หลังร่ำลาคุณแอลและคุณคริสเรียบร้อย ฉันหอบสังขารที่ย่ำแย่ลงทุกชั่วขณะกลับบ้านหวังกินยาแล้วนอนให้เต็มอิ่ม ทว่าขากลับดันใช้เวลานานกว่าขามาค่อนข้างมาก เนื่องจากฝนที่เพิ่งหยุดตกไปได้เพียงชั่วโมงเศษ ๆ พากันเทกระหน่ำลงมาอีกครั้ง
ต่อให้รอบคอบ พกร่มติดตัวมาก็ไม่ค่อยมีประโยชน์สักเท่าไหร่
เพราะสายฝนในคราวนี้มาพร้อมพายุหนักหน่วง ระดับความรุนแรงน่าจะเทียบเท่าเมื่อคืน หากดันทุรังด้วยการใช้ร่มคันเล็กราคาถูก วัสดุก๊อกแก๊กเข้าต่อกร เกรงว่าโครงเหล็กอ่อน ๆ ของร่มจะหักคามือ ดีไม่ดีลมกรรโชกแรงอาจทำให้มันลอยลิ่วหายไปต่อหน้าต่อตา เดือดร้อนคนจน ๆ อย่างฉันต้องซื้อใหม่อีก
ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยในระหว่างการเดินทาง ฉันจึงหักใจขอหลบฝนหน้าอนามัยของคุณพีทและคุณโรสชั่วคราว จนกว่าจะแน่ใจว่าสามารถเดินทางกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย
สภาพภูมิอากาศของที่นี่จะมีความหนาวเย็นเนื่องจากทางตอนใต้ของประเทศ Wealth (ประเทศสมมติ) ที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นกว่าเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นป่า ภูเขา และลำธาร เราประสบกับฤดูหนาวซึ่งมีหิมะตกยาวนานหลายเดือนกันเป็นเรื่องปกติ ในส่วนของฤดูไม้ผลิและฤดูร้อนจะกินเวลาเพียงสั้น ๆ นับจากนั้น กระทั่งเข้าสู่ช่วงกลางปีซึ่งจะมีพายุและฝนที่รุนแรงติดต่อกันราว 5 - 7 สัปดาห์ อาจมีแปรผันบ้างในบางปี
แม้เป็นประเทศที่โดดเด่นเรื่องธรรมชาติ แต่ขณะเดียวกันก็อันตราย ดังนั้นหากนักท่องเที่ยวอยากเข้ามาผจญภัยหรืออะไรก็ตามจึงต้องเช็กสภาพอากาศในแต่ละช่วงโดยละเอียด
แต่อย่างที่เคยบอกไปว่านับตั้งแต่เรื่องปีศาจอะไรนั่นแพร่สะพัด หมู่บ้านของเราซึ่งแต่เดิมแล้วเคยเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวชั้นดี สร้างรายได้เข้าประเทศเป็นกอบเป็นกำ ก็ถูกลอยแพจากรัฐบาลโดยสมบูรณ์ จากกำลังจะพัฒนาให้มีความทันสมัยเช่นเดียวกับเมืองหลวง ก็กลับมาล้าหลัง...
มองเผิน ๆ แล้วหมู่บ้านเราแทบไม่ต่างไปจากชนเผ่าที่ขาดการเข้าถึงของเทคโนโลยี ใช้ชีวิตด้วยการออกล่า อยู่ท่ามกลางป่าเขา มีความเชื่อเหมือนในยุคโบราณ ทำพิธีกรรมบ้า ๆ บอ ๆ ได้ทุกสัปดาห์ แตกต่างจากคนอื่นซึ่งอาศัยอยู่ในเมืองราวฟ้ากับเหว
นี่ปี 2021 แล้ว...
หากไม่ได้ไปโรงเรียน หากไม่ได้เข้าถึงการศึกษา ฉันคงคิดว่าที่ที่ฉันอยู่คือทั้งหมดของโลกใบนี้
คิดแล้วก็ตลกจัง...
หลังจากยืนมองเม็ดฝนยาวนานราวหนึ่งชั่วโมง เมื่อพบว่าความรุนแรงลดลงกว่าตอนแรกในระดับที่สามารถเดินกลับบ้านได้อย่างปลอดภัย ไม่ต้องระแวงกิ่งไม้หักโค่นลงมาทับ ก็จัดการกางร่ม กึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังบ้านสองชั้นหลังเก่าซึ่งอยู่ห่างไกลจากเขตชุมชนเกือบหนึ่งกิโลฯ
โดยระหว่างทาง ฉันพยายามไม่ประมาท เนื่องจากพื้นค่อนข้างลื่น ซ้ำอุณหภูมิที่ลดลงเรื่อย ๆ ยังทำให้เกิดหมอกหนา ความระมัดระวังจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ตึก ๆ...
