บทที่4.1

1366 Words
เมื่อจัดการกับอาหารมื้อค่ำจนอิ่มหนำสำราญ คีธก็นำโครงกระดูกสดใหม่ที่ยังมีเศษเนื้อติดอยู่บางส่วนไปฝังไว้ข้าง ๆ หลุมศพของโจรทั้งสามราย...ซึ่งเมื่อหลายชั่วโมงก่อนเขาลากพวกมันไปฝังไว้ในพื้นที่ห่างไกลยากต่อการค้นหา ความจริงตัวเขาสามารถเพิ่มพลังกายด้วยการกินพวกมันทันทีหลังจากลงมือฆ่า เพราะจะได้ไม่ต้องออกหาเหยื่อรายใหม่ให้เสียเวลา ซึ่งแน่นอน...ถ้าหากเขายังถูกจองจำ ไม่มีทางเลือกมากพอ ก็คงต้องกินอย่างจำยอมเพื่อความอยู่รอด แต่ตอนนี้คีธเป็นอิสระแล้ว ด้วยความว่องไวและประสาทสัมผัสอันเฉียบคม ไม่ยากที่จะออกหาอาหารด้วยความสามารถที่มี รวมถึงสามารถเลือกประเภทของอาหารได้ตามอำเภอใจ ...อย่างคู่รักวัยยี่สิบกว่า ๆ ที่เขาเพิ่งฉีกทึ้งจนไม่เหลือซากเมื่อครู่นี้ แม้ไม่ใช่ช่วงอายุที่โปรดปราน แต่ก็จัดว่าเป็นอาหารระดับมาตรฐาน รสชาติกำลังดี จำนวนที่กินเข้าไปเพียงพอให้เขาดำรงชีวิตอยู่ได้หลายวัน ดังนั้นโจรฉกรรจ์วัยสี่สิบห้าสิบทั้งสามรายที่เนื้อหนังค่อนข้างเหี่ยวย่น ซ้ำเครื่องในยังเสียหายจากพิษของบุหรี่และสุรา เรื่องอะไรจะเอามากินให้เสียอารมณ์ล่ะ สวบ หลังจัดการทำลายหลักฐานเสร็จเรียบร้อย คีธเคลื่อนตัวมานั่งหลบหลังพุ่มไม้ ทอดสายตาฝ่าความมืดสลัวเข้าไปยังบริเวณบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งที่เขาเพิ่งจากมาได้ไม่นาน จนพบภาพไมอากำลังต่อสายยางจากก๊อกด้านนอกบ้าน ไม่นานก็ใช้แรงดันของน้ำฉีดทำความสะอาดคราบเลือดแถว ๆ นั้นอย่างขะมักเขม้น ซึ่งเขาจำได้ขึ้นใจว่านั่นเป็นเลือดของหนึ่งในโจรชั่วที่...ทำร้ายเธอ จริงอยู่ที่ระดับความรุนแรงและจำนวนครั้งมันน้อยนิดมากเมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาทำ แต่แล้วยังไง... คนอื่นอย่าได้บังอาจมาแตะต้อง แต่ตัวเขา...ถ้าเป็นเขาแล้ว ทำไมจะทำไม่ได้? คีธย่นจมูกอย่างหงุดหงิดเมื่อความรู้สึกย้อนแย้งแสนประหลาดตีรวนอยู่กลางอก วูบหนึ่ง...คำพูดจากบุคคลปริศนาพลันปรากฏขึ้นมากลางหัว ราวกับเป็นการย้ำเตือนให้รับรู้ถึงเหตุผลที่แท้จริงของอาการเหล่านี้ แต่ตัวคีธไม่อาจยอมรับได้ กับมนุษย์ที่เพิ่งเจอหน้ากันไม่นานอย่างไมอา...ไม่คู่ควรกับเขาสักนิด แม้ตอนอยู่ในชั้นใต้ดิน...เธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยน ใช้คำพูดเป็นมิตร มีไมตรีในทุกการกระทำไม่เหมือนใครคนไหน ซ้ำยังเอาไอ้ผ้าพิลึก ๆ นั่นมาคลุมตัวเขา...ทำให้อุ่นวาบและรู้สึกปลอดภัยจากเสียงกึกก้องของท้องฟ้า แต่... จะใจอ่อนกับมนุษย์ไม่ได้! ถึงจะกินไม่ได้ แต่เขาต้องฆ่าเธออยู่วันยันค่ำ กึก สวบ... เฝ้ามองไมอาอย่างเงียบเชียบเนิ่นนานกระทั่งเวลาล่วงเลยมาถึงเที่ยงคืน บานประตูซึ่งเป็นรูโหว่เพราะถูกจามด้วยขวานก็ถูกปิดด้วยแผ่นโฟมที่เธอหามาจากในบ้าน คงใช้สิ่งนั้นแก้ขัดไปก่อน เพราะการจะซ่อมแซมบานประตูให้กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ใช่เรื่องง่าย จวบจนเที่ยงคืนสี่สิบนาที แสงสว่างภายในตัวบ้านดับลง คีธยังไม่เคลื่อนไหวไปไหน ทว่าคราวนี้เขาแหงนขึ้นมองหน้าต่างบริเวณชั้นสองตรงส่วนที่เป็นห้องพักของไมอา ขณะเดียวกันหูได้ยินเสียงคล้ายเธอทิ้งน้ำหนักลงบนความนุ่มหยุ่นของเตียง กำจัดทิ้งตอนนี้ดีไหม? ถ้าฆ่ายัยมนุษย์นั่นได้ อะไร ๆ คงง่ายขึ้น ทั้งรสชาติขมเฝื่อนของเลือดที่รบกวนจิตใจเขาอยู่ตลอดเวลา รวมถึงการสังหารมาร์ค...โดยไม่ต้องมีภาพเธอตามรังควานเหนี่ยวรั้งความต้องการของเขา นั่งคิดทบทวนต่อราว ๆ ครึ่งชั่วโมงก็สัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอของไมอา ดังนั้นคีธจึงพุ่งตัวออกมาจากพุ่มไม้ และเพื่อไม่ให้อีกฝ่ายรู้สึกตัวขึ้นมาเสียก่อน เจ้าของกรงเล็บดำทะมึนจึงไม่ได้ใช้ทางเข้าที่ถูกต้อง เพราะชั้นสองของบ้านไม่ได้สูงมากนัก การเข้าไปหาเธอทางหน้าต่างจึงไม่ใช่เรื่องยาก... ตึก... คีธหยุดยืนอยู่ข้างเตียง นัยน์ตาสีแปลกสะท้อนภาพไมอานอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้านวมที่ไม่ได้หนาหรือบางจนเกินไป ใบหน้าซีดเซียวพร่างพราวไปด้วยหยาดเหงื่อ และริมฝีปากกระจับ...ซึ่งเขาจดจำได้ตั้งแต่แรกพบว่าเป็นสีชมพูระเรื่อ ขณะนี้แทบจะกลายเป็นสีขาวอยู่รอมร่อ หึ ดี อ่อนแอแบบนี้แหละดี จะได้ตายง่าย ๆ หน่อย! คีธเคลื่อนตัวเข้าไปหาโดยไม่ลังเล กระทั่งช่วงขาสัมผัสโดนชายกระโปรงที่ลอดผ่านผ้านวมออกมา... ขณะนั้นดวงจันทร์สีอำพันเคลื่อนพ้นก้อนเมฆทะมึน ส่งผลให้แสงสว่างจากพระจันทร์เต็มดวงกระทบร่างเขาที่ยืนอยู่ตรงกับรอยแง้มของหน้าต่างพอดิบพอดี ก่อเกิดเป็นเงาดำขนาดใหญ่ ซึ่งขณะนี้ได้พาดทับลงบนร่างหญิงสาวผู้เคราะห์ร้ายซึ่งจะต้องมาตายทั้ง ๆ ที่ยังหลับ “พ่อ...พ่ออย่าเป็นอะไรนะคะ...” ขณะที่คีธกดความขัดแย้งอันหาคำตอบไม่ได้ไว้อย่างสุดความสามารถ ทั้งยังกางกรงเล็บเตรียมทะลวงลงกลางอก สุ้มเสียงพร่าแผ่วก็ดังขึ้น... คีธชะงักกึก ค้างมือไว้กลางอากาศ ครั้นช้อนตาขึ้นมองก็พบว่าไมอายังหลับตาอยู่ สิ่งนี้เรียกว่าละเมอสินะ เพราะการกินมนุษย์แต่ละครั้งจะทำให้เขาได้รับความทรงจำ ประสบการณ์ รวมถึงสิ่งที่เหยื่อพบเจอมา จึงไม่แปลกที่เขาพอเข้าใจ...แม้จะแค่เล็กน้อย “...” “ไม่นะ...ฮึก” สะอึกสะอื้นแบบนั้น คิดว่าจะเห็นใจหรือไง? ฉายความอำมหิตทางแววตาครู่เดียว กรงเล็บแหลมคมก็ตวัดลงอย่างไม่ลังเล ฉึบ!! ทว่า...จุดที่เล็บจมลงไปกลับไม่ใช่ร่างกายอันอ่อนนุ่ม หากแต่เป็นหมอนที่เธอกำลังหนุน... ความรุนแรงที่เกิดขึ้นส่งผลให้นุ่นจำนวนมากลอยฟุ้งกลางอากาศทันที พร้อมกับการลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันของไมอา “นาย อุ๊บ!” ไม่รอให้ไมอาแหกปากร้อง ร่างสูงกระโจนขึ้นไปคร่อมทับบริเวณหน้าตักอย่างปัจจุบันทันด่วน ทั้งยังยกมือปิดริมฝีปากซีดเผือดทันควัน ส่งผลให้เสียงร้องของเธอดังอู้อี้ภายใต้ฝ่ามือทรงพลังที่มีทั้งกลิ่นคาวเลือด รวมถึงกลิ่นดินชื้น ๆ ซึ่งยังคงติดตามซอกเล็บอันเนื่องมาจากการเคลื่อนไหวในลักษณะสัตว์สี่ขา นัยน์ตากลมโตเบิกโพลงอย่างหวาดผวา แม้ตอนนี้ทั่วทั้งห้องจะไร้แสงไฟ แต่เพราะยังมีแสงสว่างจากดวงจันทร์เต็มดวงสาดลงมากระทบ จึงทำให้ไมอาเห็นใบหน้าของผู้ร้ายที่บุกเข้าห้องเธอยามวิกาลได้ชัดเจน “...” คีธที่ตอนนี้คร่อมอยู่เหนือร่างเธอไม่พูดอะไร แต่ยังคงใช้แรงขุมหนึ่งปิดกั้นเสียงร้องต่ออย่างไม่ลดราวาศอก และเรี่ยวแรงที่เขาใช้...ก็มากพอจะทำให้ตัวไมอานั้นจมลงไปกับฟูกนุ่ม “อื้อ ๆ ๆ อ่อย! (อื้อ ๆ ๆ ปล่อย!)” ทว่าไมอาหาได้ยอมแพ้ ยกสองมือขึ้นฟาดแขนเจ้าของการกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทั้งยังพยายามแงะฝ่ามือทรงพลังออกอย่างเอาเป็นเอาตาย “ไอ้เอว! อื้อ (ไอ้เลว! อื้อ)” และด้วยตัวคีธไม่ผ่อนปรน จากที่หวีดร้องขอให้ปล่อย ก็เปลี่ยนเป็นการบริภาษอย่างเคืองโกรธ นัยน์ตากลมโตมีหยาดน้ำใสปริ่มอีกครั้ง เพราะนอกจากจะโมโหและพรั่นพรึงสุดขีดแล้ว ยังเจ็บ...เจ็บเหมือนจะตายเสียให้ได้ แต่ถึงจะหวาดหวั่นสักแค่ไหน ไมอาก็ไม่อาจอยู่เฉยให้คีธทำอะไรตามอำเภอใจอีกแล้ว เมื่อตอนกลางวันเขาได้โอกาสฆ่าเธอแล้วครั้งหนึ่งแต่เลือกปล่อยให้โอกาสนั้นหลุดมือไป มานึกอยากทำลายเธอตอนนี้...อย่าหวังว่ามันจะง่ายเหมือนที่ลงมือกับคนอื่น ๆ เลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD