“ว่ายังไงข้าว เธอเหมือนคนกำลังมีความรัก” นาตาลีลองเอ่ยอย่างที่ใจคิดพร้อมจับผิดเพื่อนไปด้วย หรือว่าจะมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นในตอนที่เธอไม่อยู่บ้าน
“อืม” ขวัญข้าวเพียงแต่พยักหน้ารับด้วยท่าทางเขินอายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“จริงหรือข้าว” นาตาลีตกตะลึงจนตาโตถึงกับต้องถามย้ำ
ขวัญข้าวไม่ตอบ เธอทำเพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อย
“เล่ามาเดี๋ยวนี้เลยข้าว กับใครยังไง” นาตาลีรีบเร่งเร้าเพื่อนสาว
พอเพื่อนถามอย่างนี้ขวัญข้าวก็ยังนิ่งอยู่ ไม่ใช่ว่าเธออยากปิดบังแต่เธอไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี แต่ดูเหมือนว่านาตาลีจะใจร้อนเกินไป
“พี่เพชรหรือข้าว” นาตาลีคาดเดาถึงรุ่นพี่หนุ่มที่ตามจีบเพื่อนของเธอมาเนิ่นนาน เพราะดูแล้วเข้าเค้าที่สุด
“ไม่ใช่หรอก” ขวัญข้าวปฏิเสธแต่ยิ่งทำให้นาตาลีสงสัยเข้าไปอีก
“แล้วใครล่ะข้าว” สาวลูกครึ่งพยายามครุ่นคิด แต่คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก เพราะเพื่อนของเธอก็มีคนมาจีบอยู่ไม่ใช่น้อย แต่เพื่อนของเธอไม่มีทีท่าว่าจะชอบใครเป็นพิเศษ ยกเว้นเสียแต่คนหนึ่งเท่านั้น แต่มันจะเป็นไปได้หรือ
ขณะที่นาตาลีกำลังครุ่นคิดเสียงมือถือของขวัญข้าวก็ดังขึ้น
“ฮัลโหลค่ะ” ขวัญข้าวกดรับ
“เลิกเรียนหรือยังข้าว” ปลายสายเอ่ยถาม
“เลิกแล้วค่ะ” เธอตอบ
“ฉันจอดรถรอเธออยู่ที่เดิม” เขาบอก
“ค่ะข้าวจะรีบไปค่ะ” เธอเอ่ยกลับไป
“เอ่อแล้วยัยแนทอยู่กับเธอด้วยหรือเปล่า” ปลายสายเอ่ยถามต่อ
ขวัญข้าวมองหน้าเพื่อนสนิทที่พยามยามเงี่ยหูฟังโทรศัพท์เธออย่างเต็มที่ก่อนตอบออกไป “ค่ะ”
“งั้นฝากบอกยัยแนทด้วยว่าวันนี้ไม่ต้องรอกินข้าวเย็นพร้อมฉันเพราะฉันจะไปดินเนอร์กับเมีย” ประโยคนี้ทำให้ขวัญข้าวหน้าแดงและเผลอค้อนลมค้อนแล้งโดยไม่รู้ตัว เธอคิดในใจว่าใครจะไปกล้าพูดอย่างนั้นล่ะ
ท่าทางของเพื่อนทำให้นาตาลียิ่งอยากรู้เข้าไปใหญ่ ดังนั้นพอขวัญข้าววางสายแล้วเธอจึงรั้งเพื่อนไว้ทันที “ใครกันข้าว ฉันรู้จักใช่มั้ย”
“อืม” ขวัญข้าวยอมรับอย่างเขินอาย
ตอนนี้ต่อมอยากรู้ของนาตาลียิ่งถูกกระตุ้น เธอไม่สนแล้วว่าใครกำลังรอเพื่อนของเธออยู่ แต่เธอจะไม่ปล่อยตัวเพื่อนไปง่าย ๆ จนกว่าจะได้รับคำตอบแน่ ๆ
“ถ้ายังเห็นฉันเป็นเพื่อนก็บอกฉันมาเลยข้าว เดี๋ยวนี้มีเรื่องปิดบังหรือ” นาตาลีแกล้งยกเรื่องความเป็นเพื่อนมาขู่เพราะรู้ดีว่าเพื่อนสาวค่อนข้างใส่ใจกับเรื่องนี้
“ไม่ใช่อย่างนั้นคือฉันไม่รู้ว่าจะเริ่มเล่ายังไงดี” ขวัญข้าวรีบแก้ความเข้าใจผิด
“คือ...” ขวัญข้าวทำท่าจะพูดต่อ แต่ยังไม่ทันที่จะได้เอ่ยปากพูดอะไรอีก เสียงมือถือก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง แต่คราวนี้เป็นของนาตาลีแทน
“ค่ะแด๊ด” นาตาลีกดรับ
เมื่อได้ยินว่าคู่สนทนาของเพื่อนเป็นใครขวัญข้าวเลยตั้งใจฟัง
“วันนี้เลิกเรียนแล้วอย่าเถลไถล กลับบ้านด้วยล่ะ แล้วก็ไม่ต้องรอดินเนอร์พร้อมแด๊ด” ผู้เป็นพ่อเอ่ยประโยคที่ฝากบอกกับขวัญข้าวให้ลูกสาวฟังอีกที
ที่จริงตรงที่พอลจอดรถอยู่เขามองเห็นสองสาวยืนคุยกันอยู่นานแล้วแต่ไม่รู้ว่าคุยอะไรกัน แต่ดูเหมือนว่าลูกสาวของเขากำลังรั้งเพื่อนของตนไม่ให้ไปไหน ดังนั้นในฐานะพ่อจึงต้องจัดการเสียหน่อย
“อ่อ แล้วปล่อยตัวเพื่อนเราออกมาได้แล้ว” พอลเอ่ยสั่งลูกสาว ทำให้นาตาลีรู้สึกแปลกใจว่าพ่อของเธอรู้ได้อย่างไร
นาตาลีหันมองซ้ายมองขวาด้วยความสงสัย การที่พ่อของเธอพูดอย่างนี้แสดงว่าเขาต้องอยู่แถวนี้ ส่วนพอลก็นั่งขำกับท่าทางของลูกสาวตัวดี
“แด๊ดอยู่แถวนี้หรือคะ” เธอกรอกเสียงถามกลับ แล้วสายตาก็ไปสะดุดกับรถที่คุ้นตายังที่จอดประจำเวลาที่เขามารับเธอ นาตาลีจึงตัดสายแล้วจูงมือเพื่อนของเธอเดินตรงไปยังรถคันนั้นทันที ส่วนพอลคิดว่าอย่างนี้ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เสียเวลา
เมื่อเห็นว่าสองสาวกำลังเดินตรงมาทางนี้พอลจึงออกมารอนอกรถ และโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงนาตาลีก็เอ่ยปากถามพ่อทันที
“แด๊ดมาได้ไงคะเนี่ย”
“ฉันก็มารอรับเมียฉัน”
คำตอบของบิดาทำให้นาตาลีรู้สึกแปร่งหูและสงสัย ส่วนสาวอีกคนตอนนี้ยืนเงียบกริบไม่คิดว่าเขาจะกล้าเอ่ยอะไรอย่างนี้ออกมา เธอยังไม่ได้เคลียร์กับเพื่อนสนิทเลย
“แด๊ดหมายความว่าไง” ลูกสาวคาดคั้นอย่างเอาเรื่อง
พอลทำท่ายักไหล่ก่อนเอ่ย แต่สายตากลับจ้องไปยังร่างบางที่ยืนคู่กับลูกสาวของตน “ก็หมายความตามที่พูด”
ด้วยความที่เป็นคนหัวไวและสนิทกับบิดามากทำให้เหมือนกับว่านาตาลีเริ่มจะเข้าใจอะไรได้ลาง ๆ เธอมองบิดาตัวเองสลับกับเพื่อนสนิทไปมา และท่าทางเขินอายของเพื่อนเหมือนเป็นการเพิ่มความมั่นใจของเธอได้ในระดับหนึ่ง
“แด๊ดกับข้าว” นาตาลีพูดอยู่แค่นั่นแล้วมองหน้าบิดาสลับกับเพื่อนตัวเองอีกอีกครั้ง
บิดาของตัวเองทำสีหน้าระรื่นจนน่าหมั่นไส้ในขณะที่เพื่อนของเธอเอาแต่ก้มหน้างุดตัวแทบบิด
พออะไร ๆ เริ่มกระจ่างทำให้นาตาลีตะลึงค้างจนพูดอะไรไม่ออก เธอพอรู้ว่าเพื่อนของเธอนั้นเหมือนจะมีใจให้กับพ่อของเธอ แต่กับพ่อของเธอนี่สิ
เอ๊ะ! แล้วเมื่อครู่ที่แด๊ดเรียกเพื่อนของเธอว่าเมีย นี่อย่าบอกนะว่า...
“แด๊ดขอตัวก่อนนะยัยแนท แล้วเจอกันที่บ้าน” นาตาลียังไม่ทันได้เอ่ยถามอะไรให้กระจ่าง พ่อของเธอก็พูดตัดบทขึ้นมาเสียก่อน แล้วพาเพื่อนของเธอไปโน่นแล้ว
นาตาลีเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอยู่ในใจ บอกตัวเองว่าไม่เป็นไร ถึงอย่างไรวันนี้เธอก็ต้องเค้นเรื่องราวของทั้งคู่ออกมาให้ได้ เธออยากรู้ว่าพ่อของเธอนั้นหื่นจัดจนจับปล้ำเพื่อนเธอตอนที่เธอไม่อยู่ หรือว่าเป็นเพื่อนของเธอสมยอมเอง แต่ดูทรงแล้วคงจะเป็นอย่างหลังมากกว่า ยัยข้าวนะยัยข้าว เสร็จตาเ*******ูจนได้
เมื่อเข่นเขี้ยวเพื่อนตัวดีกับพ่อสุดหื่นเสร็จแล้วนาตาลีก็หันหลังกลับเพื่อที่จะเดินไปที่รถตัวเองแล้วกลับบ้านบ้าง แต่แล้ว...
โครม! เธอกลับชนเข้ากับใครคนหนึ่ง
“ขอโทษค่ะ” เธอรีบกล่าวขอโทษทันที
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้นมามองคนที่ถูกเธอชนเสียแรงเธอก็นิ่งค้าง คิดในใจว่าชนใครไม่ชนแต่ดันมาชนคนที่เธอไม่อยากเข้าใกล้มากที่สุดในมหาวิทยาลัย
“อาจารย์พฤกษ์” เธอหลุดเรียกชื่อคู่กรณีออกมา
“ใช่ฉันเอง” คู่กรณีตอบพร้อมจ้องตาสาวลูกครึ่งตรงหน้า
“เอ่อ...ขอตัวก่อนนะคะ” นาตาลีหลบตาเขาแล้วรีบเดินออกไปจากที่ตรงนี้ทันที
ส่วนอาจารย์หนุ่มก็ยืนมองลูกศิษย์สาวเดินจนลับสายตาไปโดยที่สีหน้าไม่ได้แสดงอะไรออกมาทั้งนั้น แต่ถ้าสังเกตให้ดีจะภพว่าแววตาของเขามีประกายอะไรบางอย่าง
ด้านขวัญข้าวที่ขึ้นรถมากับพอลแล้วก็นั่งเงียบมาตลอดทาง ใบหน้าของเธอติดจะบึ้งอยู่สักเล็กน้อยจนหนุ่มใหญ่ต้องเอ่ยถามออกมา
“เป็นอะไรไปฮึข้าว”
“ก็แด๊ดน่ะสิคะ” เธอว่าอย่างกระเง้ากระงอด
“ฉันทำไมหรือ” เขาถามกลับอย่างสงสัย
“ทำไมแด๊ดไปพูดกับแนทอย่างนั้น” เธอว่า
“ฉันพูดอะไร” หนุ่มใหญ่แกล้งไม่เข้าใจ
“ก็เรื่องที่ข้าวกับแด๊ด...เอ่อ...” พอลหลุดขำกับอาการของเด็กสาว
“ฉันพูดเรื่องจริงนี่” เขาพูดอย่างไม่ยี่หระ
“แต่ข้าวยังไม่ได้คุยกับแนทเลย ไม่รู้แนทจะคิดยังไง” เธอว่าอย่างกังวลถึงความรู้สึกของเพื่อน
“ยัยแนทก็คงจะสนับสนุนเราสองคนละสิไม่ว่า” เขาตอบแทนลูกสาวเพราะรู้ความคิดของลูกสาวดี
ก่อนหน้านี้เขาก็พอดูออกอยู่ว่าลูกสาวพยายามส่งเสริมเขากับขวัญข้าว แต่เขามัวแต่กังวลเรื่องอายุกับภาพลักษณ์รวมถึงความรู้สึกของเด็กสาว ทำให้เขาเลือกที่จะปฏิเสธมาตลอด
เขาลองมาคิดดูว่าถ้าเขาเชื่อคำยุของลูกสาว ป่านนี้เขากับขวัญข้าวคงลงเอยกันไปตั้งนานแล้ว นึกแล้วเขาก็เผลอหัวเราะออกมา