ได้แต่หวนคิดถึง

1347 Words
"เรื่องที่ตุ๊กตาไปนั่งคุยกับเพื่อนผู้ชายเมื่อกี้นี้ น้าจะไม่บอกยายนะ" น้าสาวพูดขึ้นมาขณะที่เรากำลังเดินกลับไปหายายด้วยกัน ฉันรู้ว่าทำไมน้าสาวถึงบอกแบบนั้น น้าสาวเคยแอบเล่าเรื่องแม่ของฉันกับยายให้ฟังอยู่บ้าง ทำให้ฉันเข้าใจว่าทำไมแม่ถึงได้โกหกฉันว่าไม่มีญาติที่ไหน แต่เอาจริงๆ ฉันก็เข้าใจมุมของยายนะ ท่านคงจะรักลูกสาวนั่นแหละ แม่ฉันก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไปเรียนต่อและทำงานอยู่ในกรุงเทพ ยิ่งมาเกิดเรื่องที่...เป็นโศกนาฏกรรมใหญ่ในชีวิตฉันแบบนั้นอีก ยายคงจะยิ่งฝังใจ "ขอบคุณน้าสาวนะคะ" "แล้วเขาเป็นเพื่อนตุ๊กตาจริงเหรอ ทำไมมาอยู่แถวนี้ล่ะ" เพราะสิ่งที่ฉันบอกคงจะไม่น่าเชื่อนัก น้าสาวถึงได้ถามซ้ำ แต่ฉันก็ทำแค่เพียงยิ้มแล้วตอบกลับไปตามความจริง "เขาเป็นเพื่อนตุ๊กตาจริงๆ ค่ะ เคยเรียนอยู่ที่กรุงเทพ แต่ตอนนี้กลับมาอยู่กับยายที่นี่" น้าสาวแค่พยักหน้ารับและไม่ได้พูดอะไรต่อ ส่วนฉันลึกๆ แล้วยังรู้สึกอยากกลับไปนั่งคุยกับเฟิร์สต่อ อาจจะเพราะว่าเราไม่ได้เจอกันนานแล้ว หรือไม่ก็อาจจะเพราะว่าฉันยังไม่เคยลืมเขาไปจากใจเลย ชีวิตของฉันนับจากที่สูญเสียแม่ไป เหมือนกับมีมรสุมใหญ่โหมกระหน่ำเข้ามา ฉันทรมานกับการร้องไห้ และพยายามยอมรับความจริง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังมีบางครั้งที่แอบคิดถึงแม่อยู่ แต่ความรู้สึกมันไม่ได้รุนแรงเท่ากับเมื่อก่อนแล้ว แต่ความรู้สึกตอนที่ได้เจอกับเฟิร์สเมื่อกี้นี้ มันเหมือนฉันได้ยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดหลังฝนตก ใต้สายรุ้งสีสดใส ความรู้สึกนี้มันเหมือนกับตอนที่ฉันเจอกับเฟิร์สครั้งแรกไม่มีผิด แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเฟิร์สรู้สึกเหมือนกันหรือเปล่าเวลาผ่านไปหลายปีแล้ว ตอนนั้นเหมือนว่าเราจะเลิกกันแล้วมั้ยนะ แล้วก็ถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าเฟิร์สจะมีแฟนใหม่ด้วยหรือเปล่า ความคิดในหัวของฉันวุ่นวายไปหมด "แต่ยังไงก็อย่าให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีกนะ ถ้ายายรู้เข้าคงจะไม่พอใจแน่ๆ" ฉันพยักหน้ารับ เพราะคิดว่าคงไม่มีโอกาสได้เจอกับเฟิร์สอีกแล้ว และนอกจากเฟิร์สคงไม่ได้ไปนั่งคุยกับผู้ชายที่ไหนแบบนั้นอีก