“...?”
แต่แล้วในระหว่างการเดินทาง คล้ายหูแว่วได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากทางด้านหลัง ฉันหันขวับไปยังต้นตอของเสียงทันที พลันมือซ้ายกำด้ามร่มแน่นอันเนื่องมาจากความกลัว
หยุดนิ่งพิจารณาราวครึ่งนาที ไม่พบเจออะไรน่าสงสัยนอกจากไอหมอกขุ่นมัวและแมกไม้นานาชนิดคุ้นตา ฉันจึงหันกลับมาดังเดิม สูดลมหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่
แม้โล่งที่ไม่เห็นอะไรผิดปกติ แต่สัญชาตญาณกลับกระซิบบอกให้รีบสับฝีเท้าด่วนจี๋ ซึ่งเพราะความเร่งรีบจนเกินเหตุ กอปรกับความลื่นของพื้นที่แฉะชื้นไปด้วยหยาดฝน
ฉันจึง...
ตุ๊บ!
...หกล้มจนหัวเข่ากระแทกก้อนหินก้อนหนึ่งอย่างจัง
“อ๊ะ! บ้าจริง” เบ้หน้าครางเนื่องจากรอยถลอกนั้นแม้ขนาดไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่เพราะโดนเม็ดฝนเย็นเฉียบชโลมอย่างจัง จึงไม่สามารถหลีกเลี่ยงอาการแสบยิบตรงจุดนั้นได้
ทว่าด้วยไม่ใช่เวลามานั่งโอดครวญกับอีแค่รอยถลอกเล็ก ๆ น้อย ๆ นี่ ฉันจึงหยัดตัวขึ้น โดยมือซ้ายยังกำด้ามร่มแน่นเช่นเดิม
ฉันลองหันไปด้านหลังอีกครั้ง ค่อย ๆ กวาดสายตาไปรอบบริเวณอย่างระมัดระวัง
จนถึงตอนนี้แม้เสียงฝีเท้าแปลกประหลาดสงบลงแล้ว มีเพียงเสียงฝนและลมดังรอบทิศ แต่บอกตามตรงนะ...ว่าฉันยังรับรู้ได้ถึงการจ้องมองของใครบางคนอยู่เลย
ไม่สบายจนหลอนหรือเปล่าไมอา?
ตั้งคำถามและพยายามกล่อมตัวเองว่าต้องเป็นเหตุผลนี้แน่ ๆ จากนั้นจึงรีบก้าวเท้ารัวเร็วมุ่งหน้ากลับบ้านโดยไม่เหลียวหลังแม้แต่นิดเดียว
เมื่อมาถึง ฉันจัดการชำระร่างกายตัวเองเสียใหม่เนื่องจากระหว่างทางโดนละอองฝนเป็นจำนวนมาก ซ้ำยังหกล้มจนชุดที่สวมใส่เปรอะเปื้อน
เสร็จสิ้นก็ตั้งใจจะกินยาแล้วนอนสักสาม – สี่ชั่วโมง แต่เพราะในช่วงเวลาเดียวกันนั้นดันเกิดเสียงฟ้าร้องหึ่ม ๆ ดังขึ้นติดต่อกันถึงสามครั้ง ฉันจึงพลันนึกถึงคีธขึ้นมา...
สุดท้ายก็ยอมสละเวลาพักผ่อนอันมีค่าของตัวเองด้วยการลงไปยังชั้นใต้ดิน
ทว่าก้าวลงบันไดได้เพียงสองขั้นเท่านั้น...
ตึง! โครม!!
เสียงคล้ายบางอย่างถูกทุบก็ดังขึ้นจนบ้านทั้งหลังสั่นสะเทือน
ฉันสะดุ้ง รีบวิ่งไปยังที่มาของเสียง ก่อนพบภาพชายบึกบึนจำนวนสามคนใช้ขวานจามประตูบ้านจนพังยับไม่มีชิ้นดี
จะ...โจรเหรอ?
“...อุ๊บ อึก!” หลังตกตะลึงจนขาแข็งอยู่พักหนึ่งฉันก็ได้สติเตรียมหาที่หลบหนี ทว่าหนึ่งในนั้นรวดเร็วยิ่งกว่า พุ่งเข้ามาล็อกคอกันจากทางด้านหลัง
ไม่หนำใจ...ยังออกแรงยกจนปลายเท้าฉันลอยเหนือพื้น ส่งผลให้ต้องยกมือตะกรุยอากาศเพราะหายใจไม่ออก ท้ายที่สุดเพราะอ่อนแรงเกินไป กุญแจห้องใต้ดินที่กำไว้แน่นในคราวแรกจึงหลุดออกจากมือ ก่อนตกลงบนพื้น...
เกร้ง...
“กูบอกแล้วไงว่าไอ้มาร์คมันไม่อยู่บ้าน” คนที่ล็อกคอฉันกล่าว
มาร์ค...นั่นมันชื่อพ่อฉันไม่ใช่หรือไง?
“อึก” ครั้นได้ยินชื่อพ่อ ฉันจึงพยายามดิ้น แต่ยิ่งดิ้นก็ยิ่งเจ็บ
ยิ่งอยากหนี อีกฝ่ายยิ่งเพิ่มแรงรัดจนลมหายใจฉันริบหรี่ลงทุกชั่วขณะ
“มึงก็เบา ๆ มือหน่อย เดี๋ยวเด็กนั่นก็ตายหรอก” เสียงหนึ่งดังขึ้น คล้ายปรามเจ้าของการกระทำ
“กูไม่ฆ่าหรอกน่า” เจ้าของท่อนแขนกำยำโต้ตอบพวกเดียวกัน หากแต่เสียงนั้นกลับดังขึ้นข้างหู ใกล้กระทั่งรับรู้ถึงความเปียกชื้นของริมฝีปากและปลายลิ้นเลยทีเดียว
“เฮือก” ฉันสะอิดสะเอียด หวาดผวาและงุนงง แต่ถึงจะรู้สึกเช่นนั้นก็ไม่สามารถทำอะไรได้อยู่ดี
ขณะนั้นเอง ดวงตาพร่าเลือนเห็นใครอีกคนย่อตัวลงหยิบกุญแจที่ฉันทำตกไว้ ยกขึ้นชูระดับสายตาแล้วปริปากถาม “เมื่อกี้หนูวิ่งออกมาจากตรงนั้นใช่ไหม?”
มันมองไปยังทางลงชั้นใต้ดินซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่มากนัก
ตึง!
สิ้นคำถามไม่ถึงห้าวินาที เสียงตึงตังจากชั้นใต้ดินพลันดังขึ้นคล้ายตอบรับ ทำเอาชายฉกรรจ์ทั้งสามพร้อมใจกันหันไปมอง
ตึง ๆ ๆ ๆ!!!
“ไรวะ” เสียงที่ฉันรู้ดีว่าเป็นของใครดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เร้าให้คนที่หยิบกุญแจดอกนั้นเกิดความสงสัยจนต้องเดินอาด ๆ ลงบันไดไป แม้แต่พรรคพวกที่มาด้วยกันก็ไม่คิดห้าม
กริ๊ก
ไม่นานประตูบานนั้นก็ถูกเปิด เผยภาพคีธซึ่งอยู่ในท่ายืนปกติ ทว่าไหล่กลับตก สองแขนห้อยต่องแต่ง
ที่น่าตกใจไม่แพ้กันคือ...คราวนี้คีธขยับมาหยุดยืนอยู่ตรงกรอบประตูแล้ว ซึ่งเป็นระยะทางตามความยาวของโซ่ที่ล่ามข้อเท้าเขาไว้
ตามความเข้าใจ คีธไม่น่าเคยมาถึงตรงนั้นได้ เพราะเขาอาจถูกช็อตตอนที่สองเท้าล้ำอาณาเขต อย่างเมื่อหลายชั่วโมงก่อนเขาก็หมดสติเพราะสิ่งสิ่งนั้น...ไม่ใช่เหรอ?
แล้วทำไม...
ไม่สิ อันที่จริงแล้ว รอบตัวเขามีกลุ่มควันโขมงพร้อมกลิ่นเผาไหม้แสบจมูก ดวงตาคมกล้าปรากฏเส้นเลือดฝอยสีแดงฉาน ร่างกายดูอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด ริมฝีปากซีดเซียว บ่งบอกว่าตัวเขาอาจกำลังฝืนความเจ็บปวดจากการถูกกระแสไฟฟ้าเล่นงานอยู่
ยิ่งไปกว่านั้นนะ นัยน์ตาคมกริบที่เดิมทีดุร้ายมากอยู่แล้ว ตอนนี้ฉายแววอำมหิตอย่างที่ไม่เคยเห็นจากใครคนไหน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนเขามองฉัน...และลดระดับสายตาลงตรงบริเวณท่อนแขนหนาที่กำลังรัดลำคอฉันอยู่
ถึงอย่างนั้น ฉันก็ไม่อาจหาคำตอบได้ว่าอะไรคือสาเหตุที่ทำให้คีธแสดงออกในลักษณะมาดร้ายเช่นนั้น ทั้งยังไม่รู้ว่าเขาพาตัวเองมาถึงประตูห้องโดยทนอดต่อกระแสไฟฟ้าได้อย่างไร