แรกเริ่ม...รสสัมผัสแทบไม่ต่างไปจากเหยื่อที่ผ่านมา ทว่าพอผ่านไปสักพักรสชาตินั้นกลับกลายเป็นขมเฝื่อน ส่งผลให้ปลายลิ้นชายิบคล้ายถูกยาพิษเล่นงาน
ไมอาหมดสติ ทางด้านเขาซวนเซเพราะอาการวิงเวียน พลันปรากฏภาพเงาดำของชายคนหนึ่งขึ้นกลางหัว ภาพที่กำลังนั่งอย่างสง่าผ่าเผยบนแท่นสูง แม้ไม่เห็นรูปร่างหน้าตาชัดเจน แต่คีธมั่นใจว่าเจ้าของเงาดำทะมึนนั่นกำลังทอดสายตาลงมาที่เขาอย่างแน่นอน ก่อนปริปากพูดด้วยโทนเสียงทุ้มแหบว่า “โปรดจำไว้ว่าโลหิตของผู้ใดมีรสชาติเช่นยาพิษ เมื่อดื่มกินแล้วเกิดอาการวิงเวียน ชาไปทั้งร่าง ผู้นั้นอาจเป็นได้ทั้งเจ้านายหรือคู่ชีวิต...”
“ไร้สาระ” คีธสบถให้กับประโยคปริศนาที่ผุดออกมาจากหัวเมื่อหลายชั่วโมงก่อน จากนั้นก็สลัดไมอาทิ้งอย่างไม่ใยดี
ฟุบ
โชคดีของเธอที่ผ่านเหตุการณ์เลวร้ายมาอย่างสมบุกสมบันแต่ก็ยังไม่ตาย แม้จะอ่อนแรงซีดเซียวไม่ต่างจากศพ ทว่ายังพอมีแรงเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของร่างสูง
“...ไปเลยนะ” ผ่านพ้นความตายได้ไม่ถึงนาทีก็ปีกกล้าขาแข็งด้วยการขับไล่ชายป่าเถื่อน
สำหรับไมอาแล้ว ความกลัวมีมากก็จริง แต่ไม่มากเท่าเจตนารมณ์อันแรงกล้าของเธอหรอก
คีธสูดลมหายใจเข้าปอดขณะจับจ้องยัยตัวเมียรสชาติไม่ได้เรื่องตรงหน้าอีกครั้ง
เขาค้างคากับประโยคสุดพิลึกพิลั่นนั่นจนถึงขั้นลองพิสูจน์ด้วยการแอบชิมเลือดของเธอครั้งที่สองตอนหมดสติ ครั้นพบว่ามันมีปฏิกิริยาด้านลบกับร่างกายจริง ๆ ซีกหนึ่งในตัวเขาจึงแอบเชื่อ...
แต่...
กับยัยผู้หญิงไร้ประโยชน์ ท่าทางอ่อนแอ ซ้ำยังเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของมาร์คที่เขามีเป้าหมายกำจัดทิ้งในเร็ววัน ดูยังก็ไม่มีทางปรองดองกันได้แน่
เป็นเจ้านายเหรอ
เป็นคู่ชีวิตงั้นเหรอ
หึ อยากจะสำรอกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด
“...” คิดมาถึงตรงนี้คีธจึงเคลื่อนสายตาไปอีกทางคล้ายหลบเลี่ยง ไม่นานก็พุ่งเข้าไปในป่าทิศตะวันตกด้วยสองเท้าเปล่าเปลือย...และไม่มีสักแวบเดียวที่ตัวเขาจะเหลียวหลังกลับไป
ไม่ให้อยู่ก็ไม่อยู่
ไม่ได้อยากอยู่นักหรอก
ที่ขอให้อนุญาต เพราะเขาจะได้รอฆ่าไอ้มาร์คง่าย ๆ เท่านั้น ไม่มีอย่างอื่นแอบแฝง
สวบ สวบ...
ตอนแรกคีธวิ่งด้วยสองเท้าเช่นมนุษย์ ทว่าเมื่อเข้ามาอยู่กลางป่าลึกมืดทึบและเหน็บหนาว เขาก็ค้อมตัวลงอยู่ในท่าสัตว์สี่ขา ส่งเสียงคำรามผะแผ่วพลางทำจมูกฟุดฟิดตามหากลิ่นเหยื่อรายใหม่ที่จะกลายเป็นอาหารมื้อค่ำของวันนี้
ใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที ประสาทสัมผัสเฉียบไวรับรู้ถึงกลิ่นหอมหวน รวมถึงการเคลื่อนไหวของบางสิ่งจากด้านขวา
สิ่งมีชีวิตสายพันธุ์ประหลาดตวัดลิ้นเลียรอบริมฝีปาก ก่อนวิ่งตามการเคลื่อนไหวและกลิ่นหอมหวนดังกล่าวนั่นอย่างลิงโลด กระทั่งตรวจจับความร้อนได้จากระยะสิบเมตร เขาหยุดฝีเท้าลง จากนั้นจึงเคลื่อนตัวอย่างเงียบเชียบไปหลบหลังก้อนหินขนาดเขื่อง
เมื่อทอดสายตาตรงไปยังต้นตอของกลิ่นชวนน้ำลายสอ พบว่าเป็นมนุษย์ชายหญิงคู่หนึ่ง อายุยี่สิบกว่า ๆ กำลังนั่งกระหนุงกระหนิงกันริมธาร
ริมฝีปากทั้งสองแนบชิดพัวพันจนเกิดเสียงเปียกแฉะของปลายลิ้น โดยมือฝ่ายชายค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อคนตรงหน้ากระทั่งผิวเนื้อขาวผ่องประจักษ์สู่สายตา พลันปลายนิ้วสอดเข้าไปใต้บราอย่างซุกซน บีบขยำเต็มไม้เต็มมือจนความอ่อนนุ่มทะลักตามช่องว่างระหว่างนิ้ว
ความมูมมามนั้นส่งผลให้ฝ่ายหญิงส่งเสียงหวีดหวิว ก่อนจะรีบยกมือดันแผงอกคนตัวโต
“ไมเคิล ฉันว่าเราไปตรงอื่นกันดีกว่าไหมคะ”
ที่หยุดยั้งการกระทำลงฉับพลัน ส่วนหนึ่งอาจเพราะทีน่ารับรู้ถึงบางสิ่งจากป่าหวงห้ามแห่งนี้
ตัวเธอและไมเคิลรู้เรื่องป่าตะวันตกเป็นอย่างดี แต่เพราะทางครอบครัวไม่เห็นด้วยกับการคบหากันของทั้งสอง ทั้งคู่จึงมักแอบหนีออกมานั่งจู๋จี๋กันในที่ลับตาคน
แต่เนื่องจากถูกจับได้เป็นประจำ ไมเคิลจึงเสนอให้มาเจอกันที่ป่าแห่งนี้...เพราะคงไม่มีใครหน้าไหนเข้ามาป้วนเปี้ยนแน่นอน
“หืม ทำไมล่ะ ผมว่าตรงนี้เหมาะที่เราจะ...” ไมเคิลยิ้มหวานพร้อมทั้งขยับหน้าเข้าไปใกล้ ฉกฉวยเอาริมฝีปากอ่อนนุ่มมาดูดกลืนอย่างมูมมาม ส่งผลให้ฝ่ายหญิงเคลิบเคลิ้มจนไหลไปตามการกระทำ
ท้ายที่สุดก็ปล่อยให้แฟนหนุ่มยอมล่วงล้ำช่วงล่างของตัวเอง...โดยไม่รู้เลยว่าการกระทำของทั้งคู่อยู่ในสายตาของคีธทั้งหมด
มีความสุขกันไปเถอะ เพราะอีกเดี๋ยวก็ต้องกลายเป็นอาหารของเขาแล้ว