แค่จะออกจากบ้านไปลำพัง คนที่บ้านยังไม่ยอมเลย ระหว่างเดินกลับไปที่บ้านญาติ ฉันไม่สามารถหยุดคิดถึงเฟิร์สได้ ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมาในหัวไม่หยุด ฉันยังจำวันแรกที่เจอเขาได้ดี เราสองคนมีช่วงเวลาที่ดีด้วยกัน แม้จะผ่านมานานแล้ว แต่ความรู้สึกดีๆ ก็ยังคงอยู่ในใจฉันเสมอ ที่ "ตุ๊กตา ทำไมเดินช้าจัง เร็วๆ หน่อยสิ เดี๋ยวยายจะรอนาน" น้าสาวหันมาพูดกับฉัน "ค่ะ น้าสาว" ฉันตอบและเร่งฝีเท้าให้ทันน้าสาว แต่ในใจยังคิดถึงเฟิร์สอยู่ ฉันอยากคุยกับเขาต่ออีกหน่อย ยังอยากรับรู้เรื่องราวในชีวิตของเขามากกว่านี้ ฉันปฏิเสธความจริงไม่ได้ว่า...ฉันคิดถึงเฟิร์ส เมื่อกลับมาถึงบ้าน ยายกำลังนั่งดูทีวีอยู่ที่ห้องนั่งเล่น ท่านหันมามองพวกเราด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ไม่รู้เป็นเพราะว่าฉันทำผิดเอาไว้หรือเปล่า ฉันรู้สึกระแวงอย่างบอกไม่ถูก "ไปไหนกันมานานจัง คิดว่าพาหลานไปหลงซะแล้วนะแม่สาว" ยายเอ่ยถาม "ตุ๊กตาไปเดินเล่นนิดหน่อยค่ะยาย แล้วก็เจอเพื่อนเก่า เลยนั่งคุยกันนิดหน่อย" ฉันตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆ “เพื่อน? เพื่อนที่ไหน ทำไมมาเจอกันไกลขนาดนี้” ฉันหันไปมองหน้าน้าสาว อีกฝ่ายพยายามส่ายหน้าไม่ให้พูด “เพื่อนที่โรงเรียนค่ะยาย พอดีเขามาเที่ยว แม่สอดดังออกนะคะ คนมาเที่ยวกันเยอะ” ฉันพูดแก้ตัว “นั่นสินะ ยายไม่ได้มาแค่ไม่กี่ปี อะไรๆ เปลี่ยนไปเยอะเลย เป็นไงบ้างล่ะ พอได้ไปเดินเปิดหูเปิดตาแล้วสบายใจขึ้นไหม” กลายเป็นว่ายายไม่ได้ต่อว่าอะไร แต่กลับพูดกับฉันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “สนุกดีค่ะยาย แต่อึดอัดนิดหน่อยที่เจอคนเยอะ” ฉันเข้าไปนั่งคุยกับยายต่อ และไม่ได้ย้อนพูดเรื่องเฟิร์สอีก แต่หัวใจของฉันยังเอาแต่คิดถึงเขา และคิดหาทางว่าจะทำอย่างไร ถึงจะได้เจอกันอีก มันดูจะเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเราจะบังเอิญเจอกันอีกครั้ง ต่อให้ฉันขอให้น้าสาวพาออกไปเดินเล่นในตลาดอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ก็ตาม “นั่งเหม่อคิดอะไรอยู่ตุ๊กตา” เสียงของน้าสาวทำให้ฉันสะดุ้งตกใจเล็กน้อย “เปล่าค่ะ ที่นี่น่าจะเห็นดาวชัด แต่ทำไมถึงมองไม่เห็นดาวเลย ไม่เหมือนที่บ้านเรา” ฉันหันไปถาม “ที่นี่แสงไฟเยอะ บ้านเราไม่ค่อยมีแสงไฟไง” น้าสาวตอบ แต่สายตาของเขาเหมือนจะมีบางอย่างค้างคาอยู่ในใจ “ผู้ชายที่เราเจอวันนี้ในตลาด ไม่ใช่แค่เพื่อนใช่ไหม” คำถามของน้าสาวทำให้ฉันนิ่งไปสักครู่ ก่อนจะพยักหน้าแทนคำตอบ “ดูออกเลยเหรอคะ แต่ตอนนี้พวกเราก็คงเป็นได้แค่เพื่อนกันจริงๆ นั่นแหละค่ะ” ฉันพูดต่อ “เล่าให้น้าฟังได้หรือเปล่า ว่าเขาเป็นใคร” ฉันหันมองหน้าน้าสาว ไม่รู้ว่าจะเล่าดีหรือเปล่า กลัวว่าน้าสาวจะรับไม่ได้ “น้าไม่เล่าให้ใครฟังหรอก น้าสัญญา” น้าสาวพูดต่อ และมันก็ทำให้ฉันเหมือนปลดล็อก ฉันเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับฉันและเฟิร์สให้น้าสาวฟังอย่างไม่ปิดบัง อาจจะเป็นเพราะว่าตลอดมาน้าสาวคอยดูแลฉันมาโดยตลอด ฉันก็เลยไว้ใจละมั้ง “แปลกจัง” เมื่อฉันเล่าจบ น้าสาวก็พูดขึ้นมา “แปลกอะไรเหรอคะ” “ก็พี่สิรินน่ะสิ ตัวเองเคยโดนกีดกันไม่ให้มีแฟนแท้ๆ ทำไมถึงเลี้ยงลูกแบบนั้นกัน” น้าสาวพูดพลางส่ายหน้า นั่นสิถ้าฉันไม่ได้มาเจอครอบครัวของแม่ ฉันคงไม่รู้มาก่อนเลย ว่าแม่ก็เคยถูกเลี้ยงแบบฉันมาก่อน “แม่คงไม่อยากให้หนูผิดพลาดเหมือนแม่มั้งคะ ผู้ชายที่แม่เลือกเฮงซวยสุดๆ ไปเลย” คิดถึงผู้ชายที่แม่เลือกแล้ว ฉันก็อดเสียใจไม่ได้จริงๆ ฉันรังเกียจที่ในตัวของฉันมีเลือดของขาอยู่ เขาเป็นผู้ชายท่ารังเกียจที่สุด เท่าที่ชีวิตของฉันเคยได้เจอผู้ชายมาเลย “ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว แต่ก็ช่างเถอะ ตอนนี้ตุ๊กตาคงไม่ได้อยากกลับไปคบเขาหรอก ใช่ไหม” น้าสาวถามต่อ “ไม่นะคะ ตอนนี้ตุ๊กตาไม่ได้เหมือนคนปกติแล้ว ไม่ได้คิดเรื่องแบบนั้นหรอกค่ะ ใครจะอยากเอาคนบ้าอย่างตุ๊กตาไปเป็นภาระ” ฉันรู้ตัวเองดีว่าไม่ควรไปเป็นภาระของใคร ตอนนี้ฉันเป็นได้แค่ตุ๊กตา ผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องเข้าพบหมอตลอด ต้องกินยาห้ามขาด ไม่สามารถทำงานอะไรได้ทั้งนั้น “คิดมากน่า ตอนนี้ตุ๊กตาก็ดีขึ้นมากแล้วนะ” “แต่หนูก็ยังทำงานอะไรไม่ได้ ทำได้แค่ช่วยงานเล็กๆ น้อยๆ” “แค่หนูสบายดี พวกเราทุกคนก็ดีใจมากแล้ว อย่าคิดมากเลยนะ” ฉันพยักหน้าตอบน้าสาว นั่นสินะแค่ฉันใช้ชีวิตปกติได้ก็ควรจะดีใจแล้ว อย่าใฝ่ฝันอะไรให้มันมากไปกว่านั้นเลย
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD