ตอนที่หนึ่ง 2

1847 Words
1800 น ณ สนามบินสุวรรณภูมิ เมื่อตกลงเกี่ยวกับรายละเอียดของงานพร้อมกับรับข้อมูลเที่ยวบินของยัยหนูน้ำผึ้งของผู้บังคับบัญชามาเรียบร้อย เขาก็มายืนเตร็ดเตร่ที่สนามบินแห่งนี้เพื่อรอรับหญิงสาวตามเวลาที่กำหนดไว้ “ลูกสาวของผมอาจจะดื้อรั้น เอาแต่ใจว่ายากสักหน่อยนะผู้กอง ผมอนุญาตให้คุณจัดการกับแกได้ตามความเหมาะสมนะ” ชายหนุ่มอมยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดที่ผู้เป็นบิดาของมธุรสลดาเอ่ยไว้ก่อนหน้านี้ เขาเลยพลอยนึกถึงว่าลักษณะนิสัยของเธอช่างเหมือนดาริกาภรรยาเพื่อนรักเขาเสียเหลือเกิน มันทำให้เขาอดนึกถึงคำพูดที่เคยพูดเล่นๆ กับดาริกาไม่ได้ว่า ผู้หญิงที่เขาจะแต่งงานด้วยต้องเป็นเหมือนดาริกาเท่านั้น (เหมือนตรงที่สวย เก่ง อาจจะร้ายนิดหน่อยแกมๆ มาก็ไม่เป็นไร เขาทนได้) แล้วคนอย่างดาริกาก็หายากแสนเข็ญเขาเลยไม่ได้แต่งงานแต่งการกับใครเสียทีเพราะหาคนอย่างดาริกาไม่เจอ แล้ววันนี้เขาก็เจอแล้ว ไม่รู้ว่าคุณหนูน้ำผึ้งกับคุณนายดาริกานั้นใครจะร้ายกว่ากัน อันนี้ก็ต้องคอยดู และเฝ้าติดตามกันต่อไป เมื่อเห็นกลุ่มคนเดินเข็นรถกระเป๋ากันมาประปราย และก็เห็นขบวนของพนักงานสายการบินที่ประกอบไปด้วยนักบิน แอร์โฮสเตส และสจ็วตของสายการบินที่มธุรสลดานั่งมาเดินออกมาพร้อมกันเป็นขบวน เขาก็หันมาตั้งใจมองกลุ่มคนมากขึ้นเพื่อสแกนหาเธอในหมู่คนนั้น เขาไม่ได้เขียนป้ายชื่อของเธอให้วุ่นวายเพราะว่าใบหน้าหวานๆ ทรงผมสั้นสีจัดในรูปนั้นเห็นครั้งเดียวก็จดจำได้ และเขาเพิ่งเห็นประโยชน์ของหัวแดงๆ ชี้ๆ ของเธอก็คราวนี้เอง มันช่างจดจำได้ง่ายนัก เมื่อผู้คนเดินผ่านไปคนแล้วคนเล่า ทั้งไทยทั้งฝรั่งเดินผ่านไปก็หลายคนแต่เขาก็ยังไม่เห็นเธอเดินออกมาสักที ระหว่างที่เฝ้ามองหาเธออยู่นั้นพลันสายตาของเขาก็สะดุดกับคนที่เฝ้ารอนั่นคือหญิงสาวเจ้าของรูปร่างเพรียวบางกับทรงผมที่เปลี่ยนสีจากในรูปเป็นสีน้ำตาลและเริ่มยาวกว่าที่เคยเห็นในรูปนิดหน่อย เธอเซตผมอย่างเก๋ไก๋ ดวงหน้าเรียวเล็กนั้นถูกแว่นกันแดดอันโตสีชมพูอ่อนปิดเสียแทบมิด วันนี้เธอไม่ได้แต่งตัวแสบสันต์อย่างที่นึกกลัวแต่ก็ไม่ทิ้งลายความเป็นคนตามกระแสแฟชั่นด้วยการสวมเดรสหรูสีขาวยาวเหนือเข่า สวมทับด้วยแจ็คเก็ตสีเทา ตบท้ายด้วยรองเท้าส้นเข็มสูงปรี๊ดสีเงิน เจ้าตัวมองไปมองมาแล้วก็เดินมาทางเขาด้วยท่วงท่าที่เขาต้องอุทานในใจ แม่เจ้า นี่เธอคิดว่าเดินอยู่บนแค็ตวอล์คหรือไงนะ เสื้อผ้าหน้าผมการแต่งกายถึงได้หรูเริ่ดอลังการได้ใจจริงๆ ถ้าใครไม่รู้จักคงคิดว่าเป็นดารานางแบบคนใดคนหนึ่งในวงการบันเทิงแน่ๆ “ช่างมาดมั่นเสียจริงหนอแม่คุณ” เขาพึมพำกับตัวเองเบาๆ แล้วเดินมุ่งหน้าไปหาเธอเช่นกันกับที่เธอเดินตรงมาที่เขา “คุณน้ำผึ้งครับ” มือเรียวดึงแว่นตาออกจากดวงหน้าให้เขาได้เห็นดวงตาสวยหวานชัดๆ แล้วเธอก็แย้มยิ้มให้เขากลับมา “คุณบอดี้การ์ด” น้ำเสียงที่หวานไม่แพ้ดวงตาคู่นั้นของเธอเอ่ยออกมา แต่แทนที่จะหลงไหลได้ปลื้มเขากลับผงะไปชั่วขณะ “เอ่อ เรียกชื่อผมดีกว่าครับ คุณอาจจะทราบมาก่อนแล้วก็ได้ ผมจะบอกตรงนี้อีกครั้งก็แล้วกันนะครับว่าผมชื่อชิน อย่าเรียกว่าบอดี้การ์ดเลยมันรู้สึกแปลกๆ น่ะครับ” ถึงแม้ว่าจะรู้188ว่าตนเองทำหน้าที่อะไรแต่เขาเองก็ไม่ชินที่จะถูกเรียกอย่างนี้ “ก็ได้ค่ะคุณชินจัง” “ถ้าจะดีก็เรียกว่าชินเฉยๆ ดีกว่าครับ” เขาบอก แล้วมองว่าเธอช่างขยันยิ้มแย้มและมีอารมณ์ขันเสียจริงขณะที่เขานั้นยืนหน้าตึงเรียบเฉยราวกับเพิ่งเอาเตารีดนาบมา “ไม่ต้องทำหน้าดุขนาดนั้นก็ได้ค่ะ น้ำผึ้งว่าชื่อชินเฉยๆ ไม่เข้ากับหน้าคุณสักนิด เรียกคุณว่าชินจังนั่นแหล่ะเหมาะสมที่สุดแล้ว แต่เอ หรือว่าน้ำผึ้งจะเรียกคุณว่าชินโหดดีนะ หน้าดุขนาดนี้” เธอยังคงแกล้งพูดเล่นหัวกับเขาไปเรื่อยเปื่อย โดยไม่แคร์เลยว่าเขากับเธอเพิ่งจะรู้จักกันวันนี้นี่เอง “อยากจะเรียกอะไรก็ตามใจเถอะครับ” “แหม อย่าเพิ่งอารมณ์เสียสิคะคุณบอดี้การ์ดมาดโหด” เธอยังจีบปากจีบคอพูดจนเขาเส้นประสาทกระตุกตุบๆ ขนาดเจอกันครั้งแรกเธอยังทำให้เขาเวียนหัวได้ขนาดนี้เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าอีกเจ็ดวันที่เหลือชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร “ผมว่าเราควรรีบไปกันนะครับ อยู่เป็นเป้านิ่งกลางที่สาธารณชนอย่างนี้อาจจะไม่เป็นผลดีกับคนที่กำลังตกอยู่ในอันตรายอย่างคุณ” เขาเตือนน้ำเสียงเรียบๆ “แหมคุณชินจังขา ถ้าน้ำผึ้งจะไปนอนอุดอู้อยู่ในบ้านเฉยๆ ไม่ออกไปไหนน้ำผึ้งก็ไม่ต้องมีบอดี้การ์ดให้เปลืองเงินค่าจ้างหรอกค่ะ ที่อยากมีคนมาคอยคุ้มครองก็เพราะว่าอยากอยู่กลางที่สาธารณชนด้วยความอุ่นใจต่างหากล่ะคะ” “ถ้าอย่างนั้น ก็แล้วแต่คุณก็แล้วกัน” เขาลอบถอนใจ รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังกวนประสาทเขาชัดๆ “คุณชินจัง ทำไมต้องทำอารมณ์เสียขนาดนั้นด้วยล่ะคะ ถ้าคุณไม่เต็มใจที่จะมาคอยคุ้มกันให้น้ำผึ้งคุณก็น่าจะบอกคุณพ่อดีๆ ก็ได้นี่คะ” เจ้าตัวพูดด้วยน้ำเสียงดีขึ้นเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายทำท่าระอาใจในการก่อกวนของเธออย่างเห็นได้ชัด มันก็สนุกที่ได้ทำให้หน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ของเขามีแววยับย่นอยู่หรอก แต่กลัวว่าถ้าเกิดเล่นมากไปคุณชินจังของเธอจะเผ่นหนีเสียก่อน อะไรอะไรมันจะไม่ได้เป็นอย่างใจเอา ที่สำคัญที่สุดคือ อย่างน้อยมธุรสลดายังเหลือเวลาอีกตั้งเป็นอาทิตย์ที่จะได้เล่นแหย่คุณบอดี้การ์ดมาดขรึมให้หลุดเสียฟอร์มพ่ายแพ้ต่อเธอ ฝ่ายชยธรก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายรู้สึกผิด ทั้งเห็นดวงหน้านิ่งๆ ตาแป๋วๆ ของเธอแล้วก็ค่อยลดท่าทีลง นึกขึ้นได้ว่าเขาทำไมต้องไปทำอารมณ์ขุ่นเคืองกับเจ้าตัวด้วย เธออาจจะไม่ได้ผิดก็ได้ที่เป็นคนขี้เล่นช่างพูดคุย แต่อาจจะผิดที่เขาที่ไม่ชินกับการต่อล้อต่อเถียงกับผู้หญิงก็เป็นได้ “ผมไม่เคยรับงานที่ไม่เต็มใจทำ” เขาพูดแก้ต่าง แต่กระนั้นน้ำเสียงก็ยังเรียบเหมือนเดิม “น้ำผึ้งนึกว่าคุณโดนบังคับมาเสียอีก ทำหน้าเต็มใจเหลือเกิน” “ไม่หรอก” เขาหัวเราะน้อยๆ กับความคิดของเธอ เมื่อเห็นเขาแย้มยิ้มออกมาได้ เธอก็ทำตาโตด้วยความแปลกใจ “คุณยิ้มกับเขาก็เป็นด้วยเหรอคะเนี่ย” พอได้ยินเธอทักเท่านั้น เขาก็หุบปากฉับ กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิม “ผมว่าเรารีบไปกันเถอะครับ ยืนอยู่ตรงนี้ก็ขวางทางเขาเปล่าๆ” เขาบอกแล้วก้มมองหากระเป๋าเดินทางของเธอ แต่ก็ไม่มีสักใบมีเพียงกระเป๋าลาคอสท์ที่เธอสะพายติดตัวมา “คุณไม่มีกระเป๋ามาด้วยเหรอ” “ไม่มีหรอกค่ะ ที่น้ำผึ้งยังไม่รีบเดินออกมาไม่ได้รอกระเป๋าหรอกค่ะแต่รอเดินออกมาตอนคนน้อยๆ ดีกว่าเพราะขี้เกียจเจอคนที่เขามารับกันขวางทางหลายคน เดี๋ยวคนเยอะๆ หาคุณชินจังไม่เจอ เลยต้องมาตอนคนซาๆ แล้ว” “หาผมไม่เจอเหรอ คุณรู้ด้วยเหรอว่าผมหน้าตาเป็นยังไง” “เอ่อ เปล่ารู้จักหรอกค่ะ น้ำผึ้งถึงได้เดินมาตอนคนน้อยๆ ไงคะ ถ้าเจอคนที่มายืนรอรับอยู่คนเดียวน้ำผึ้งก็เดินเข้ามาหาเลย” “อ๋อ แล้วคุณไม่เตรียมข้าวของเครื่องใช้หรือเสื้อผ้ามาเลยเหรอ” “ไม่หรอกค่ะ เดี่ยวมาซื้อที่เมืองไทยนี่แหล่ะ” “ง่ายดีนะ” “ค่ะ แล้วว่าแต่คุณพ่อไม่ได้มารับน้ำผึ้งเหรอคะ” “ท่านติดราชการที่เวียตนามเลยให้ผมมารับคุณแทน” “เฮ้อ เป็นตำรวจนี่ไม่ว่างตลอดเลยเนาะคุณชินจัง เวลาให้ประชนนั้นแทบจะยี่สิบสี่ชั่วโมงแต่เวลาให้ครอบครัวก็แทบจะไม่มี ถ้าเป็นคุณ คุณอย่าทำแบบนี้นะคะเดี๋ยวมีลูกแล้วจะเกิดมาเป็นเด็กมีปัญหาแบบน้ำผึ้ง” มธุรสลดาแกล้งบ่นไปเรื่อยๆ ทั้งที่รู้ดีอยู่แล้วว่าวันนี้บิดาไม่ได้มารับตนเอง ขณะที่ชยธรอมยิ้มกับคำพูดของเธอ แหม รู้ตัวด้วยแฮะว่าตัวเองเป็นเด็กมีปัญหา “ยิ้มอะไรคะคุณชินจัง” “ผมยิ้มเฉยๆ ไม่มีอะไร ไปกันเถอะครับถ้าไม่มีกระเป๋าคุณก็เดินตามผมมาก็แล้วกัน” เขาเดินนำหน้าเธอออกมาเสียเฉยๆ อันที่จริงตามวิสัยการเป็นบอดี้การ์ดที่ดีนั้นจะต้องให้คนในคุ้มครองเดินนำหน้า แล้วเขาต้องเดินตามหลังระแวดระวังภัยให้ แต่กรณีนี้เขาเลือกที่จะเดินนำหน้าหญิงสาวออกมาเพราะว่าขืนรอให้เธอตัดสินใจกลับเองคงเป็นพรุ่งนี้เช้าแน่นอน เพราะเธอเอาแต่ชวนเขาคุยอยู่อย่างนั้น “เดี๋ยวคุณชินจัง รอน้ำผึ้งด้วยสิคะ เดินเร็วจริง” เสียงบ่นอุบอิบที่ดังตามหลังมาทำให้เขาหันกลับไปมองด้วยสีหน้าเรียบๆ “ถ้าอย่างนั้นคุณเดินก่อนผมก็ได้ครับ เดี๋ยวผมเดินตามคุณไป” “ไม่เอาค่ะ น้ำผึ้งไม่ชอบเดินคนเดียว เราเดินไปพร้อมกันดีกว่า” เธอเถียงแบบคนที่ไม่เคยยอมให้ใครขัดใจ “ตามใจครับ” เขาบอกอย่างเสียไม่ได้ มธุรสลดายิ้มอย่างพึงพอใจในชัยชนะแล้วก็เดินมาอยู่ข้างๆ เขา แขนเล็กคว้าแขนเขาไว้หน้าตาเฉย เขาก้มลงมองแขนเธอด้วยความงุนงง “พื้นมันลื่นน่ะค่ะ น้ำผึ้งกลัวล้ม” เธอตอบเหตุผลแล้วดึงแขนเขาให้เดินออกมาจากบริเวณนั้นพร้อมๆ กัน ผู้กองหนุ่มก้มมองรองเท้าสูงปรี๊ดของเธอแล้วก็ส่ายหัว ใส่รองเท้าสูงขนาดนี้แล้วเจ้าตัวยังกล้ากลัวลื่นล้ม ก็แล้วทำไมไม่ใส่ให้มันเตี้ยๆ กว่านี้กันนะ
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD