ตั้งแต่กลับจากแม่สอด ฉันไม่สามารถจะใช้ชีวิตเป็นตุ๊กตาได้อีก การพบเจอกับเฟิร์สโดยบังเอิญเหมือนเป็นการเปิดแผลที่ฉันพยายามจะเยียวยา ฉันคิดถึงเขามาก แม้ว่าในใจลึก ๆ จะรู้ดีว่าความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคงไม่มีทางกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อีกแล้ว
การคิดถึงเฟิร์ส ไม่เหมือนกับการคิดถึงแม่ เรื่องแม่ฉันพอจะทำใจปล่อยวางได้บ้าง เพราะท้ายที่สุดแล้วฉันไม่มีทางจะเจอกับแม่ได้อีกแน่ๆ แต่กับเฟิร์ส...ไม่ว่าฉันจะพยายามหักห้ามใจยังไง สุดท้ายความคิดของฉัน มันก็วนกลับไปที่อยากเจอเขาอีก ยิ่งพยายามหักห้ามใจ ก็ยิ่งคิดจนฉันรู้สึกว่าฉันควบคุมความคิดตัวเองไม่ได้
“นั่งเหม่ออะไรอยู่ตุ๊กตา” เสียงป้าแป้วทำให้ฉันสะดุ้งตกใจ หลายวันมานี้ ฉันถูกทักเรื่องเหม่อลอยค่อนข้างจะบ่อย
“คิดอะไรเพลินๆ ค่ะป้าแป้ว มีงานอะไรให้หนูช่วยหรือเปล่าคะ” ฉันต้องเปลี่ยนเรื่อง เพราะรู้สึกเหมือนว่าทุกคนในบ้าน ยกเว้นน้าสาว กำลังจับผิดฉันอยู่ คงเป็นเพราะฉันเอาแต่นั่งเหม่อนี่แหละมั้ง
“ไม่มีหรอกจ้ะ แล้วนี่กินข้าวกินยาแล้วหรือยัง” ฉันพยักหน้าแทนคำตอบ จริงๆ ก็ไม่อยากกินยาแล้ว เหนื่อยมาก เบื่อมาก แต่ก็กลัวว่าถ้าหยุดกิน แล้วฉันจะกลายเป็นภาระของทุกคนไปมากกว่านี้
“ยายเขาเป็นห่วง ช่วงนี้ตุ๊กตาดูเหมือนมีปัญหาอะไรหรือเปล่า ตั้งแต่กลับมาจากแม่สอด เหมือนจะนอนดึกขึ้น แล้วก็ชอบนั่งเหม่อด้วย” สุดท้ายป้าแป้วก็เข้ามาถามฉันเรื่องนี้จนได้
“ไม่ได้เป็นอะไรหรอกค่ะ แค่...ชอบที่ได้ไปเที่ยวน่ะค่ะ ตั้งแต่ย้ายมาอยู่ที่นี่ หนูแทบจะไม่ได้ออกไปไหนเลย พอได้นั่งรถไปไกลๆ ก็เลยชอบมากค่ะ หนูหยุดคิดถึงช่วงเวลาตอนนั้นไม่ได้เลย” ฉันพูดแก้ตัว แต่ก็ดูเหมือนป้าแป้วจะไม่ค่อยเชื่อหรอก
