ภายในเขตของวัดแห่งหนึ่งอันห่างไกลจากเมืองหลวงของแคว้นต้าโจวที่ปกครองโดยราชวงศ์โจว
ภายในนั้นมีสตรีอยู่สองนางกำลังเดินทางเข้ามาตรงบริเวณทางเดินด้านในของวัดแห่งนี้เพื่อมาขอสักการะสิ่งศักดิ์สิทธ์ตามธรรมเนียมปฏิบัติและตามความเชื่อของตนที่มี
สตรีสองนางนี้แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่แสนจะธรรมดา แต่ทว่าหนึ่งในสตรีทั้งสองนั้นกลับมีรูปร่างหน้าตาที่ไม่ธรรมดา
หนึ่งในสองสตรีที่ว่าเป็นสาวงามวัยสะพรั่ง นางมีคุณลักษณะของสตรีชั้นสูงถึงแม้จะอยู่ในอาภรณ์สีขาวนวลไร้สีสัน คอเสื้อ ปลายแขนเสื้อ ขอบกระโปรงมีลายปักดอกไม้เรียบง่ายไม่หรูหรา เกล้าผมเป็นมวยธรรมดาไว้ครึ่งศีรษะปักด้วยปิ่นหยกลายดอกเหมย ปล่อยสยายผมดำขลับนุ่มลื่นให้ปรกแผ่นหลังเพียงบางส่วน เครื่องประดับบนเรือนร่างล้วนเรียบง่ายดูสุภาพ ใบหน้าและดวงตางดงามทอประกายความอ่อนหวานออกมาให้ได้เห็น โดยเฉพาะดวงตากลมโตฉายแววอ่อนโยนมากล้ำ ริมฝีปากได้รูปสีชมพูสดใส ผิวพรรณนวลเนียนละเอียดลออผ่องอำไพ ทุกอย่างรวมเป็นตัวนางแล้วให้ความรู้สึกราวกับน้ำค้างยามรุ่งอรุณ สามารถดึงดูดจิตใจผู้คนให้เคลิบเคลิ้มหลงใหลได้โดยง่าย
นางมีนามว่า เหม่ยหลิน หรือโจวเหม่ยหลิน
ผู้ที่เป็นถึงองค์หญิงพระธิดาในฮ่องเต้แคว้นต้าโจวนามว่าโจวเหวินหลง
“องค์หญิงทรงเป็นอย่างไรบ้างเพคะ ทรงเหนื่อยหรือไม่ เราพักกันก่อนเถิดเพคะ” นางกำนัลนามว่าชิงชิงผู้ติดตามองค์หญิงเอ่ยถามไปทางเหม่ยหลินผู้เป็นนายเหนือหัวของตนอย่างเป็นห่วงเป็นใยเหลือประมาณ
“ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกังวลจนเกินไป” เหม่ยหลินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงหวานหูนุ่มนวลตามวิสัยไปทางบ่าวรับใช้คนสนิทของตน
“จะมิให้หม่อมฉันเป็นกังวลได้อย่างไรกันเพคะ เมื่อครู่ก็เจอโจรปล้น หม่อมฉันใจหายใจคว่ำหมดเลย” นางกำนัลบ่นอุบอิบทั้งเป็นห่วงทั้งเหน็ดเหนื่อยระคนกันไป
ชิงชิงยังคงกล่าวต่อเชิงตัดพ้อต่อเจ้านายของตน “องค์หญิงไม่ควรเดินทางออกมานอกเขตวัง เพื่อมาไหว้พระไกลถึงเพียงนี้เลยนะเพคะ ทำให้ไม่สามารถพาราชองครักษ์มาด้วยได้ แล้วหากเกิดสิ่งใดขึ้นกับองค์หญิง เอ่อ...” เสียงของนางกำนัลชิงชิงขาดหายไปไม่กล้าเอ่ยคำใดต่อมา ด้วยเกรงว่าจะเป็นการไม่ให้เกียรติองค์หญิงของตน
“ชิงชิง...เจ้าอย่าได้กังวลจนเกินไป ข้าไม่เป็นอะไร”
เหม่ยหลินยังยืนยันคำเดิมอย่างไม่ถือสาหาความใดๆ อีกต่อไปถึงแม้ว่านางจะเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัดด้วยเพราะว่าใบหน้านวลเนียนของนางในยามนี้กำลังขึ้นริ้วสีแดงพร้อมด้วยเหงื่อไหลเป็นทางยาวผุดพรายรอบวงหน้า
นางเพียงต้องการมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นสถานที่แห่งความทรงจำและเป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจระหว่างตนกับเสด็จแม่ผู้ล่วงลับแค่เพียงเท่านั้น
และที่สำคัญนี่ก็มิใช่ครั้งแรกที่นางแอบหนีออกจากวังมา เพื่อเดินทางมายังวัดแห่งนี้
เพียงแต่ว่า ครั้งนี้ช่างแตกต่าง
ด้วยเพราะภัยธรรมชาติที่ถาโถม ทั้งพายุฝนโหมกระหน่ำจนน้ำท่วมและตามมาด้วยภัยแล้งหลังน้ำลด นั่นจึงเป็นสาเหตุให้ข้าวยากหมากแพงและกำเนิดจอมโจรหน้าใหม่ขึ้นมาอีกหลายชีวิตด้วยกัน
โจรเหล่านั้นบ้างเป็นคนแก่ บ้างเป็นหญิงและเด็ก อาวุธในมือมีเพียงท่อนไม้
ด้วยเหตุนี้คณะเดินทางของเหม่ยหลินจึงถูกโจรปล้นชิงเอาทรัพย์สินมีค่าภายในรถม้าไปจนหมดสิ้น
ยามเมื่อโจรเข้าปล้นชิงเอาทรัพย์สินในรถม้า เหม่ยหลินจึงห้ามบ่าวไพร่เอาไว้มิให้ทำอันใดทั้งนั้น
สองหญิงสาวคือ เหม่ยหลินและนางกำนัลนามว่าชิงชิงอาศัยจังหวะเพียงเสี้ยวเวลายามที่เดินห่างออกมาจากรถม้าได้หลายก้าว เพื่อที่จะเดินเท้าต่อไปยังอาณาเขตภายในวัดแห่งนี้ จึงได้มีโอกาสหลบหนีออกมาจากการเข้าปล้นชิงนั้นได้อย่างทันท่วงที
ส่วนบ่าวไพร่คนอื่นๆ ต่างก็หนีกระเจิดกระเจิงกระจัดกระจายไปเสียสิ้น คาดว่าน่าจะหลบพวกโจรอยู่โดยรอบไม่ใกล้ไม่ไกลตามมุมต่างๆเป็นแน่
กลุ่มโจรพวกนั้นก็คงมิได้หมายเอาชีวิตใครเช่นกัน เพราะคนเหล่านั้นล้วนเข้ารื้นค้นเอาของมีค่าในรถม้าโดยไม่สนใจใครทั้งสิ้น
เหม่ยหลินคิดอย่างนั้นจึงมิได้ใส่ใจอันใดกับกลุ่มโจรที่รถม้าและบ่าวไพร่ที่หนีกระจายตัวอีกต่อไป
หญิงสาวเพียงแค่ปล่อยให้พวกโจรหยิบจับเอาทรัพย์สินไปโดยไม่คิดจะแสดงตัวตนเข้าขัดขวาง ด้วยเห็นว่าโจรพวกนั้นต้องการเพียงแค่ทำเพื่อความอยู่รอด หาได้ต้องการชีวิตของใครไม่
และถึงอย่างไรนางก็เดินทางออกมาไกลถึงเพียงนี้แล้ว อีกทั้งทางด้านหน้านี้ของนางในยามนี้ก็เป็นวัดตามเป้าหมายของนาง
นั่นจึงทำให้นางตัดสินใจเยี่ยงนี้ นางเลือกที่จะทิ้งรถม้าเอาไว้แล้วเดินเท้าต่อมายังวัดที่อยู่ไกลออกมา วัดที่ซึ่งเสด็จแม่ของนางเคยพานางมาเมื่อครั้งที่พระองค์ยังทรงมีชีวิตอยู่
นี่ก็ครบสามปีแล้วที่เสด็จแม่ของนางจากไป นางจึงอยากจะมานั่งภาวนาสวดมนต์ให้เสด็จแม่ของนางและพำนักเพื่อระลึกถึงท่านให้นานสักหน่อย ไม่ง่ายเลยที่นางจะออกมาจากวังได้
เหม่ยหลินคิดเพียงว่าออกจากวังไม่ง่ายเลย
แน่นอนว่านางคงไม่รู้ว่า นางไม่อาจกลับเข้าวังได้ง่ายดายเช่นกัน