พยายามสู้

1818 Words
เรื่องที่ฉันแอบหยุดกินยาทำให้คนทั้งบ้านดูจะกังวลกันมาก ก็แน่ล่ะอาการฉันถือว่าหนักเลย ตั้งแต่รักษาตัวจนกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ ก็ไม่เคยเพ้อแบบนั้นอีก วันรุ่งขึ้นยายรีบพาฉันไปโรงพยาบาลเพื่อเข้าพบหมอที่ดูแลฉัน ทั้งๆ ที่ฉันพยายามอธิบายว่าตัวเองเริ่มกลับมาปกติดีแล้ว แต่ยายก็ไม่ฟัง ยืนยันว่าต้องพบหมอให้แน่ใจ แต่ฉันก็เข้าใจความเป็นห่วงของยาย แม้จะรู้สึกอึดอัดใจบ้างที่ถูกคุมเข้มขนาดนี้ หมอที่ดูแลฉันอยู่ก็ถามหาเหตุผล ว่าทำไมถึงแอบหยุดกินยา เขารู้โดยที่ฉันไม่ได้บอกด้วยซ้ำว่าฉันแอบหยุดยา ท่านหมอพูดกับฉันด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและใจเย็นมากๆ "คุณดุจดารา การรักษาอาการป่วยของคุณต้องใช้เวลาและความสม่ำเสมอ การหยุดยาเองเป็นเรื่องที่อันตรายมาก ถ้าคุณรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้น ก็ควรมาคุยกับหมอก่อนนะคะ เราอาจจะหาทางปรับลดการทานยาได้" ฉันพยักหน้าเบาๆ ฉันเข้าใจทุกอย่างที่หมอพูด "หนูแค่อยากรู้สึกเหมือนคนปกติอีกครั้งค่ะ หนูรู้สึกเหนื่อยที่ต้องกินยาเยอะๆ แบบนี้" ฉันพูดออกมาแบบนั้น น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย หมอยิ้มอ่อนๆ ก่อนจะตอบ "การรักษาต้องใช้เวลาและความอดทน คนป่วยไม่ใช่คนไม่ปกติ เพียงแต่ว่ากำลังมีปัญหา และคุณไม่สามารถจัดการกับอาการป่วยนี้ได้เอง ต้องรักษาด้วยการทานยา และคุณก็กำลังอยู่ในขั้นตอนนั้น และก่อนหน้านี้คุณทำได้ดีมากแล้วนะคะ แต่มาหยุดยาแบบนี้ ถ้ามาหาหมอช้ากว่านี้ เราอาจจะต้องเริ่มรักษากันใหม่ทั้งหมด" ฉันรับฟังและพยายามเข้าใจสิ่งที่หมอบอก ยอมรับว่ายังมีความรู้สึกหดหู่ แต่ก็พยายามไม่ให้มันครอบงำจิตใจ หลังจากการพูดคุยกับหมอ ฉันกลับมาบ้านพร้อมกับยายและน้าสาวที่เป็นคนขับรถพายายกับฉันไปหาหมอ ที่บ้านบรรยากาศค่อยๆ ผ่อนคลายขึ้น แต่ทุกคนก็ยังคอยจับตามองฉันตลอดเวลา ป้าแป้วกับน้าสาวสลับกันมานั่งคุยเป็นเพื่อนบ้าง บางครั้งก็มีคำถามเล็กๆ น้อยๆ ที่ทำให้ฉันรู้ว่าพวกเขากังวลแค่ไหน แต่ฉันก็รู้ดีว่าความกังวลนี้เกิดจากความรักและห่วงใย พวกเขาไม่อยากเห็นฉันกลับไปเป็นคนที่จมอยู่ในความทรงจำและความเจ็บปวดอีก ฉันจึงพยายามทำตัวให้ดีขึ้น เพื่อให้พวกเขาสบายใจ ทุกวัน ฉันพยายามหางานเล็กๆ น้อยๆ ทำ เช่น ช่วยทำอาหาร ดูแลต้นไม้ หรือเล่นกับเด็กๆ ในบ้าน การที่มีอะไรทำช่วยให้ฉันไม่ว่างเกินไป และไม่จมอยู่กับความคิดของตัวเอง แม้ว่าใจฉันจะยังคงคิดถึงเฟิร์ส แต่ฉันก็พยายามฝึกฝนตัวเองให้รับมือกับความคิดเหล่านั้น หายใจลึกๆ แล้วบอกตัวเองว่านี่คือสิ่งที่ฉันต้องเผชิญและก้าวข้ามไปให้ได้ น้าสาวคอยให้กำลังใจฉันเสมอ ท่านมักจะบอกว่า "ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น น้าจะอยู่ข้างๆ หนูเสมอ ไม่มีอะไรที่เราจะผ่านไปด้วยกันไม่ได้" คำพูดนั้นทำให้ฉันรู้สึกอุ่นใจและมีกำลังใจมากขึ้น