“มีอะไรก็ปรึกษาป้า ปรึกษาน้าสาว ปรึกษายาย ปรึกษาคนในครอบครัวได้นะ อย่าลืมว่าตอนนี้ตุ๊กตาไม่ได้ตัวคนเดียวแล้วนะ ทุกคนรักและเป็นห่วงตุ๊กตามากนะ” ฉันยิ้มก่อนจะพยักหน้าให้กับป้าแป้ว
เรื่องนั้นฉันรู้ดีเสมอ ทุกคนทำให้ฉันรู้สึกถึงความรัก และความอบอุ่น ที่ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า ตัวเองจะมี ก็ยังแปลกใจจนถึงตอนนี้ ว่าทำไมแม่ถึงไม่ยอมกลับมาหายาย
ฉันตัดสินใจออกไปเดินเล่นที่หลังบ้าน อยากสูดอากาศสดชื่น เผื่อว่าสมองมันจะหยุดคิดฟุ้งซ่านได้บ้าง ที่หลังบ้านของยายเป็นเนินเขา วิวสวยเชียวล่ะ แต่ฉันไม่ค่อยได้ออกมาหรอก เพราะทางมันค่อนข้างรก
ฉันเดินออกมาเรื่อยๆ ครั้งนี้ไม่ได้ชวนเด็กๆ มาด้วย เพราะอยากอยู่กับตัวเอง อยากให้ใจมันสงบ อยากอยู่เงียบๆ ฟังเสียงของธรรมชาติ
แต่แล้วภาพของภูเขาสูง ทุ่งหญ้า ดอกหญ้าเล็กๆ แล้วก็ลมที่พัดมาปะทะหน้า เหมือนยิ่งพัดพาเอาความทรงจำของฉัน ตอนที่อยู่กับเฟิร์สมาด้วย ฉันย่อตัวลงนั่งแล้วเด็ดดอกหญ้ามาถักเป็นแหวน แล้วก็สวมเข้าที่นิ้วของตัวเอง
ถ้าตอนนั้นฉันไม่หนีกลับไปกรุงเทพฯ เรื่องราวระหว่างฉันกับเฟิร์ส จะเป็นยังไงต่อนะ...แต่ถ้าวันนั้นฉันไม่ตัดสินใจกลับไป แม่ก็จะตกอยู่ในอันตรายน่ะสิ
ท้ายที่สุดแล้ว โชคชะตาคงจะกำหนดเอาไว้หมดแล้ว ฉันกับเฟิร์สคงจะมีเรื่องราวระหว่างกันได้เท่านั้น ฉันเองคงต้องทำใจให้ได้ และเก็บเขาเอาไว้แค่ในหัวใจไปตลอดกาล
ฉันคิดว่ายายคงไม่ยอมให้ฉันมีความรักแน่ เพราะแบบนี้ละมั้ง แม่ถึงไม่ยอมกลับมาที่นี่ แต่ยายก็ไม่ได้เข้มงวดกับฉันขนาดนั้นสักหน่อย
ความคิดในหัวของฉันเริ่มตีกันวุ่นวาย ฉันเริ่มได้ยินเสียงของตัวเอง โต้เถียงกันอยู่ในหัว ภาพในอดีตทับซ้อนกับภาพของความจริงจนฉันเริ่มสับสน
“ไม่นะ!!! อย่าทำแม่นะ!!!” อยู่ๆ ฉันก็เห็นภาพที่พ่อบุกเข้ามาทำร้ายฉันกับแม่
กรี๊ด!!!
