“ขอโทษที่ให้รอนะครับ ผมติดธุระนิดหน่อยน่ะ” เจ้าของร่างสูงใหญ่ ใบหน้าที่เหมือนจะค่อนไปทางยุโรปกระพุ่มมือไหว้ ดวงตาคมกริบภายใต้กรอบแว่นเลนส์ใสเหลือบมองเพลงขวัญชั่วครู่ก่อนที่เขาจะทรุดกายนั่งลงเคียงข้างกิตติพร้อมกับเลขาฯ อีกคนที่ตามติดมาด้วย
“ไม่เป็นไรครับ ผมว่าจะแนะนำคุณให้คุณภูริตเขารู้จักพอดี”
“ไม่ต้องแนะนำหรอกครับ ผมรู้จักอยู่แล้ว” เขาตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย มองแค่ปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ค่อยจะเป็นมิตรเสียเท่าไหร่ “คุณภูริตเจ้าของโรงแรมพีพีวายโฮเต็ลใช่ไหมครับ”
“แบบนี้ผมก็เสียเปรียบสิครับ คุณรู้จักผมแต่ผมยังไม่รู้จักคุณเลย” ภูริตตบมุกกลบเกลื่อนแล้วกล่าวแนะนำตัวอีกครั้ง “ผมภูริต โยธาพิพัฒน์ครับ”
“ผมราเมศร์ อักษราไพศาลครับ” เจ้าของดวงตาสีอำพันกล่าวแนะนำเพียงสั้น ๆ กิตติจึงต้องช่วยขยายความให้อีกที
“คุณราเมศร์ เขาเป็นเจ้าของโรงแรมรีสอร์ตหลายแห่งทางใต้น่ะ ตอนนี้กำลังจะลองขยายกิจการมาที่ภาคกลางและเหนือดู เลยอยากจะนำให้คุณภูริตรู้จักไว้น่ะครับ ยังไงก็ทำธุรกิจเดียวกันเผื่อจะได้ลงหุ้นกันในอนาคต”
“ยินดีเป็นอย่างยิ่งเลยครับ” ภูริตยิ้มตอบ
“หวังว่าเราคงจะได้ร่วมงานกันในอนาคตนะครับ” ราเมศร์ ยืนขึ้นเต็มความสูง เขาเลื่อนมือมาด้านหน้าเพื่อให้อีกฝ่ายจับเป็นการกระชับมิตรตามแบบฉบับนักธุรกิจ
“เช่นกันครับ”
“แล้วนี่...ใจคอจะไม่แนะนำคนที่มาด้วยหน่อยเหรอครับ” ชายหนุ่มปรายตามองร่างเล็กที่ยังยืนเงียบอยู่ด้านหลัง ทำให้ภูริตต้องรีบแนะนำลูกสาวอีกคนให้เขารู้จักเพราะตอนนี้สถานการณ์ที่โรงแรมและบริษัทในเครือไม่ค่อยจะสู้ดีนัก การได้รู้จักกับราเมศร์ไว้ก็คงจะเป็นทางเลือกที่ดีเผื่ออีกหน่อยจะได้ขอความช่วยเหลือจากเขาได้
“อ้อ...นี่เพลงขวัญครับ เธอเป็นหลานสาวของผมน่ะ”
“สวัสดีค่ะ เอ่อ...คุณลุง” หญิงสาวกระพุ่มมือไหว้ตามมารยาท เดาจากท่าทางสุขุมและร่างที่สูงใหญ่ อีกฝ่ายน่าจะโตกว่าหลายปี เธอจึงเรียกเขาไปแบบนั้นตามความรู้สึกจนถูกผู้เป็นพ่อตำหนิ
“ยัยขวัญ...ไม่ต้องใส่คำลงท้ายก็ได้”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเองก็สามสิบเจ็ดแล้ว จะเรียกแบบนั้นก็ไม่แปลก” ราเมศร์กระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะทรุดกายลงนั่งที่ของตัวเอง ภูริตจึงก้มลงหยิบนามบัตรเขาส่งไปให้อีกฝ่ายทันที
“นี่นามบัตรผมครับ เผื่อคุณราเมศร์แวะไปพักที่โรงแรม ผมจะได้จัดการต้อนรับอย่างเต็มที่”
“ผมต้องไปอยู่แล้วล่ะครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้ม เขารับนามบัตรไปเก็บไว้ในกระเป๋า ภูริตจึงขอตัวพาเพลงขวัญไปนั่งยังที่ของตัวเองอีกโต๊ะ อดไม่ได้ที่จะตำหนิลูกสาวอีกครั้ง
“ยัยขวัญ แกไม่น่าไปทักคุณราเมศร์เขาแบบนั้นเลย”
“ขอโทษค่ะ หนูแค่เห็นว่าเขาเป็นเพื่อนกับพ่อ...เอ่อ..กับคุณลุง หนูเลยเผลอเรียกไปแบบนั้น” หญิงสาวก้มหน้างุดด้วยความรู้สึกผิด เหลือบมองไปที่ราเมศร์อีกครั้ง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเองก็กำลังหันมามองเธอเช่นเดียวกัน
“ผมไปตรวจสอบรายชื่อแขกที่ลงทะเบียนเข้างานมา เธอชื่อเพลงขวัญ ศรันย์ภักดีครับ” ณภัทรกระซิบตอบในขณะที่ผู้เป็นเจ้านายเอาแต่จ้องมองไปที่เจ้าของร่างบางระหงนั้นตาไม่กะพริบ จนคนถูกมองต้องหันไปหลบสายตาของเขาทันทีที่รู้ตัว “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่าคุณภูริตกำชับไม่ให้เธอเรียกว่าพ่ออยู่เลย แล้วทำไมถึงไม่ได้ชื่อพิมพ์พลอย นามสกุลก็ไม่เหมือนกันอีก”
“คงจะตั้งใจเปลี่ยนชื่อเพื่อหนีคดีนั่นแหละ” ราเมศร์สันนิษฐาน
“แต่ถ้าเทียบกับรูปถ่ายที่ผมหามา หน้าตาก็ถือว่าคล้ายคลึงกันนะครับ แต่คงจะผ่านมีดหมอมาเยอะ ตัวจริงถึงได้สวยกว่าในรูปแบบนี้”
“หรือว่าจะเป็นคนละคนกัน” ชายหนุ่มละสายตาจากเพลงขวัญแล้วหันมาดูรูปในมือถือของณภัทรอีกครั้ง เดาจากรูปก็มีส่วนคล้ายคลึงกันแต่เหมือนว่าตัวจริงจะหน้าเรียวกว่าแล้วก็หวานกว่า
“ผมสืบมาแล้ว คุณภูริตเขาไม่มีหลานนะครับ แล้วอีกอย่างตามประวัติก็บอกว่ามีลูกสาวคนเดียวก็คือคุณพิมพ์พลอย”
“อะไรกัน...ถ้าเป็นลูกสาวเหมือนที่เราได้ยินก่อนเข้างานมา งั้นก็แสดงว่าผู้หญิงคนนี้คือพิมพ์พลอยงั้นสิ”
“มันก็อาจจะเป็นไปได้นะครับ รูปที่ผมหามาได้ก็เป็นรูปเก่า ตอนนี้เธออาจจะโมหน้ามาใหม่จนเปลี่ยนไปขนาดนี้ก็ได้” ณภัทรตอบทั้งที่เขาเองก็ยังลังเลอยู่ไม่น้อย ถึงจะลงทุนสะกดรอยตามมาหลายเดือน แต่พอมาเห็นหน้าใกล้ ๆ เขากลับรู้สึกว่าหญิงสาวไม่เหมือนกับคนที่กำลังตามหาตัวเลยสักนิด
“รอดูสถานการณ์ก่อน จะเป็นลูกหรือหลาน ยังไงพวกมันก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ถ้าจะเจ็บ มันก็ต้องเจ็บเหมือนกันทุกคนนั่นแหละ” ราเมศร์ขบกรามแน่น มือหนาคว้าแก้วเครื่องดื่มมากรอกเข้าปาก
เขาเอาแต่จดจ่ออยู่กับเจ้าของร่างบางระหงนั้นไม่ได้สนใจกับบรรยากาศภายในงานเลยสักนิด จนกระทั่งพิธีการต่าง ๆ ผ่านไป เสียงพิธีกรจึงประกาศบอกให้ทุกคนพาคู่ตัวเองออกมาเต้นรำที่โถงใหญ่ ถึงตอนนั้น ชายหนุ่มจึงถือโอกาสเข้าไปทักทายและขอเพลงขวัญเต้นรำเพื่อหลอกล่อให้เหยื่อตายใจ
“อ้าว คุณราเมศร์ มีอะไรเหรอครับ” ภูริตเอ่ยถามเมื่อเห็นราเมศร์เข้ามาที่โต๊ะ เขาจึงบอกความต้องการออกไปอย่างตรงไปตรงมา
“คุณภูริตจะว่าอะไรไหมครับ ถ้าผมจะขอคุณเพลงขวัญเต้นรำด้วยกัน”
“อ้อ...ได้สิครับ” อีกฝ่ายตอบอย่างไม่ลังเล คนถูกพูดถึงจึงตาเบิกกว้างด้วยความตกใจ
“แต่หนูเต้นรำไม่เป็นนะคะ”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะช่วยสอนให้” เขาว่าพลางส่งมือมาให้เธอจับไว้ เพลงขวัญจึงต้องวางฝ่ามือลงบนนั้นแล้วให้เขาพาเธอไปยังลานเต้นรำ
“หนูบอกคุณแล้วนะว่าหนูเต้นไม่เป็น” หญิงสาวก้มหน้าตอบ อยู่ ๆ ก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก พอได้เห็นหน้าเขาใกล้ ๆ เธอกลับต้องแปลกใจไม่คิดว่าคนอายุสามสิบเจ็ดจะดูแลตัวเองจนมีใบหน้าที่อ่อนกว่าวัยได้ขนาดนี้
“ตื่นเต้นเหรอ มือเย็นเชียว”
“ก็ต้องตื่นเต้นอยู่แล้วสิคะ ก็หนูไม่เคยเต้นรำนี่” เป็นอีกครั้งที่เธอก้มหน้าไม่กล้าจะสบตาเขา ยิ่งได้กลิ่นน้ำหอมอ่อน ๆ ลอยเข้ามาปะทะจมูก เธอก็รู้สึกคล้ายจะเป็นลมอยู่รอมร่อ
“เอามือวางไว้บนไหล่ฉันสิ”
“เอ่อ...ค่ะ” เพลงขวัญตอบด้วยท่าทีประหม่า ฝ่ามือเล็กวางลงบนไหล่กว้างก่อนที่เขาจะจับประคองเอวบางเอาไว้ ส่วนมืออีกข้างก็สอดประสานกันแล้วขยับเคลื่อนไหวไปตามจังหวะของเพลงที่ถูกบรรเลงขึ้นจากบนเวที
“ใจคอจะไม่เงยหน้ามองคู่เต้นรำหน่อยหรือไง”
“ไม่ค่ะ หนูกำลังใช้สมาธิอยู่” เธอตอบทั้งที่สายตายังก้มหน้ามองเท้าของตัวเองเพื่อตั้งสมาธิให้เคลื่อนไหวไปตามเขาให้ถูกจังหวะ
“แต่เธอกำลังจะกลายเป็นตัวตลกของงานอยู่นะ”
“คะ!? ” ประโยคนั้นทำให้เพลงขวัญต้องเงยหน้าขึ้นสบตา ทันทีที่สายตาสอดประสานกันเธอก็รู้สึกราวกับว่าตัวเองกำลังถูกดึงดูดให้ตกอยู่ในภวังค์
ใบหน้าที่ละม้ายคล้ายกับชาวยุโรปกับปลายจมูกที่โด่งเป็นสันบวกกับริมฝีปากบางสีชมพูระเรื่อ ดึงดูดสายตาให้เธอเผลอจ้องมองอยู่เนิ่นนาน ผิวที่ขาวจัด ตัดกับเรือนผมสีดำขลับ เครื่องหน้าฟ้าประทานที่สมบูรณ์เพอร์เฟกต์นี้ทำให้เขาดูเหมือนกับเจ้าชายในเทพนิยายไม่มีผิด
“บอกให้มอง ไม่ได้บอกให้จ้องขนาดนั้นเสียหน่อย”
“คะ!? ” หญิงสาวชะงักกึกเหมือนถูกปลุกจากภวังค์ ขาที่ขยับเคลื่อนไหวก็พลอยสะดุดจนล้มคะมำลงในอกกว้างทำให้ราเมศร์ต้องรีบตวัดวงแขนโอบกอดร่างเธอเอาไว้
“โอ๊ะ! ขอโทษค่ะ หนูเผลอเหยียบเท้าคุณด้วย”
“ไม่เป็นไร จะเต้นต่อไหม”
“ตะ...เต้นค่ะ” อาจเป็นเพราะความเกรงใจเห็นแก่หน้าบิดาเธอจึงตอบไปแบบนั้น สองเท้าเริ่มขยับตามจังหวะเพลงอีกครั้ง มือเรียวก็ยังสอดประสานกับฝ่ามือใหญ่ อดคิดไม่ได้ว่าเธอคือเจ้าหญิงในนิทานที่กำลังเต้นรำกับเจ้าชายผู้เลอโฉม
“เริ่มเต้นเป็นแล้วนี่” อีกฝ่ายกล่าวชื่นชมพร้อมกับรอยยิ้มจาง ๆ
“ขอบคุณค่ะ”
“เมื่อกี้เธอบอกว่าเธอชื่อเพลงขวัญใช่ไหม” ราเมศร์ถามย้ำเพื่อให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้ฟังผิดไป
“ใช่ค่ะ ชื่อนี้พ่อเป็นคนตั้งให้ จริง ๆ เรียกขวัญเฉย ๆ ก็ได้ค่ะ”
“ขวัญงั้นเหรอ” ดวงตาคมกริบของเขาดูเหม่อขึ้นมาทันทีที่ได้ยินชื่อนั้น ถึงชื่อจริงจะไม่เหมือนกันแต่ชื่อเล่นของเพลงขวัญดันไปคล้องกับชื่อของขวัญชีวา จนเขาอดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนรักที่ตายจากไปขึ้นมาอีกครั้ง
“มีอะไรเหรือเปล่าคะ ทำไมถึงเงียบไป”
“ปละ...เปล่า เพลงจบพอดี ขอบคุณมากนะที่ให้เกียรติมาเต้นรำด้วยกัน” เราเมศร์โค้งกายให้เธอเล็กน้อยก่อนจะแยกกลับไปนั่งที่โต๊ะ ส่วนเพลงขวัญเองก็กลับไปหาภูริตด้วยสีหน้า งง ๆ
“เป็นอะไรของเขา”
“ดูท่า คุณราเมศร์เขาคงจะสนใจแกแล้วล่ะมั้ง” ผู้เป็นพ่อหันมากระซิบบอก สีหน้านั้นเดาไม่ออกเลยสักนิดว่ารู้สึกยังไง “เห็นมองตาเชื่อมซะขนาดนั้น”
“ไม่หรอกมั้งคะ” เพลงขวัญปฏิเสธ อดไม่ได้ที่จะมองกลับไปที่ราเมศร์อีกครั้ง ถึงปากจะบอกว่าไม่ใช่แต่ไม่รู้ทำไมหัวใจของเธอกลับพองโตขึ้นมาในตอนที่ได้เต้นรำกับเขาเมื่อครู่นี้
“ฉันเองก็ไม่ได้ว่าอะไรหรอกนะ แต่อย่าให้รู้ถึงหูคุณหญิงเข้าล่ะ เดี๋ยวจะจบไม่สวย”
“ค่ะ...คุณลุง” หญิงสาวได้แต่ยิ้มเจื่อน ๆ เป็นคำตอบ สังเกตว่าคนที่ถูกพูดถึงกลับออกไปก่อนที่งานจะจบก็อดรู้สึกใจหายขึ้นมาเสียไม่ได้
“แกจะกลับไปก่อนก็ได้นะ ฉันขออยู่คุยกับเพื่อนอีกสักพัก” เหมือนภูริตจะเดาใจลูกสาวออก พอเห็นว่าสายตาของเธอดูละห้อยในตอนที่ราเมศร์ออกไปจากงาน เขาจึงอนุญาตให้เธอออกไปด้วย แต่ทว่ามันก็น่าเสียดายที่เธอตามออกมาแต่ก็ไม่เจอเขาแล้ว
“บ้าจริง...นี่เราทำอะไรลงไปเนี่ย” เพลงขวัญพยายามสงบสติอารมณ์เมื่อรู้ตัวว่ากำลังวิ่งตามผู้ชายออกมา “แค่อยากทำความรู้จักเฉย ๆ ไม่ได้ทำอะไรน่าอายสักหน่อย”
อีกใจก็พยายามบอกตัวเองว่าเธอไม่ได้ทำอะไรผิด แค่มีความรู้สึกว่าอยู่กับเขาแล้วมันอบอุ่นก็เท่านั้น
“เขาคงจะกลับไปแล้ว งั้นเราก็กลับห้องดีกว่า”
เธอพึมพำบอกกับตัวเองแล้วจึงกดลิฟต์โดยสารขึ้นไปพักผ่อนบนห้อง แต่ในตอนที่กำลังจะถอดชุดออกเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นมาเสียก่อนเธอจึงต้องออกไปเปิดก่อนจะพบว่าคนที่มาเคาะคือภูริตที่มาพร้อมกับพิมพ์พลอยผู้เป็นพี่สาว
“พี่พิมพ์”
“พอดีคุณหญิงเขาโทรบอกพิมพ์ก่อนน่ะว่าเราสองคนอยู่ที่นี่ พิมพ์เลยชิ่งมาหาโดยที่เรายังไม่ทันจะไปรับ” ผู้เป็นพ่ออธิบายพลางคล้องไหล่เล็กของลูกสาวไว้
“พิมพ์ไม่อยากให้พ่อเหนื่อยนี่คะ ก็เลยชิ่งมาหาซะก่อน”
“งั้นคืนนี้เราก็นอนกับขวัญเขาไปก่อนแล้วกันนะ ยังไงพรุ่งนี้บ่าย ๆ เราก็จะกลับกันแล้ว”
“ค่ะพ่อ” พิมพ์พลอยรับปากแล้วจึงลากกระเป๋าใบใหญ่ กระแทกไหล่เล็กของน้องสาวเข้าไปในห้อง เพลงขวัญจึงต้องปิดประตูแล้วแบ่งโซนเก็บของให้คนมาใหม่อย่างไม่มีทางเลือก
“ตามสบายนะคะ”
“ไม่ต้องบอกหรอก อันที่จริงฉันก็ไม่อยากอยู่ห้องเดียวกับเธอหรอกนะ” อีกฝ่ายว่าพลางกระแทกก้นนั่งลงบนเตียงกว้าง เห็นเพลงขวัญกำลังเปลี่ยนเสื้อผ้า เธอจึงเริ่มแผนการที่นุชรีเน้นย้ำเอาไว้ทันที “นี่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเหรอ”
“ค่ะ หนูว่าจะนอนแล้ว”
“อะไรกัน อุตส่าห์แต่งตัวสวยทั้งที ออกไปเที่ยวให้คุ้มก่อนสิ” คนเจ้าแผนการเดินเข้ามาหยุดเบื้องหลังแล้วจ้องมองน้องสาวผ่านเงาสะท้อนในกระจก
“ไปเที่ยวที่ไหนเหรอคะ หนูออกไปข้างนอกไม่ได้หรอกค่ะ คุณพ่อสั่งไว้”
“ก็อย่าให้พ่อรู้สิ เดี๋ยวฉันพาไปเอง ที่นี่ฉันรู้ทุกซอกทุกมุมนั่นแหละ” พิมพ์พลอยขันอาสาในขณะที่กำลังซ่อนแผนร้ายเอาไว้ในใจ
“แต่ว่า...”
“ไม่เสียดายหรือไง อุตส่าห์มาต่างประเทศทั้งที แต่พ่อไม่อนุญาตให้ออกไปไหนเลย ไปเถอะ เดี๋ยวฉันพาไป” อีกฝ่ายคะยั้นคะยอ พยายามโน้มน้าวจนเพลงขวัญใจอ่อนยอมตามออกไปด้วยทั้งที่ยังสวมชุดเดรสกระโปรงยาว
“เราจะไปไหนกันเหรอคะ”
“ไปเปิดหูเปิดตาไง” พิมพ์พลอยตอบ หลังจากนั้นก็รีบพาน้องสาวไปขึ้นรถที่เรียกให้มารับ อาศัยตอนที่เพลงขวัญกำลังดื่มด่ำกับบรรยากาศยามค่ำคืน รีบติดต่อไปหากลุ่มเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันให้เดินทางไปยังสถานที่นัดหมาย เพื่อเริ่มแผนการกำจัดน้องสาวนอกไส้ออกไปจากชีวิต