พิมพ์พลอยพาราเมศร์ขึ้นมาถึงชั้นผู้บริหาร พยายามพูดคุยทำความรู้จักสนิทสนมให้มากยิ่งขึ้นเพราะเธอได้ยินภูริตบอกว่าเขาให้โรงแรมกู้เงินมาเป็นร้อยโล้าน ซึ่งนั้นก็หมายความว่าเขาเองก็ร่ำรวยเอาการ เห็นแบบนี้ใครจะปล่อยให้หลุดมือกันล่ะ
“ฉันชื่อพิมพ์พลอยค่ะ เป็นลูกสาวของคุณภูริต” หญิงสาวกล่าวแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง” พิมพ์ว่าเราเคยเจอกันมาก่อน คุณเมศร์จำไม่ได้จริงๆ เหรอคะ”
“งั้นเหรอครับ” เขานิ่งเงียบไปชั่วครู่ก่อนที่ณภัทรจะเป็นฝ่ายสะกิดบอก
“เราเคยเจอกันที่บาร์คืนนั้นไงครับ”
“อ้อ จริงด้วย ขอโทษด้วยนะครับ คืนนั้นผมไม่ได้ใส่แว่นน่ะ เลยมองเห็นอะไรไม่ชัด แต่ตอนนี้ ชัดเจนแจ่มแจ้งแล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มเน้นย้ำทุกคำพูด โดยที่พิมพ์พลอยเองก็มองไม่ออกเลยสักนิดว่าที่เขาบอกว่าชัดนั้นมันหมายถึงเรื่องอะไร
“พิมพ์ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ทำแว่นคุณแตกไปคืนนั้น”
“ไม่เป็นไรครับ ดีเหมือนกัน ผมจะได้ฤกษ์ไปทำเลสิกสักที” ราเมศร์ยิ้มตอบด้วยสีหน้าเป็นมิตร แต่ในใจกับคุกรุ่นไปด้วยไฟแค้น
“จะว่าไป ตอนคุณไม่ใส่แว่นแบบนี้ดูดีกว่าอีกนะคะ ได้ยินพ่อพูดถึงบ่อย ๆ ไม่คิดว่าตัวจริงจะยังหนุ่มอยู่เลย”
“คุณก็พูดเกินไป” เขาทำท่าปฏิเสธด้วยความเหนียมอาย เห็นดังนั้นอีกฝ่ายก็ยังรุกไม่พัก เธอลงทุนพาเขาไปจนถึงห้องของภูริตอย่างเอาอกเอาใจจนราเมศร์เองก็พอจะมองออกว่าเธอต้องการอะไร
“ถึงแล้วค่ะ”
“ขอบคุณครับ” เขาคลี่ยิ้มแล้วโค้งกายให้เล็กน้อยก่อนจะผลักประตูเข้าไป ตอนแรกพิมพ์พลอยเองก็จะเข้าไปด้วยแต่เธอถูกผู้เป็นพ่อห้ามไว้จึงต้องปิดประตูกระแทกเท้าปึงปังออกมารอข้างนอกแทน
“พ่อนะพ่อ อีกหน่อยก็จะให้นั่งตำแหน่งประธานอยู่แล้ว เรื่องแค่นี้ทำไมต้องปิดบังด้วย”
หญิงสาวบ่นพึมพำด้วยสีหน้าบึ้งตึง ได้แต่นั่งรออยู่ข้างนอกอย่างไม่มีทางเลือกจนกระทั่งเวลาผ่านไปนานเกือบชั่วโมง ในที่สุดราเมศร์กับณภัทรก็ออกมา เธอก็รีบลุกพรวดขึ้นทันที
“เป็นยังไงบ้างคะ คุยกันนานเชียว”
“คุณยังรออยู่อีกเหรอครับเนี่ย” ชายหนุ่มเอ่ยถาม เห็นท่าทีของอีกฝ่ายเขากลับไม่รู้สึกแปลกใจเลยสักนิด
“ก็ต้องอยู่รอสิคะ พิมพ์เป็นคนพาคุณมา ยังไงก็ต้องลงไปส่ง”
“งั้นรีบไปเถอะครับ ผมมีงานต้องไปทำต่อ” พูดจบเขาก็หันไปส่งสัญญาณกับณภัทร พิมพ์พลอยจึงรีบตามลงมาด้วย พยายามพูดคุยตีสนิทเพื่อจะจับเขาให้อยู่หมัด
“เราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยถามอีกครั้งเมื่อเดินมาส่งเขาที่ประตูทางออก ท่ามกลางสายตาของพนักงานที่จ้องมองกันเป็นทิวแถวไม่เว้นแต่เพลงขวัญที่หันมาเห็นฉากนั้นเข้าพอดี
“มันก็แล้วแต่ว่าคุณพิมพ์อยากจะเจอผมอีกหรือเปล่า”
“พิมพ์ต้องอยากเจออยู่แล้วสิคะ คุณมีพระคุณกับเราขนาดนี้ ถ้ามีอะไรที่จะให้พิมพ์ตอบแทนก็บอกได้เลยนะคะ”
“ไม่จำเป็นต้องลำบากขนาดนั้นหรอกครับ แต่ถ้าอยากเจอก็ติดต่อผมมาได้” เขาคลี่ยิ้มให้เธออย่างเป็นมิตรพลางส่งนามบัตรให้ การกระทำนั้นทำให้พนักงานที่กำลังมองต่างพากันอ้าปากเหวอไปตาม ๆ กัน
“เสียใจด้วยนะยัยขวัญ ดูท่าแกน่าจะแพ้ราบคาบแล้วล่ะ” ณัชชากระแทกไหล่เล็กด้วยความหมั่นไส้ วาโยเห็นแบบนั้นจึงช่วยเสริมขึ้นเพราะเขาเองก็แอบรู้สึกดีกับเพลงขวัญ จึงไม่อยากให้เธอไปสนใจใคร
“คุณราเมศร์เขารวยขนาดนั้นก็ต้องคู่กับคนสวยและรวยอย่างคุณพิมพ์พลอยอยู่แล้ว”
“นั่นน่ะสินะ” เพลงขวัญได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ ก่อนจะละสายตาจากภาพนั้นเพื่อโฟกัสกับงานต่อ เป็นจังหวะเดียวกันที่ราเมศร์กล่าวลาพิมพ์พลอยแล้วเดินจากไป
“แบบนี้ก็ชัดเจนแล้วสิครับว่าคนที่ขับรถชนคุณขวัญชีวาในคืนนั้นคือคุณพิมพ์พลอย ไม่ใช่คุณเพลงขวัญ” ณภัทรเอ่ยขึ้นในตอนที่กำลังกลับไปขึ้นรถ
“จะเป็นใครก็ตาม ยังไงพวกมันก็ต้องรับกรรมด้วยกันทั้งหมดนั่นแหละ”
“แล้วแบบนี้คุณเมศร์จะทำยังไงต่อครับ”
“ทำตามแผนเดิมนั่นแหละ” เขาว่าในขณะที่กำลังจะขึ้นรถ แต่สายตาคมกริบดันเหลือบไปเห็นถุงน้ำหอมวางอยู่บนกระโปรงรถ อยู่ ๆ รอยยิ้มบนใบหน้าก็ฉาบขึ้นมาแบบไม่รู้ตัว เป็นรอยยิ้มที่ณภัทรเองก็เพิ่งได้เห็นมันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ขวัญชีวาตายจากไป “ฉันว่า...เพิ่มอีกแผนด้วยดีกว่า”
“ยังไงเหรอครับ”
“ก็ทำให้สองพี่น้องแตกคอกันไง” ราเมศร์กระตุกยิ้มมุมปาก เขาหยิบถุงน้ำหอมแล้วนำไปส่งให้พนักงานรักษาความปลอดภัยอีกครั้ง “ช่วยนำไปให้คุณเพลงขวัญ แผนกต้อนรับหน่อยนะครับ”
“จะเอาไปให้อีกทำไมครับ เธอตั้งใจเอามาคืนแบบนี้แสดงว่าเธอไม่อยากได้”
“เธอกำลังเกรงใจต่างหาก...ถ้าจะให้เดา เพลงขวัญเองก็คงจะเป็นลูกสาวอีกคนของภูริตแต่คงจะเป็นลูกชังเสียมากกว่า นายลองคิดดูสิถ้าฉันแกล้งทำดีกับคนพี่แล้วหันไปจีบคนน้อง พิมพ์พลอย จะรู้สึกเจ็บเหมือนที่ฉันเจ็บหรือเปล่า”