ฉันทรุดตัวลงไปที่พื้น แล้วก็กรี๊ดออกมาอย่างบ้าคลั่ง ฉันรู้ตัวนะ แต่ไม่รู้ทำไมมันถึงควบคุมตัวเองไม่ได้ นี่อาการบ้าของฉัน...มันกำเริบอีกแล้วเหรอ
“ตุ๊กตา!!! หนูมาทำอะไรอยู่คนเดียวตรงนี้ ที่บ้านเขาตามหากันให้วุ่นไปหมด” เป็นน้าสาวที่เข้ามาหาฉัน แล้วดึงฉันขึ้นไปกอดไว้แน่น ฉันเองก็กอดน้าสาวแน่นเหมือนกัน ภาพในอดีตค่อยๆ จางหายไป ทุกอย่างกำลังกลับสู่ความปกติและภาพในปัจจุบัน
“กลับบ้านกันเถอะ”
“ไม่!!! หนูกลัวโดนยายด่า” อยู่ๆ ฉันก็พูดออกไปแบบนั้น ยายเคยด่าฉันที่ไหนกัน สักครั้งก็ไม่เคยเลย
“ตุ๊กตา...หนูเป็นอะไรลูก หนู...ลืมกินยาใช่ไหม” น้าสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ฉันไม่ได้ลืม แต่ฉันตั้งใจไม่กินเอง ฉันคิดว่าถ้าฉันกลับไปใช้ชีวิตปกติได้ ยายก็อาจจะยอมให้ฉันไปหาเฟิร์ส
ไม่สิ...ฉันอาย เฟิร์สเห็นบัตรประจำตัวผู้ป่วยของฉันแล้ว เขารู้แล้วว่าฉัน...เป็นบ้า ภาพหลอนเริ่มกัดกินฉันอีกครั้ง ฉันผลักน้าสาวออกไปจากตัว และพยายามจะเดินหนี แต่ก็ถูกน้าสาวตามเข้ามาจับตัวเอาไว้ได้ทัน
“ตุ๊กตานี่น้าเอง หนูจำไม่ได้เหรอลูก?” น้าสาวพยายามเรียกสติของฉัน แต่สมองของฉันมันต่อต้าน
“หนูชื่อสตาร์ แม่ตั้งชื่อให้หนูว่าสตาร์ หนูอยากชื่อสตาร์...ฮือ” แล้วฉันก็ร้องไห้ออกมา ผลของการแอบหยุดยาเพียงไม่กี่มื้อ ทำให้ฉันเพี้ยนทันที ชาตินี้ฉันคงไม่มีทางกลับไปเป็นคนปกติได้อีกแล้ว
“โอเคๆ ไม่ว่าหนูจะชื่ออะไร หนูเป็นหลานของน้าเหมือนเดิม เราสองคนกลับบ้านดีไหม ตรงนี้มันร้อน เดี๋ยวน้าหาน้ำเย็นๆ ให้กินนะ”
“หนูไม่มีญาติที่ไหน แม่หนูเป็นลูกคนเดียว แม่บอกว่าพ่อกับแม่ของแม่ตายไปแล้ว...แล้วนี่แม่หนูอยู่ไหน?” ฉันเริ่มแยกภาพหลอน กับความจริงไม่ได้ อากาศร้อนยิ่งกระตุ้นให้สมองของฉันคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
“โถ...นี่หนูแอบไม่กินยาจริงๆ ใช่ไหม” น้าสาวน้ำตาไหล คงจะสงสารฉันนั่นแหละ แต่โชคดีมากนะที่คนที่มาเจอฉันเป็นน้าสาว ถ้าเป็นคนอื่น เรื่องมันคงแย่ไปกว่านี้
สุดท้ายฉันยอมเดินกลับบ้านไปกับน้าสาว ท่านพาฉันกลับมาในบ้าน รีบเปิดแอร์ แล้วก็เอาน้ำที่น่าจะแอบผสมยาให้ฉันกิน แล้วก็โทรไปบอกยายว่าจะอยู่เป็นเพื่อนฉันก่อน
ทุกอย่างเป็นไปตามที่ฉันเองก็รู้อยู่แล้ว ฉันสร้างความวุ่นวายให้คนที่บ้าน เพียงเพราะคิดโง่ๆ ว่าหยุดยาจะทำให้ฉันกลับไปเป็นคนปกติ ไม่ต้องเป็นคนบ้าเหมือนที่เป็นอยู่
“ดีขึ้นหรือยัง” น้าสาวนั่งเฝ้าฉันไม่ห่าง พอได้กินยาและนอนพัก ฉันก็เริ่มอาการดีขึ้น ฉันยิ้มให้น้าสาวก่อนจะพยักหน้ารับ ฉันคงไม่ทำอีกแล้วไอ้หยุดยาเองตามอำเภอใจเนี่ย แต่คิดว่าที่บ้านคงจะเตรียมการพาฉันไปเจอหมอก่อนกำหนดการนัดแน่ๆ เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าวันนี้ ฉันอาการหนักทีเดียว