ฉันเริ่มเข้าใจว่าการที่จะกลับมาเป็นคนปกติไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่ไม่มีความเจ็บปวดหรือปัญหา แต่คือการที่เราจะสามารถรับมือกับมันได้ “บอกยายได้ไหม ว่าทำไมอยู่ๆ หนูถึงแอบหยุดยาแบบนั้น” ยายเดินเข้ามาหาฉัน พร้อมกับแก้วนมอุ่นๆ ที่ยายมักจะเตรียมมาให้ทุกคืน ฉันนอนกับยายสองคน แต่ยายก็มักจะนอนหลับไปก่อน ส่วนฉันก็นอนพลิกไปพลิกมา แต่พอยาเริ่มออกฤทธิ์ฉันก็หลับเป็นตายจนเช้า ตื่นสายทุกวันโดยที่ไม่มีใครมาปลุก เพราะอยากให้ฉันนอนให้เต็มที่ “หนู...เหนื่อย” ยายไม่ได้เข้าไปฟังตอนที่ฉันคุยกับหมอ ก็เลยไม่รู้ว่าเหตุผลของฉันคืออะไร และเหมือนว่ายายยังสงสัยอยู่ตลอด แต่ไม่กล้าถาม “อดทนหน่อยนะลูกนะ เดี๋ยวพอหายหนูก็ไม่ต้องกินยาแล้วนะ” ยายบอกกับฉันด้วยน้ำเสียงห่วงใย ดวงตาทั้งสองข้างของท่านเอ่อคลอด้วยน้ำตา เหมือนกับว่ากำลังจะร้องไห้ “เพราะยายเอง หนูถึงต้องเป็นแบบนี้” อยู่ๆ ยายก็พูดขึ้นมา “อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ หนูผิดเองที่แอบหยุดยา” “ถ้ายายไม่เข้มงวดกับแม่หนูจนเกินไป สิเขาคงไม่หนีไปแบบนั้น ขนาดไม่เหลือใครแล้วยังกัดฟันทนไม่ยอมกลับบ้าน” ยายพูดก่อนที่หยดน้ำตาจะไหลอาบแก้ม ยายคงเจ็บปวดมากเหมือนกัน ที่แม่ทำแบบนี้ “แม่คงอยากจะขอโทษยายนะคะ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ แม่คงไม่ทำแบบนี้” ฉันก็ไม่รู้ว่าจะบอกกับยายยังไงดี แต่ก็เชื่อแบบนั้นจริงๆ “ไม่หรอก คนอย่างสิ เขาเด็ดขาดมากจริงๆ” “ถ้าเด็ดขาดคงไม่ยอมให้โอกาสพ่อหนูหรอกค่ะ ไม่แน่แม่อาจจะวางแผนบอกหนูเรื่องยายแล้ว แต่มันดันมาเกิดเรื่องนี้เข้าก่อน ก็เลย...ไม่ได้บอกเลย” “หนูมีอะไรก็บอกยายได้นะลูก อยากได้อะไร อยากทำอะไร ยายจะไม่เจ้ากี้เจ้าการ ยายไม่อยากให้ประวัติศาสตร์มันซ้ำรอย” ยายพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและความอ่อนโยน ดวงตาของท่านยังคงมีน้ำตาคลอเบ้าอยู่ ฉันมองไปที่ยาย แล้วรู้สึกถึงความรักและความห่วงใยที่ท่านมีให้มาตลอด “หนูเข้าใจค่ะยาย หนูจะไม่ปิดบังอะไรอีกแล้ว” ฉันตอบกลับไปด้วยความตั้งใจแบบนั้นจริงๆ แม้ว่าฉันจะยังปิดบังเรื่องเฟิร์สอยู่ แต่ส่วนหนึ่งที่ฉันหยุดยาก็เพราะฉันรู้สึกเหนื่อยล้าจากการต้องต่อสู้กับตัวเองจริงๆ แต่คำพูดของยายทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันไม่ได้อยู่คนเดียวในการต่อสู้ครั้งนี้ “ดีแล้วล่ะลูก ยายไม่อยากให้หนูต้องเจ็บปวดแบบนี้อีก” ยายลูบหัวฉันอย่างแผ่วเบา มันทำให้ฉันนึกถึงตอนที่ฉันยังเด็ก ตอนที่แม่ยังต้องทำงานอย่างหนัก แล้วฝากฉันไว้กับคุณยายวาส เจ้าของหอพักที่แม่เคยเช่าอยู่ ตอนนั้นยายวาสเป็นพื้นที่ปลอดภัยของฉัน ฉันอยากทำอะไรก็ได้ทำ แต่อยู่กับแม่ แม่จะค่อนข้างบังคับให้ฉันต้องทำตามที่แม่ต้องการ คืนนั้นหลังจากที่ยายนอนหลับไปแล้ว ฉันยังนอนอยู่ในความเงียบมองเพดานและคิดถึงสิ่งที่ยายพูด ทุกครั้งที่ฉันพยายามจะเป็นคนปกติ ฉันกลับลืมไปว่าความปกติไม่ใช่การไม่มีปัญหา