“ผมก็ไม่อยากได้ไอ้บ้านเฮงซวยหลังนี้ของคุณนายใหญ่นักหรอกครับ แต่โชคร้ายจริง ที่มันกลายเป็นของผมเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งบริษัทเน่า ๆ ของคุณนายด้วย คิดอีกที ผมก็ว่าจะเก็บบ้านนี้ไว้ทำเป็นโรงเรียนสอนเด็ก ๆ ให้โตมาเป็นคนดี ไม่เอาเปรียบ ไม่กดขี่ข่มเหงคนที่ด้อยกว่าเหมือนเจ้าของบ้านเก่าทำไงล่ะครับ”
“แก!!! ไอ้ชั่ว!!! แกตั้งใจจะเล่นงานฉัน!!! แกหลอกลูกฉันให้หลงกลแกจนขายทุกอย่างให้!!! เพื่อที่แกจะได้กลับมาเยาะเย้ยฉัน!!! ออกไปให้พ้นหน้าฉันเดี๋ยวนี้!!! ตาโรจน์!!! ไล่มันออกจากบ้านไป!!!”
“คุณแม่ครับใจเย็น ๆ ก่อนนะครับ เรายังคุยธุระไม่เสร็จเลย ลืมไปแล้วเหรอครับว่าตอนนี้เราไม่เหลืออะไรแล้วนะ ถ้าคุณแม่โกรธแล้วด่าเขาแบบนี้เราจะไม่มีแม้แต่บ้านจะอยู่นะครับ”
แม้วิโรจน์จะโกรธไม่แพ้แม่ แต่ยังมีความใจเย็นหลงเหลืออยู่ จึงพยายามเตือนสติ และนั่นก็ทำให้ยุพาพรเริ่มได้คิดขึ้นมา จนต้องเงียบและพยายามควบคุมตัวเอง ให้กลับไปอยู่ในท่าทีสงบนิ่งจนเกือบจะเป็นปกติ นั่นทำให้หนุ่มหล่อถึงกับยิ้มที่มุมปากด้วยความพอใจ ก่อนจะเริ่มต้นอีกครั้ง
“ลูกชายคุณนายใหญ่พูดถูกทุกอย่างนะ เอาล่ะ! ถ้าพวกคุณสงบสติอารมณ์ได้แล้ว ก็มาฟังข้อเสนอที่ผมจะให้ได้เลย เพราะผมเองก็ไม่อยากจะนั่งอยู่บ้านนี้นาน ๆ หรอก กลัวเสนียดมันเกาะจนพลอยซวยไปอีกหลายปี”
เจ้าของบ้านต่างหันมาจ้องมองเป็นตาเดียวกัน พร้อมด้วยอาการโกรธ แต่ก็ต้องพยายามนิ่งเพื่อรอฟังเขา เพราะเป็นหนทางรอดเดียวที่หลงเหลืออยู่ ชาครีย์ยิ้มที่มุมปากอย่างเกลียดชังคู่อริเก่าอีกครั้งก่อนจะเอ่ยต่อ
“นอกจากหุ้นที่ผมจะคืนให้แล้ว ผมจะยอมให้พวกคุณหาเงินมาไถ่บ้านในราคาเดิมได้ด้วย แต่ต้องภายในสองปีนับจากนี้ หรืออีกข้อเสนอหนึ่งก็คือ ผมจะลดหนี้จากเจ็ดสิบห้าล้านเหลือเป็นห้าสิบล้าน ถ้าคุณวิโรจน์ยอมให้ลูกสาวคนโตมาเป็นคู่นอนผมสองปี และพวกคุณยังสามารถอยู่บ้านหลังนี้ได้โดยที่ผมจะไม่มายุ่งเกี่ยวอะไรด้วย
แต่ถ้าเลยสองปีไปแล้ว ยังหาเงินมาไถ่บ้านคืนไม่ได้ ผมก็คงจะต้องให้ย้ายออกไป ผมไม่บีบบังคับพวกคุณหรอกนะ แต่พวกคุณมีแค่หนึ่งอาทิตย์สำหรับเวลาในการตัดสินใจ ถ้าตกลงอีกหนึ่งเดือนก็เรียกคุณหนูมิวกลับจากเมืองนอก แล้วพาไปประเคนให้ผมที่บ้าน หรือถ้าไม่ตกลง คุณวิโรจน์ก็ไม่ต้องไปทำงานอีก
หนึ่งเดือนนับจากนี้ก็ย้ายออกไปอยู่ที่อื่น และต้องไปแบบตัวเปล่า ๆ ไม่มีสิทธิ์หยิบของมีค่าไปแม้แต่ชิ้นเดียว อีกชั่วโมงกว่า ๆ คนของผมจะมานับและเก็บหลักฐานข้าวของทุกอย่างไว้ คงจะขายเป็นของเก่าหรือเศษเหล็กได้หลายบาท เป็นค่าโต๊ะจีนเลี้ยงพนักงานในบริษัท เนื่องในโอกาสต้อนรับเจ้านายคนใหม่อย่างผม ตัดสินใจยังไงติดต่อกลับไป”
ร่างสูงใหญ่ดีดตัวจากโซฟา แล้วก้าวเดินอย่างองอาจออกไป โดยไม่มีคำล่ำลาใด ๆ ทัตเทพเองก็หอบเอกสารวิ่งตามเจ้านายแทบไม่ทัน ทิ้งให้เจ้าของบ้านนั่งงวยงง และไม่แน่ใจในสิ่งที่ได้ยินไปตาม ๆ กัน
“ฉันไม่ยอมให้คุณเอาลูกไปให้ไอ้บ้านั่นทำปู้ยี้ปู้ยำเล่นเป็นอันขาด!!!”
เสาวรสตะคอกใส่สามีนับครั้งไม่ถ้วนพร้อมทั้งน้ำตานองหน้าด้วยความคับแค้นหัวใจในความไม่เอาไหนยามแก่ของเขา เมื่อมีการเอ่ยถึงข้อเสนอจากคู่อริขึ้นมา
“มีเหตุผลหน่อยสิคุณ”
วิโรจน์เลยต้องเตือนสติด้วยน้ำเสียงหนักแน่น ยุพาพรเองก็คิดเช่นเดียวกับสะใภ้รัก
“ฉันก็ไม่มีวันยอมให้หลานรักของฉันเอาตัวไปประเคนให้ไอ้ชั่วนั่นเหมือนกัน!!!”
“ถ้าไม่ยอมเราก็จะไม่เหลืออะไรเลยนะครับคุณแม่ เราควรจะคิดอย่างมีเหตุผลไม่ใช่เอาแต่อารมณ์แบบนี้”
แต่วิโรจน์ไม่คิดอย่างนั้น
“มีเหตุผล แกยังมีหน้ามาอ้างถึงเหตุผลกับฉันอีกเหรอ!!! ลืมไปแล้วเหรอว่าใครเป็นต้นเหตุเรื่องนี้ เหตุผลเดียวที่ฉันมีตอนนี้ก็คือ ฉันไม่มีวันยอมให้หลานรักต้องไปนอนให้ไอ้บ้านั้นเอาตั้งสองปีหรอก มันก็ไม่ต่างจากตกนรกดี ๆ นี่เอง!!!”
แม่ก็ไม่ยอมเหมือนกัน เลยด่าลูกเสียงดังคับบ้าน จนลูกเหลืออดสวนกลับด้วยความลืมตัว
“คุณแม่ทำเหมือนกับว่ายัยมิวยังบริสุทธิ์ผุดผ่องอย่างนั้นล่ะ เคยถามมันหรือเปล่า ว่าตั้งแต่ไปเรียนเมืองนอก มันนอนกับผู้ชายมากี่สิบคนแล้ว คุณแม่ไม่คิดว่ามันอยากจะลองนอนกับไอ้สิงห์บ้างเหรอครับ หน้าตามันก็ไม่ใช่จะขี้เหร่ แถมตอนนี้มันก็เป็นเศรษฐีพันล้าน ถ้าเกิดมันติดใจในรสรักของยัยมิวขึ้นมา บางทีมันอาจจะยกทุกอย่างกลับมาให้เราฟรี ๆ ก็ได้นี่ครับ”
“คุณยังกล้าคิดอย่างนี้อีกเหรอ!!! คุณมองเกมมันไม่ออกเหรอ ว่ามันอยากจะได้ยัยมิวไปทรมาน จะได้ชดใช้ชีวิตน้องสาวมันไง แล้วที่มันจะเอาคุณไปทำงานเป็นขี้ข้า ก็เพื่อจะเอาไปกดขี่เพื่อชดใช้ชีวิตพ่อมันไงคะ เรื่องแค่นี้ทำไมยังมองไม่ออก ฉันไม่เข้าใจว่าคุณหูหนวกตาบอดไปได้ยังไงกัน ที่ยอมขายบริษัทให้มันโดยไม่รู้ว่ากำลังจะถูกมันมาทวงคืนทุกอย่าง”
“ก็เพราะมันโง่ไงล่ะแม่รส!!! หรือไม่มันก็ถูกผีพนันเข้าสิงห์ ผีผู้หญิงลงคาถากามารมใส่ไง มันถึงได้เป็นแบบนี้!!!”
“คุณแม่!!! ก็มันเล่นเปลี่ยนชื่อเปลี่ยนนามสกุล แถมส่งแต่ลูกน้องมาติดต่อ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงล่ะ อย่ามัวมาว่ากันอยู่เลยนะ ผมว่ารีบ ๆ โทรไปหายัยมิวแล้วเล่าทุกอย่างให้ฟัง และถามเลยว่าตกลงจะยอมตามที่มันเสนอหรือเปล่า”
เมื่อถูกไล่บี้จนไม่ทางเลือกแล้ว วิโรจน์จึงผลักภาระไปหาลูกที่อยู่อีกซีกโลกและยังไม่รู้อะไรทันที เสาวรสไม่รอช้ารีบทำตาม เพราะอยากจะเล่าเรื่องที่ไม่คาดฝันให้ลูกฟังอยู่แล้ว