ตอนที่หนึ่ง 1

1273 Words
“ถึงเวลาแล้วเหรอผู้กอง” น้ำเสียงกังวานทรงอำนาจของท่านชิษณุรักษ์ พันธุมจรินพร เอ่ยถามลูกน้องใต้บังคับบัญชา น้ำเสียงแสดงความเสียดายอย่างเห็นได้ชัดเมื่อนายตำรวจเถรตรงฝีมือดีอย่างรตอ ชยธร ตระกูลก้องเกียรติยื่นใบลาออกจากราชการ เพื่อไปประกอบธุรกิจส่วนตัว แม้ว่าลูกน้องคนนี้จะเคยเกริ่นกับเขาไว้มานานแล้วหากแต่พอเขาลาออกจริงๆ ก็อดเสียดายลูกน้องฝีมือดีที่รู้ใจกันไม่ได้            “ครับท่าน พ่อแม่ของผมอยากวางมือจากกิจการเต็มที่แล้ว แล้วงานช่วงนี้ก็ขยายตัวมากจนผมต้องเข้าไปช่วยจริงๆ จังๆ แล้วครับท่าน” ชายหนุ่มตอบ อันที่จริงแล้วครอบครัวเขาเป็นครอบครัวนักธุรกิจทำการค้าขายมาตั้งแต่สมัยบรรพบุรุษไม่มีลูกหลานคนไหนรับราชการเลย เขาเองก็รู้ตัวดีว่าเติบโตมาต้องมารับช่วงกิจการของครอบครัวแต่ความฝันที่อยากเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ทำให้เขาแหกกฎของครอบครัวขอเวลามาทำตามความฝันก่อนที่จะไปทำกิจการที่บ้าน ซึ่งตอนนี้ก็หมดเวลาที่จะต้องทำงานที่รักไปทำกิจการที่บ้านต่อแล้ว            “ผมเข้าใจ ถึงคุณจะไม่ได้อยู่ในวงการตำรวจแต่คุณก็ทำเพื่อชาติเพื่อบ้านเมืองได้ไม่ต่างกันหรอก ผมเพียงแค่เสียดายที่ขาดลูกน้องฝีมือดีไป ถ้าคุณอยู่วงการนี้ต่อประชาชนคงได้อุ่นใจไปอีกนาน พอออกไปแล้วก็หาตัวตายตัวแทนยากเหมือนกันนะ” ท่านหัวเราะเบาๆ            “ก็หมวดบิ๊ก หมวดนายไงครับตัวตายตัวแทนผม” เขาเอ่ยถึงลูกน้องคนสนิทอีกสองนายที่เป็นตำรวจตงฉินเช่นกัน            “สองคนนั้นน่ะเหรอ ไอ้ที่ว่าดีก็ดีอยู่หรอก แต่ถ้าความทะลึ่งทะเล้นของพวกมันลดลงหน่อยก็ดี ต้องเอาแบบขรึมๆ มาดนิ่งๆ อย่างคุณนี่แหล่ะผู้ร้ายจะได้เกรงๆ หน่อย” ผู้เป็นนายพร่ำบ่นไปตามประสาคนใกล้เกษียณ ส่วนคนถูกหาว่าเคร่งขรึมยิ้มรับไม่ได้ว่าอะไร มันก็จริงมากที่สุดที่เวลาเขาอยู่ที่ทำงาน สวมเครื่องแบบ วิ่งจับผู้ร้ายทำลายวงพนัน มาดของเขาจะนิ่งขรึมน่าเกรงขามสมกับที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็จริง แต่น้อยคนนักที่จะรู้ว่าเจ้าของหน้าตาดุๆ มาดขรึมๆ ที่แม้แต่คนร้ายก็เกรงจนสารภาพตั้งแต่ยังไม่สอบสวนนั้นบางทีเขาก็มีอารมณ์ขัน บางทีก็มีมุมที่เฮฮาซึ่งน้อยคนนักที่จะได้เห็นเพราะเขานั้นชอบสร้างกำแพงเพื่อเสริมอาชีพของตนให้น่าเกรงขามมากขึ้น เนื่องจากตั้งแต่สมัยเรียนที่เพื่อนสนิทเขามักค่อนแคะเสมอว่าหน้าอ่อนๆ อย่างเขาเป็นตำรวจใครเขาก็ไม่กลัวหรอก ยิ้มให้ผู้ร้ายแต่ละทีเขาคงนึกว่าเป็นหมอหรือเป็นดาราหน้าตี๋ๆ เอาเครื่องแบบมาสวมเล่นไปเสียอย่างนั้น เขาเลยต้องปรับบุคลิกด้วยการทำหน้าเป็นเสือยิ้มยากให้ดูน่าเกรงมากขึ้นจนเกิดเป็นความเคยชินเสียแล้ว            “ถ้าออกจากเป็นตำรวจแล้ว ผมก็ยังอยากขอเรื่องหนึ่งก่อน อยากให้ทำงานอะไรบางอย่างให้หน่อยน่ะ” พลตอ ชิษณุรักษ์ เอ่ยอย่างจริงจังมากขึ้นเมื่อวกเข้ามาถึงเรื่องงาน            “งานอะไรเหรอครับท่าน”            “คุ้มครองแขกของผม” ผู้สูงวัยกว่าเอ่ยก่อนที่จะก้มลงไปค้นหาของบางอย่างในลิ้นชัก ชยธรขมวดคิ้วเป็นปมสงสัย ปกติแล้วผู้เป็นนายไม่ค่อยยกงานอย่างนี้ให้เขานัก ส่วนใหญ่จะให้นายตำรวจชั้นประทวนฝีมือดีไปทำมากกว่าเพราะคนที่คุ้มครองส่วนใหญ่ก็จะเป็นนักการเมืองที่ตกอยู่ในอันตราย พยานปากเอกของตำรวจ ไม่ได้คุ้มครองแขกบ้านแขกเมืองอะไรอย่างนั้นเลย            ท่านค้นหาอยู่ไม่นาน รูปถ่ายใบเล็กก็ถูกยื่นมาให้ชยธร เขารับรูปใบนั้นมาพิจารณาดู            “ผู้หญิงคนนี้ชื่อน้ำผึ้ง หรือ มธุรสลดา พันธุมจรินพร” ชื่อเสียงเรียงนามของคนในรูปถูกเอ่ยออกมา ผู้กองหนุ่มมองหน้าเจ้านายเมื่อนามสกุลนั้นเป็นที่สงสัยของเขา “ลูกสาวผมเอง” เขาจึงได้คลายความสงสัยว่าแขกที่ต้องคุ้มครองคือลูกสาวของผู้บังคับบัญชานั่นเอง            ผู้กองหนุ่มก้มลงไปพิจารณารูปใบนั้นอีกครั้ง เธอเป็นผู้หญิงที่มีดวงหน้าหวานสดใส ดวงตากลมโตงดงามมิผิดแผกผู้เป็นบิดา ริมฝีปากเล็กๆ แย้มยิ้มน้อยๆ ทำให้ดวงหน้าเล็กนั้นดูสวยหวานขึ้นมามากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่ใบหน้าสวยๆ นี้อยู่กับทรงผมสั้นย้อมสีเสียเปรี้ยวจี๊ด กับเครื่องแต่งกายแบบวัยรุ่นสีจัดๆ ทำให้ดูลดทอนความน่ารักลงมานิดหน่อย เขาคิดว่าถ้าหากจับเธอแต่งตัวให้เรียบร้อยกว่านี้ คงจะดูงดงามอ่อนหวานกว่าเดิมอีกหลายเท่าตัว  แต่ตอนนี้เขาสงสัยว่าทำไมหญิงสาวคนนี้ถึงต้องการให้มีคนคุ้มครอง เขาเคยได้ยินหลายคนในสถานีตำรวจพูดคุยกันเกี่ยวกับลูกสาวของท่านชิษณุรักษ์ว่าเธอไปเรียนที่นิวยอร์กตั้งแต่มัธยมปลายดูไปแล้วก็ไม่น่าจะตกอยู่ในอันตรายอะไร ทำไมถึงต้องการคนคุ้มครองเป็นพิเศษ            ดูเหมือนว่าท่านชิษณุรักษ์จะรับรู้ในความสงสัยของเขา ท่านจึงอธิบายสาเหตุให้ได้รับรู้ “ยัยน้ำผึ้งลูกสาวของผมไปเหยียบตาปลามาเฟียฮ่องกงเข้าน่ะสิ ก็รู้กันอยู่ว่าพวกนี้มันร้ายแค่ไหน แกเลยไม่ค่อยมั่นใจในความปลอดภัยของตัวเองสักเท่าไหร่ ผมเลยเรียกกลับมาที่เมืองไทยก่อน ให้มาอยู่บ้านจะได้ปลอดภัย แต่แกอยากเที่ยวก่อนสักอาทิตย์ ผมเลยอยากให้คุณช่วยไปดูแลเขาหน่อย เพราะว่าคนที่สน เราต้องไปคุ้มครองป่าไม้วิชัยที่กำลังถูกตามล่าเพราะออกมาเปิดโปงนักการเมืองเข้า”            “ผมเคยได้ยินว่าคุณน้ำผึ้งเรียนที่นิวยอร์กไม่ใช่เหรอครับท่าน แล้วไปไงมาไงถึงได้ไปมีเรื่องกับมาเฟียฮ่องกงได้ล่ะครับ” เขาถามด้วยความสงสัย            “คุณรู้เรื่องเกี่ยวกับลูกสาวคนนี้ของผมด้วยเหรอ” ท่านถามด้วยความแปลกใจ            “ครับ ผมเคยได้ยินลูกน้องพูดถึงบ้างสองสามครั้ง”            “อ้อ อย่างนั้นเหรอ” คนพูดมีท่าทีคล้ายโล่งใจ “คือยัยหนูเขาไปเรียนเมืองนอกก็จริง แต่ว่าตอนนี้กลับมาทำงานออกแบบเครื่องเพชรให้บริษัทจิวเวอรี่ในฮ่องกงนี่แหล่ะ แล้วบังเอิญว่างานแสดงจิวเวอรี่ครั้งล่าสุดเขาเกิดขัดแย้งกัน ก็เลยเกิดเรื่องขึ้น”            “ครับ” เขาพยักหน้าเข้าใจ            “งานนี้ไม่ใช่คำสั่งจากราชการโดยตรงหรอกนะ แต่ถือซะว่าเป็นงานที่ถูกมอบหมายจากผม จะถือว่าเป็นการไหว้วานกันก็ได้ ถ้าคุณรับงานนี้ผมก็จะให้ค่าตอบแทนเท่าที่คุณต้องการ เพราะผมอยากได้คนที่ไว้ใจมาดูแลยัยหนูของผมในช่วงหนึ่งอาทิตย์นี้มาก ว่ายังไง คุณพอจะรับงานนี้ได้ไหมผู้กอง”            “ผมยินดีที่จะรับงานนี้ครับท่าน แต่ผมมีข้อแม้”            “ข้อแม้อะไร”            “ข้อแม้คือ ท่านต้องให้ผมทำงานนี้ให้ท่านโดยไม่รับค่าจ้างใดๆ เป็นการตอบแทนในฐานะลูกน้องที่พึงจะทำให้เจ้านายครับ” ผู้กองหนุ่มบอกด้วยสีหน้ามุ่งมั่น            ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้า รู้สึกว่าพอใจลูกน้องคนนี้เหลือเกิน ท่านคิดว่างานนี้ ท่านคิดไม่ผิดแน่ที่เลือกเขา                                                               
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD