกไทยังกับบอดี้การ์ดในละครก็ไม่ปาน อย่างว่าแหล่ะละครก็สร้างมาจากชีวิตจริง แต่บางครั้งชีวิตจริงก็น้ำเน่ากว่าละคร การ์ดของร้านคุยกับปลายสายไม่นานก็ยื่นโทรศัพท์คืนมาให้เธอ
"เดี๋ยวคุณตามผมมาเลยครับ"
ชายในชุดสูทบอกก่อนจะเดินนำเข้าไปยังภายในของร้านปรางวรัญใช้สายตาสำรวจรอบร้านไปด้วยขณะที่เดินตามการ์ดร่างใหญ่ สถานที่ภายในถูกจัดตกแต่งค่อนข้างหรู มีทั้งเคาเตอร์บาร์และที่นั่งเป็นโซฟาอย่างดีแยกเป็นสัดส่วนให้ความเป็นส่วนตัวสมกับเป็นสถานที่ของเหล่าคนดังจริงๆ ไม่นานการ์ดหนุ่มก็พาเธอมายังห้องที่เป็นกระจกหากเธอมองเข้าไปก็คงไม่เห็นภายในนอกจากเงาสะท้อนของตัวเอง
เสียงเคาะประตูกระจกขออนุญาตเบาๆ ให้คนด้านในลุกมาเปิดเลื่อนตัวล็อคออก เพียงแค่ประตูเปิดออกสายตาหวานก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมของสาวร่างสูงที่อยู่ในชุดทำงานเชิ๊ตขาวเข้ารูปกับกางเกงผ้าเนื้อดีสีครีมแต่หากก็ยังดูดีในสายตาคนมองนั่นแหล่ะ
"ขอบคุณนะคะ"
เจติยาเอ่ยขอบคุณการ์ดของร้านก่อนที่อีกฝ่ายจะโค้งรับน้อยๆแล้วเดินออกไปเมื่อหมดหน้าที่
ปรางวรัญเดินมานั่งลงข้างๆอีกคนที่เดินนำเข้ามาก่อน ในห้องนี้มีโซฟาเบดสีเลือดหมูตัวใหญ่เพียงตัวเดียวที่ตั้งอยู่ตรงหน้าจอแอลซีดีขนาดกลางและชุดเครื่องเสียงคาราโอเกะ มีโต๊ะกลมสำหรับวางอาหารและเครื่องดื่มอยู่หน้าโซฟาซึ่งตอนนี้บนโต๊ะกลมนั่นมีเพียงน้ำส้มแก้วเดียวที่อีกคนดื่มไปครึ่งแก้วแล้ว
"คุณทานอะไรมาหรือยังคะ"
เจติยาเอ่ยถามคนที่ดูแล้วน่าจะออกจากที่ทำงานก็คงตรงมาที่นี่เลย
ปรางวรัญส่ายหน้า ถ้ามื้อเย็นของวันนี้เธอก็ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้องนอกจากกาแฟและแพนเค้กในห้องประชุมช่วงบ่ายแค่นั้น
"งั้นสั่งอะไรมาทานก่อนนะคะ ค่อยคุย"
เจติยายื่นเมนูให้คนที่เอนหลังพิงพนักโซฟาท่าทางดูเหนื่อยล้า
"คุณสั่งให้ที เอาพวกข้าวผัดหรืออาหารอะไรที่ไม่หนักท้องมากน่ะ"
เจติยาขมวดคิ้วพลางมองคนที่ไม่ยอมรับเมนูไปดู สุดท้ายเธอเลยต้องสั่งข้าวผัดกุ้งและอาหารมาอีกสามอย่าง ก่อนจะกดปุ่มเรียกพนักงานของร้านมารับออเดอร์ไป
"ดูคุณเหนื่อยๆนะ งานเยอะเหรอคะ"
คนหน้าหวานเอ่ยถามคนที่เอนตัวพิงโซฟาหลับตานิ่งอยู่ ให้อีกฝ่ายได้ปรือตาขึ้นมามอง
"อืม วันนี้ประชุมตั้งแต่บ่ายยันหกโมงเย็นถึงได้ออกมานี่แหล่ะ"
พูดจบคนที่ล้าทั้งสมองและร่างกายก็ปิดตาลงอีกครั้งเหมือนว่าตอนนี้ร่างกายเธอถ่านหมดยังงั้นล่ะ
เจติยาสำรวจใบหน้าคนที่หลับตาไม่รู้ว่าหลับไปจริงๆหรือแค่พักสายตากันแน่ แต่เธอก็ไม่คิดจะกวนเพราะดูจากสีหน้าแล้วปรางวรัญคงจะเหนื่อยล้าจากงานพอสมควรสายตาหวานจึงไล่สำรวจคนหลับไปเงียบๆ ใบหน้าเรียวสวยที่มีเครื่องสำอางค์แต่งแต้มเพียงบางๆริมฝีปากอิ่มสีเรื่อนั่นก็คงมีแค่ลิปมันเคลือบเท่านั้นละมั้ง จะว่าไปปรางวรัญในวัยเด็กกับตอนนี้หน้าตาไม่ได้เปลี่ยนไปสักเท่าไหร่ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่รู้สึกคุ้นๆอีกคนตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็นหน้าชัดเจนหรอก
ไม่รู้ว่าเผลอหลับไปนานแค่ไหน ปรางวรัญมารู้สึกตัวเอาตอนที่เด็กเสิร์ฟกำลังจัดวางอาหารที่สั่งไปลงบนโต๊ะกลมนั่นแล้ว มือเรียวทั้งสองยกขึ้นลูบใบหน้าตนเองก่อนจะลดมือลงเมื่อรู้สึกถึงไอเย็นจากอะไรสักอย่างที่ยื่นมาตรงหน้า
"เช็ดหน้าเช็ดตาสักหน่อยนะคะจะได้สดชื่น"
น้ำเสียงที่เหมือนห่วงใยพร้อมผ้าเย็นที่ยื่นมาให้ ทำให้มุมปากของปรางวรัญยกยิ้มขึ้นมาก่อนจะเอ่ยขอบคุณในสิ่งที่อีกฝ่ายใส่ใจจัดหามาให้ แปลก ทำไมนะทั้งๆที่เธอกับนางเอกสาวคนดังก็เพิ่งจะเคยเจอกันครั้งนี้ครั้งที่สองตั้งแต่เกิดอุบัติเหตุรถชนกันไปเมื่อสามสัปดาห์ก่อนแต่ความรู้สึกที่ได้เจอกันวันนี้ทำไมถึงไม่เหมือนคนแปลกหน้า และถ้าเธอตาไม่ฝาดเธอว่าเธอเห็นแววตาของอีกฝ่ายที่มันทอแสงอ่อนยามที่ได้สบตากันแววตาอ่อนหวานที่เหมือนทอประกายวิบวับอยู่ในนั้น
"คุณมาดื่มกินที่นี่บ่อยเหรอ ถึงได้สมัครสมาชิกไว้น่ะ"
ปรางวรัญชวนอีกฝ่ายคุยไปด้วยขณะที่กำลังทานอาหารไป
"ก็ไม่ถึงกับบ่อยหรอกค่ะ อย่างมากก็เดือนละสองครั้งแค่นั้นแหล่ะที่สมัครเพราะมันเป็นกฏระเบียบของร้านมากกว่า และที่สำคัญที่นี่มันปลอดภัยสำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวค่ะเพราะส่วนมากที่มาใช้บริการกันก็จะเป็นคนดังหรือคนในวงการซะส่วนใหญ่ก็เจ้าของที่นี่เคยเป็นคนดังในวงการบันเทิงนะคะ"
"หือ จริงเหรอฉันไม่ยักรู้นะเนี่ย เคยแต่ได้ยินชื่อผับแต่ไม่เคยเข้ามาหรอกนะ ถึงไม่รู้ว่าไม่ใช่สมาชิกไม่มีสิทธิเข้าน่ะ"
ปรางวรัญกล่าวออกมาถึงว่าสิ จะว่าไปตอนที่การ์ดพาเธอเดินเข้ามาก็รู้สึกว่าลูกค้าบางคนหน้าตาคุ้นๆอยู่เหมือนกัน ถึงแม้จะไม่ได้สนใจคนดังแต่บางทีมันก็ต้องมีผ่านตาบ้างล่ะในจอทีวีน่ะ
"คุณอยากดื่มเครื่องดื่มอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวฉันสั่งให้"
หลังจากพากันทานอาหารกันจนอิ่มเจติยาจึงได้เอ่ยถามอีกคน
"คุณจะดื่มเป็นเพื่อนฉันหรือเปล่าล่ะ"
ปรางวรัญย้อนถามอีกคนยิ้มๆ
"จะมอมฉันเหรอคะถึงชวนดื่มน่ะ"
เจติยาเอ่ยเย้ากลับอย่างท้าทายให้อีกคนหัวเราะขำ
หึๆ
"คุณกล้าให้มอมหรือเปล่าล่ะคุณนางเอก"
แววตาทะเล้นและคำพูดกึ่งเย้ากึ่งท้าทายทำให้เจติยานึกหมั่นไส้ขึ้นมานิดๆ และพลันนั้นสมองอันเฉียบไวของเธอก็นึกอะไรบางอย่างออกก่อนจะยิ้มหวานส่งให้คนที่ยิ้มท้าทายให้กันอยู่
"ฉันมีข้อเสนอในการดื่มคุณสนใจไหม"
"ข้อเสนออะไรล่ะ"
ปรางวรัญถามออกไปอย่างนึกสงสัย
"เรามาดื่มแข่งกัน ถ้าคุณชนะฉันค่าซ่อมรถฉันจะเป็นคนรับผิดชอบเองทั้งหมด แต่ถ้าคุณแพ้ฉันคุณต้องยอมเป็นเบ้รับใช้ฉันเวลาที่ฉันจะไปไหนมาไหนเป็นเวลาหนึ่งเดือนและฉันให้คุณรับผิดชอบค่าซ่อม50%ตกลงไหม"
ข้อเสนอที่ไม่คาดคิดว่าจะได้ยินเรียกรอยยิ้มกว้างจากใบหน้าเรียวสวยทันที
"คุณพูดจริงหรือเปล่านี่ ไม่ใช่พอแพ้แล้วมากลับลำนะ เดี๋ยวๆขออัดเสียงก่อนเอาไว้เป็นหลักฐานจะมาพูดลอยๆแบบนี้ไม่ได้"
พูดจบปรางวรัญก็รีบหยิบมือถือของตัวเองมากดโปรแกรมบันทึกเสียงและบอกให้นางเอกสาวพูดข้อเสนออันแสนถูกใจเธออีกรอบ เจติยาส่ายหน้าพลางยิ้มขำแต่ก็ยอมทำตามที่อีกคนบอกพร้อมกับเงื่อนไขการดื่มด้วย
และแล้วสิ่งของที่จะดวลกันของสองสาวก็พร้อมอยู่บนโต๊ะกลมแล้วตอนนี้ มันคือไวน์แดงยี่ห้อหนึ่งนั่นเองแม้จะไม่ใช่ปีที่ราคาแพงมากแต่ว่ารวมทั้งหมดที่สั่งมาก็ร่วมหมื่นเหมือนกันและจำนวนที่ใช้ในเกมส์ดวลครั้งนี้ก็ทำให้ปรางวรัญคิดหนักอยู่พอสมควรเพราะไม่คิดว่านางเอกสาวหน้าหวานจะกล้าท้าดวลกันถึงคนล่ะสิบแก้วเต็มๆกันเลยแบบนี้ถึงเธอจะออกงานสังคมบ่อยและมีการดื่มเป็นมารยาทบ้าง สังสรรค์บ้างแต่ก็ไม่เคยที่จะมาตั้งหน้าตั้งตาดื่มหนักแบบนี้สักครั้ง นี่แม่คุณเป็นนักดื่มหรือยังไงกันถึงได้ท้าหนักแบบนี้
"จะเปลี่ยนใจก็ได้นะคะ ค่าซ่อมรถแค่หกเจ็ดแสนเองคุณคงจ่ายได้ไม่ลำบากหรอก"
เจติยายิ้มถามคนที่มองจำนวนขวดไวน์หกขวดบนโต๊ะ สำหรับเธอมันอาจจะไม่ถึงกับสลบเหมือดคาโต๊ะหรอกหากว่าดื่มเข้าไปตามจำนวนที่เอ่ยท้าอีกคนนั่นน่ะ ไม่ใช่ว่าจะเป็นนักดื่มคอทองแดงแต่สมัยที่ยังเรียนมหาลัยการที่กลุ่มพวกเธอชอบหาเรื่องมาท้าพนันดื่มกันเพื่อความสนุกทำให้มันเกิดความเคยตัวเคยชินหรือเปล่าไม่รู้
ปรางวรัญหันมามองใบหน้าหวานที่กำลังส่งยิ้มท้าทายแกมสบประมาทมาที่เธอก็ให้นึกหมั่นไส้สายตาหวานที่เหมือนกำลังยิ้มได้นั่น
"แค่นี้มันล้มฉันไม่ได้หรอกค่ะ เริ่มกันเลยดีกว่านะอย่าเสียเวลาเลย"
คนที่ไม่คิดจะยอมแพ้อะไรง่ายๆก็รีบจัดการประเดิมเปิดไวน์ขวดแรกแถมบริการรินใส่แก้วให้นางเอกคนสวยในระดับเสมอปากแก้วทรงสวยเช่นเดียวกับแก้วของตัวเอง ก่อนจะยกมันขึ้นจิบก่อนเพื่อลิ้มรสชาติฝาดเฝื่อนของน้ำสีแดงเข้ม แก้วแรกถูกกระดกลงคอสวยไปไม่ถึงห้านาทีและตามมาด้วยแก้วที่สองของคนที่อยากลบคำสบประมาทเมื่อครู่ เจติยาที่ยังค่อยๆจิบแก้วของตนไปเรื่อยๆไม่รีบร้อนก็แอบอมยิ้ม ใครเขาพากันกระดกเป็นน้ำเปล่าแบบนั้นกันล่ะกินแบบนั้นถ้าถึงสิบแก้วก็สุดยอดแล้วล่ะ ทั้งคู่ต่างพากันดื่มไปในแบบของตัวเองที่คิดว่าผลของมันจะทำให้ชนะอีกคนได้ สายตาก็จ้องดูจอสี่เหลี่ยมที่เปิดมิวสิคเพลงของต่างประเทศไปด้วยเมื่อเวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมงกว่าไวน์ขวดแรกของปรางวรัญหมดลงและตอนนี้อีกคนเริ่มขวดที่สองแล้ว นั่นแสดงว่านี่จะเป็นแก้วที่ห้าของเธอนั่นเองใบหน้าขาวตอนนี้แดงเรื่อออกสีชมพูน่ามองเพราะฤทธิ์ของแอลกอฮอล์ที่ดื่มเข้าไปกระตุ้นเลือดในกายให้สูบฉีด
"พรุ่งนี้คุณไม่ต้องทำงานใช่ไหม"
เจติยาเอ่ยถามอีกคนที่ดูตาเริ่มหวานเยิ้มขึ้นเรื่อยตามจำนวนเครื่องดื่มที่ไหลเข้าสู่ร่างกาย สิ่งที่คิดเอาไว้ในใจว่าอยากลองรื้อฟื้นความทรงจำวัยเด็กของคนตรงหน้าจะได้ผลไหมคงต้องรอให้ปรางวรัญไร้สติกว่านี้สักหน่อย เขาว่าคนเมามักพูดความจริงและสิ่งที่เก็บซ่อนอยู่ภายในใจเสมอเธอแค่อยากรู้ว่าอีกฝ่ายมีความทรงจำเกี่ยวกับเธอติดอยู่บ้างหรือเปล่าเท่านั้นเอง
"อืม หยุดน่ะลำพังจันทร์ถึงศุกร์ร่างกายก็แทบจะสลายแล้วล่ะคุณ ว่าแต่คุณเถอะพรุ่งนี้มีงานที่ไหนหรือเปล่าระวังจะแฮ้งค์จนไปทำงานไม่ได้ล่ะ"
คนที่อาการเริ่มกรึ่มๆเล็กน้อยยังมิวายพูดแหย่นางเอกคนสวยที่ตอนนี้ไวน์ของอีกคนเพิ่งจะหมดขวดแรก
เจติยาอมยิ้มนึกในใจว่าใครกันแน่ที่จะแฮ้งค์จนลุกไม่ไหว ที่จริงพรุ่งนี้เธอเองก็ยังมีงานแต่เป็นช่วงเย็นเลยไม่ค่อยกังวลเท่าไหร่และอีกอย่างก็ไม่คิดว่าตัวเองจะต้องเมาสลบเหมือดแน่เพราะถ้าเธอเมาแล้วใครจะพาคนปากดีกลับล่ะ
"ถึงมีฉันก็ไม่ปล่อยให้งานเสียหรอกค่ะ"
"อือ ดีๆมีสปิริตความรับผิดชอบสูงดีนะคุณเนี่ย"
นางเอกสาวยิ้มรับคำชมแกมเหน็บกลายๆ ทั้งคู่ปล่อยบรรยากาศสบายๆดื่มไปดูมิวสิควีดีโอไปเรื่อยๆพอไวน์ขวดที่สองหมดลงปรางวรัญเริ่มมีอาการมึนออกมาบ้างแล้วเพราะจำนวนที่ดื่มไปมันหกแก้วแล้วนะสิ
"ไหวหรือเปล่าคุณ"
เจติยายิ้มถามคนที่เอามือลูบใบหน้าซึ่งตอนนี้แดงปลั่งด้วยเลือดฝาด
"หวายสิ ว่าแต่คูณเหอะขวดเท่สองยางม่ายหมดเลยนะ เอิ๊กก"
น้ำเสียงที่เริ่มยานลิ้นพันกันนิดหน่อยของคนตรงหน้าทำให้เจติยายกยิ้มขำ
"คุณ ถามอะไรหน่อยสิ คุณเคยมีเรื่องราวสมัยเด็กๆที่เป็นความทรงจำประทับใจบ้างไหม"
เจติยาเกริ่นถามคนที่กำลังกรึ่มได้ที่
"หือ ปาทาบใจแบบหนายล่ะ มีเยอะแยะ ฉ้านชอบช่วยสัตว์หมาแมวนะ แต่ดูเซ่ สุดท้ายมานก็ทรยศฉ้านวิ่งตัดหน้าจนรถพังเนี่ย"
เจติยาหัวเราะขำเมื่อพอจะเข้าใจว่าอีกคนคงหมายถึงสุนัขที่วิ่งตัดหน้ารถจนเกิดเหตุ
"อืม แล้วไม่เคยช่วยคนบ้างเหรอคะ"
"ช่วยคนเหรอ เคยเซ่ ช่วยคนแก่ข้ามถนนก็ยังเคยเลย"
เจติยาส่ายหน้าน้อยๆ จะได้เรื่องไหมวันนี้ดูท่าคนเริ่มเมาตาลอยอาจจะจำเรื่องวัยเด็กไม่ได้เสียละมั้ง
"แล้วที่ไม่ใช่คนแก่ล่ะ เคยช่วยเหลือไหมอย่างเขาหกล้มบาดเจ็บแล้วคุณก็ช่วยพาไปทำแผลอะไรแบบนี้น่ะ"
ถามขนาดนี้ถ้านึกไม่ออกก็คงไม่ต้องรื้อฟื้นกันแล้วล่ะนางเอกสาวคิดในใจ
"ช่วยเด็กเหรอ อืออ บาดเจบเหรออ อ๋ออ ฉ้านเคยช่วยยัยตัวเปี๊ยกน่าร้ากคนนึงนะ เขาขี่จักรยานล้มเลยต้องพาไปทำแผลที่บ้านนะ อืออแล้วฉ้านก็ม่ายเจอยัยเปี๊ยกน่ารักอีกเลย"
สมองที่เริ่มประมวลผลช้าลงเพราะสิ่งมึนเมาที่อยู่ในร่างกายออกฤทธิ์แต่ก็ยังทำให้ปรางวรัญนึกถึงภาพสมัยเด็กที่เคยช่วยเด็กผู้หญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่งพาไปทำแผลที่บ้านตนเอง
เจติยายิ้มออกมาอย่างมีความสุขเมื่อได้ฟังความทรงจำของอีกคนที่ยังคงมีเรื่องราวของเธออยู่ในนั้นด้วย
"แล้วคูนล่ะ มีไรปาทาบใจป่าวเปนดาราเนี่ยเขาห้ามรื้อฟื้นเรื่องอดีตช่ายป่ะ"
เสียงยานคางถามกลับมาบ้าง
"มีสิคะ มันเป็นความทรงจำที่ฉันประทับใจและก็ไม่เคยลืมด้วยค่ะ"
ใบหน้าหวานที่เปื้อนยิ้มตอบออกไปแต่คนตั้งคำถามตอนนี้เอนตัวคอพับคออ่อนพิงพนักโซฟาไปแล้ว
"เมาแล้วเหรอคุณ"
เจติยาเอ่ยถามคนที่หลับตาพริ้ม
"หืออ ยางม้ายมาว แต่ง่วงจัง คูณ ปรับแอร์หน่อยสิร้อน"
ร่างสูงบ่นออกมาแต่ตาก็ไม่ยอมลืมแถมมือก็ยังแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกคล้ายอึดอัด ให้นางเอกสาวที่เผลอมองใบหน้าขึ้นสีกับเนินอกขาววับแวมเมื่อกระดุมเสื้อถูกปลดออกจากกันไปสองเม็ด
เจติยามองขวดไวน์ที่ตอนนี้มันเหลือเพียงขวดครึ่งจากหกขวด แลดูสภาพคนที่ดื่มไปเกือบสิบแก้วก็คงจะไม่ไหวแล้วล่ะเพราะตอนนี้อีกฝ่ายหลับคอพับไปแล้ว สภาพนี้คงกลับบ้านไม่ได้แน่ๆเธอเองยังมีอาการมึนนิดหน่อยก็น่าจะพอขับรถได้ แต่ขอใช้บริการพิเศษจากทางร้านคงจะปลอดภัยกว่า นี่คือข้อดีของผับหรูแห่งนี้ที่จะมีบริการพิเศษหากว่าลูกค้าเมาจนไม่สามารถที่จะขับรถกลับที่พักของตนได้ทางร้านก็จะมีเจ้าหน้าที่กึ่งการ์ดบริการขับรถไปส่งถึงที่พักโดยปลอดภัยและมีทั้งการ์ดผู้หญิงและผู้ชายให้สามารถเลือกใช้บริการได้อีกด้วย
เมื่อเห็นว่าปรางวรัญคงจะไม่ไหวแล้วจริงๆนางเอกสาวจึงได้กดปุ่มเรียกพนักงานมาเช็คบิลและแจ้งความต้องการพิเศษให้ทางร้านรู้ไม่ถึงยี่สิบนาทีทั้งเธอและคนที่หลับเพราะเมาก็ถูกการ์ดผู้หญิงพยุงมาขึ้นรถ
"รถอีกคันขอฝากไว้ที่ร้านก่อนนะคะพรุ่งนี้จะให้คนมาเอากลับค่ะ"
"ได้ค่ะคุณเจ เดี๋ยวดิฉันจะแจ้งเจ้าหน้าที่ไว้ให้"
การ์ดสาวรับคำก่อนจะขึ้นประจำที่คนขับพาลูกค้ากลับไปยังจุดหมายปลายทางที่นางเอกสาวแจ้งมา
"อือ ร้อนจังเลย"
เสียงบ่นงึมงำของคนเมาพร้อมกับมือเรียวที่เตรียมจะแกะกระดุมเสื้อตัวเองออกอีกครั้ง จนเจติยาต้องรีบตะครุบเอาไว้ก่อน
"นี่คุณเมาแล้วชอบแก้ผ้าหรือไงฮึ"
"อือ ร้อนๆ"
"จะให้เร่งแอร์อีกไหมคะคุณเจ"
การ์ดที่ทำหน้าที่ขับรถเอ่ยถามนางเอกสาวด้วยความหวังดี
"ไม่ต้องหรอกค่ะแค่นี้ก็เย็นมากแล้ว"
เจติยาบอกเพราะนี่มันก็เย็นจนเธอรู้สึกหนาวแล้ว ก่อนจะดึงร่างสูงให้เอนมาพิงไหล่เธอความอุ่นจากร่างอีกคนและกลิ่นหอมอ่อนลอยวนผสมกลิ่นแอลกอฮอล์จางๆให้ความรู้สึกกรุ่นๆในอกให้ริมฝีปากสวยเผยยิ้มออกมาบางๆ