แต่คือการเผชิญหน้ากับปัญหาและผ่านมันไปให้ได้โดยที่มีคนที่รักและห่วงใยอยู่เคียงข้าง แล้วฉันก็คิดถึงแม่ขึ้นมา ความทรงจำเกี่ยวกับแม่เป็นภาพที่ทั้งอบอุ่นและเจ็บปวด ฉันไม่เคยรู้แน่ชัดว่าทำไมแม่ถึงเลือกเดินทางที่ยากลำบากนั้น แต่ในใจลึกๆ ฉันก็หวังว่าแม่จะรู้สึกถึงความรักและความห่วงใยของยาย เหมือนที่ฉันรู้สึกในคืนนี้ ฉันยังคิดไปถึงเรื่องน้าสาว การที่ยายไม่รู้สาเหตุที่อยู่ๆ ฉันก็หยุดยา แปลว่าน้าสาวคงไม่ได้เล่าเรื่องที่ฉันเจอกับเฟิร์สให้ยายฟัง และมันก็แปลได้อีกว่า น้าสาวคือคนที่ฉันสามารถไว้วางใจได้ “หนูขอไปช่วยงานที่ร้านขายปุ๋ยได้ไหมคะ น้าสาวจะได้ไม่ต้องหยุดงานมาอยู่เป็นเพื่อนหนู” เช้าวันรุ่งขึ้นฉันเดินเข้าไปบอกกับน้าสาว เพราะเมื่อคืนฉันคิดออกแล้วว่าจะทำอย่างไร ให้ตัวเองนั้นไม่ต้องเป็นภาระของคนในครอบครัว ฉันมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้าฉันเอาแต่อยู่ที่บ้าน ก็จะต้องมีคนหนึ่งคอยอยู่กับฉัน “ที่ร้านมันร้อนนะตุ๊กตา อยู่ที่บ้านมีห้องแอร์เย็นๆ ดีอยู่แล้ว” น้าสาวและทุกคนรู้ดีว่า อากาศร้อนมีผลกับฉัน แต่ฉันคิดว่าที่ฉันอาการกำเริบ เป็นเพราะฉันไม่ได้กินยามากกว่า “หนูไปได้ค่ะ หนูอยากไปช่วยงานที่ร้าน อยู่บ้านมันเบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ” น้าสาวนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะโทรศัพท์ไปถามยาย ว่าอนุญาตให้ฉันไปด้วยได้หรือเปล่า ฉันเองก็ยืนรอลุ้นอย่างใจจดใจจ่อ เพราะกลัวว่ายายจะไม่ให้ไป “ยายบอกว่าไปได้ แต่ถ้าอยากกลับให้บอกน้าเลยนะ น้าจะพากลับโอเคไหม” พอฉันรู้ว่ายายอนุญาตก็ดีใจมาก และพยักหน้ารับ จริงๆ ว่าจะขอยายตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว แต่ตื่นมาไม่เจอยาย เพราะยายต้องไปร้านตั้งแต่เช้า “งั้นก็ไปเตรียมตัวเลย จะเอาอะไรไปก็หยิบใส่กระเป๋ามาด้วยเลยนะ บอกก่อนนะว่าที่นั่นน่ะน่าเบื่อมาก ร้อนก็ร้อน เสียงก็ดังวุ่นวาย” ฉันรู้ว่าน้าสาวไม่อยากให้ฉันไปหรอก เพราะว่าเป็นห่วงฉัน จริงๆ ฉันก็เคยไปที่ร้านของยายหลายครั้งแล้ว แต่ก็ไปแค่แวบเดียว อย่างที่บอกที่นั่นมันร้อน ทุกคนเป็นห่วงฉัน ก็เลยไม่อยากให้อยู่นาน ฉันรีบเข้าห้องมาเตรียมทุกอย่างใส่กระเป๋าผ้า สิ่งที่ฉันเอาไปก็มีพวกหนังสือ ขนม แล้วก็ยา พอเก็บของเรียบร้อยแล้ว ฉันก็ไปยืนรอน้าสาวที่รถ พอน้าสาวเตรียมตัวเสร็จ พวกเราก็มุ่งหน้าไปที่ร้านขายปุ๋ยของยายด้วยกัน วันนี้ฉันตั้งใจว่าจะขอยายให้ช่วยหางานให้ฉันทำ ฉันอยากมีงาน มีอาชีพ ถึงจะเป็นกิจการของครอบครัวก็เถอะ อย่างน้อยก็น่าจะดีกว่านั่งๆ นอนๆ ไปวันๆ อย่างที่ฉันเป็นอยู่ในตอนนี้ ถึงอาการป่วยของฉันจะไม่หายขาด แต่ฉันก็จะพยายามรักษาตัวเองให้ดีขึ้น ให้กลับมาเป็นปกติให้มากที่สุด ระหว่างนี้ก็ทำงานที่ร้านของยายไปพลางๆ ถ้ามีโอกาสก็จะขอยายเรียนต่อ ฉันอยากเรียนให้จบ เฟิร์สคงเป็นคนที่มาจุดไฟในตัวของฉัน ที่มันมอดดับไปหลายปี ให้กลับมาติดขึ้นอีกครั้ง
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD