กัวเหม่ยอิงเดินดูอาหารแห้งในสหกรณ์ อาหารพวกนี้มีราคาต่ำกว่านมผงเป็นเท่าตัว หรือบางทีอาหารแห้ง 10 กว่าชั่งถึงจะพอค่านม 1 กระป๋อง
อาหารพวกนี้เป็นของจำเป็นสำหรับพวกเธอ กัวเหม่ยอิงจึงต้องซื้อเก็บไว้จำนวนหนึ่ง อย่างสาหร่ายแห้ง กัวเหม่ยอิงก็ซื้อไป 5 ชั่ง เกากี๋เพิ่มอีก 4 ชั่งเพราะที่บ้านยังเหลืออยู่ เหลือบไปเห็นฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งกัวเหม่ยอิงจึงหยิบมาอีกอย่างละ 10 ชั่ง
“ของพวกนี้พี่จะซื้อจริง ๆ เหรอคะ” สะใภ้รองร้องถามด้วยสีหน้าไม่เห็นด้วย
สาหร่ายแห้งกับเกากี๋หล่อนเข้าใจว่ามันสามารถเพิ่มรสชาติในอาหารได้ดี และที่บ้านก็จะซื้อติดไว้แม้จะน้อยนิดแต่ก็ยังมี แต่ฟองเต้าหู้แห้งกับกระเพาะปลาแห้งเป็นของที่ส่งมาจากมณฑลอื่นราคาจึงแพงกว่าของแห้งอื่น ๆ
“ใช่ ฉันจะเอาไปบำรุงคุณแม่” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า อันที่จริงเธออยากจะได้หมึกแล้วก็กุ้งแห้งตัวโต ๆ เพิ่มอีก เพียงแต่ราคามันแพงเกินไป เธอยังไม่กล้าซื้อ จึงหยิบเอากุ้งแห้งตัวเล็ก ๆ มา 1 ชั่ง
“ค่ะ”
เพราะแม่สามีล้มป่วยในยามนั้นพวกเธอไม่ได้พาไปหาหมอ หรือตามหมอมารักษาเพราะไม่มีเงินสักหยวน อย่าว่าแต่หยวนเลย สักเฟินก็ไม่มี ในความคิดของกัวเหม่ยอิงแล้วแม่สามีของเธอป่วยใจเพราะพ่อสามีจากไป เหล่าลูกชายและสะใภ้ไม่ได้เอะใจเรื่องอาการป่วยเพราะคิดว่าพอผ่านช่วงนั้นไปเดี๋ยวแม่สามีก็ดีขึ้น
แต่ในยามนั้นพี่ใหญ่หานหรือก็คือสามีของเธอ และน้องชายรองหานหมดวันลาจึงกลับไปปฏิบัติหน้าที่ ส่วนน้องชายสามหานนั้นพึ่งจะขึ้นมัธยมต้นจึงไม่ค่อยได้มาหาผู้เป็นมารดา ส่วนสะใภ้ต่างต้องลงแปลงหน้า รู้ตัวอีกที่แม่สามีก็ล้มป่วยแล้ว
หากจะต้องรักษาจริง ๆ กัวเหม่ยอิงคิดว่าต้องใช้เวลาหลายปีและต้องใช้เงินมากพอสมควร เพราะอุปกรณ์การรักษาหรือความรู้ของที่นี่ยังไม่ได้พัฒนามาก ไม่เหมือนกับอนาคตที่บางโรค บางอาการก็ตรวจเจอแค่หนึ่งชั่วโมง
ตอนนี้พวกเธอทำได้เพียงบำรุงร่างกายของแม่สามีให้ดี อีกอย่างก็คือรอน้องชายคนรองของสามีกลับมา ถึงในยามนี้เธอจะเหมือนหัวหน้าครอบครัวแค่ไหนแต่ก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าลูกชายคนโตต้องเป็นหัวหน้าครอบครัว หากลูกชายคนโตเสียชีวิตก็ต้องเป็นหลานชายที่ต้องดูแล แต่กัวเหม่ยอิงมีเพียงลูกสาว
พวกเธอแยกบ้านออกจากบ้านใหญ่สกุลหานก็จริง แต่พวกเธอไม่ได้แยกบ้านกัน เพราะแบบนี้แล้วน้องชายรองของสามีจึงเป็นเจ้าบ้านคนต่อไป
อีกอย่างเธอเป็นเพียงลูกสะใภ้จึงต้องรอความเห็นจากคนเป็นลูกชายของแม่สามีก่อน หากจะให้ทำการรักษา และไม่แน่ว่าบางทีแม่สามีอาจเดินไม่ได้อีกตลอดชีวิต ซึงมันเป็นเรื่องในอนาคต อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้
กัวเหม่ยอิงเลือกซื้อของแห้งอีก 2-3 อย่างจึงไปดูเครื่องปรุงเพิ่ม เครื่องปรุงที่บ้านมีแทบจะทุกอย่างเพราะกัวเหม่ยอิงเอาออกจากตู้ในห้องนอน แต่แม้จะมีทุกอย่างมันก็มีแค่น้อยนิด
“อยากได้เหรอ” กัวเหม่ยอิงถามสะใภ้รองที่มองชั้นผลไม้
หล่อนเม้มปากก่อนจะส่ายหัว ในชีวิตนี้หล่อนเคยกินครั้งหนึ่งในวันที่สามีซื้อมาฝาก แม้จะมีผลเดียวแต่มันก็อร่อยมาก ๆ แต่ว่าราคาของมันก็ไม่ได้ถูก สามารถซื้ออาหารได้มื้อหนึ่ง หล่อนบังเอิญเหลือบไปเห็นไม่คิดว่าพี่สะใภ้จะเห็นสายตาของหล่อน
แอปเปิล 1 ถุงใหญ่ พร้อมกับสาลี่อีก 1 ถุงถูกกัวเหม่ยอิงยกมาถือเอาไว้แล้วเดินนำหน้าสะใภ้รองไปจ่ายเงิน ของในตะกร้าก็เยอะพอสมควร เธอไม่กล้าใช้น้องสะใภ้ตัวเองหอบทั้งหมดหรอก
“ทั้งหมด 68.9 หยวนค่ะ”
สิ้นเสียงพนักงานของสหกรณ์ผู้คนที่กำลังรอจ่ายเงินและเลือกซื้อของอยู่ต่างหันมามองอย่างพร้อมเพียง เงินจำนวนนี้ไม่ใช่ว่าจะหามาได้ง่าย ๆ ขนาดพนักงานของรัฐเงินเดือนยังเริ่มต้นที่ 20-35 หยวน ไหนจะหักค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนแล้วต้องออมเงินกี่เดือนถึงจะสามารถใช้จ่ายแบบนี้ได้? อีกอย่างจากการเฉลี่ยหลาย ๆ บ้านแล้ว ในหนึ่งเดือนพวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน หรือหากเป็นชาวบ้านที่ทำงานเก็บแต้มสมาชิดในบ้านพวกเขาเยอะแค่ไหนของยิ่งต้องประหยัดกว่านั้น รวม ๆ แล้ว 1 ปี พวกเขาล้วนใช้เงินไม่ถึง 10 หยวน
“นี่ค่ะ” กัวเหม่ยอิงยื่นทั้งธนบัตรทั้งเหรียญให้พนักงานพร้อมกับคูปองที่ต้องใช้
วันนี้เธอใช้เงินของแม่สามีเดือบครึ่งในการซื้อของเพราะจะไม่เป็นที่สงสัยของสะใภ้รอง แต่เธอก็จดจำนวนเงินพวกนี้ไว้ในกระดาษที่มีอยู่ในห้องไว้แล้ว
กัวเหม่ยอิงเรียกพี่ชายที่รออยู่ด้านนอกเข้ามาช่วยขนของเนื่องจากไม่สามารถนำตะกร้าออกจากสหกรณ์ได้ และที่นี่ก็ไม่มีถุงให้เธอใส่ด้วยเช่นกันจึงต้องขนออกไป และคนหนึ่งก็ต้องเฝ้าของเอาไว้ ถ้าเธอขนคนเดียวกว่าจะขนครบน่าจะมืดเสียก่อน
“ซื้อครบแล้วหรือ” พี่ใหญ่กัวถาม
“ค่ะ/ค่ะ”
“งั้นเรากลับกันเลยไหม”
“กลับเลยก็ได้ค่ะ แต่แวะไปห้องพักของน้องชายสามทีนะคะ”
“ได้”
เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด ทันทีที่เธอให้สะใภ้รองอุ้มหลานสาวอย่างเสี่ยวหนิงลงจากเกวียนวัว ชาวบ้านที่พักอยู่หน้าบ้านหรือจับกลุ่มกันต่างหันมาสนใจ
จะไม่ให้สนใจก็ไม่ได้เพียงแค่บ้านไหนขยับตัวบ้านข้าง ๆ ต่างก็รู้แล้ว อีกอย่างในยามนี้บ้านสามสกุลหานมีหลานสาวคนเดียวแต่ตอนนี้มีแม่กัวอุ้มนั่งเล่นอยู่ลานบ้าน แต่สะใภ้รองที่ยังไม่มีลูกกลับอุ้มเด็กลงจากเกวียนวัว
‘เอาเกวียนวัวไปเทียบหน้าประตูแล้วขนของลง’ กัวเหม่ยอิงกระซิบน้องชายสาม
เพราะเธอแต่งออกจากบ้านกัวแล้วก็ถือว่าไม่ใช้ครอบครัวเดียวกัน การที่จะให้พี่ใหญ่กัวขนของเข้าบ้านให้ก็ไม่ใช่เรื่อง ที่เธอทำแบบนั้นก็เพราะไม่อยากให้ใครเห็นของที่ซื้อมา เดี๋ยวบ้านใหญ่สกุลหานจะอยากได้ไปอีก และที่เธอไม่ขนของเข้าบ้านก็เพราะเธอต้องเผชิญหน้ากับชาวบ้านที่ต้องการจะเข้ามาสอด
“สะใภ้ใหญ่! นั่นเด็กที่ไหนน่ะ”
ก่อนที่จะมีใครเข้ามาในบ้านกัวเหม่ยอิงจึงสั่งให้สะใภ้รองนำหลานสาวและนำแม่กัวที่อุ้มลูกสาวของเธอเข้าไปในบ้าน ส่วนตัวเธอแล้วก็ทำการปิดประตูรั้วเอาไว้
‘ไม่ใช่ว่าลูกของเจ้าสามหรือ!’
‘จริงหรือ’
‘ไหนว่าเรียนมัธยมในเมือง’
‘ใช่’
‘หรือบ้านสามสกุลหานโกหก’
‘น้องชายสามเรียนเหรอ ฉันคิดว่าเขาทำงานในเมืองซะอีก’
‘ไม่รู้ ฉันไม่เห็นใครเห็นเขาไปเรียนนะ’
‘แล้วเด็กนั่นเป็นลูกใคร’
‘บ้านสามจะเรื่องเด็กนั่นเหรอ’
“ไม่ใช่เรื่องที่ฉันต้องตอบ” กัวเหม่ยอิงว่าเสียงเรียบ ลำพังเรื่องในครอบครัวก็ยังไม่ได้คุยกัน คนนอกกลับอยากรู้เรื่องราวภายในก่อนพวกเธอ
“หึ คงจะเป็นเรื่องร้ายแรงสินะ”
“ลูกน้องชายสามจริง ๆ เหรอ”
“เขายังไม่ได้แต่งเมียนะ”
“นั่นสิ”
“รบกวนไม่เสียงดังนะคะ พอดีพวกเราอยากอยู่เงียบ ๆ ” กัวเหม่ยอิงกล่าวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีทั้ง ๆ ที่จริงแล้วเธอแค่เหนื่อย
กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจเรื่องราวภายนอกที่พยายามจะเปิดประตูจนรั้วไม้เริ่มหัก เธอเดินเข้าไปในบ้านแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ห้องโถงที่ทุกคนนั่งรออยู่ยกเว้นแม่สามี
“แม่กับพี่ใหญ่กลับไปพักกันเถอะค่ะ ฉันรบกวนทั้งวันแล้ว” กัวเหม่ยอิงบอกผู้เป็นมารดาและพี่ชาย
“ได้ เดี๋ยวพี่จะกลับเลย” พี่ใหญ่กัวพยักหน้า เขาพอจะรับรู้เรื่องราวคร่าว ๆ จากน้องสาวตอนไปรับน้องชายสามกับลูก เขาไม่มีสิทธิ์ออกความเห็นอะไรจึงทำได้แค่เงียบ ๆ
“มะ…แม่” แม่กัวพูดอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ มีเรื่องที่อยากจะถามแต่ก็ไม่กล้าที่จะถาม
“เอาไว้เดี๋ยวฉันจะไปหานะคะ แต่วันนี้แม่กลับไปก่อนเถอะค่ะ อีกอย่างก็ขอบคุณนะคะที่มาดูแลเสี่ยวลู่ให้ค่ะ”
“อืม” แม่กัวพยักหน้าให้ลูกสาวแล้วเดินออกไป
“แอ้ แอ้”
“นายอุ้มลูกเข้าไปหาคุณแม่” กันเหม่ยอิงสั่งน้องชายสามี อันที่จริงก็อยากจะพาเข้าไปบอกเล่าเรื่องราว แต่กัวเหม่ยอิงก็อยากให้น้องชายสามเป็นคนบอกผู้เป็นแม่เอง อีกอย่างเธอก็ไม่อยากเข้าไปทำให้น้องชายสามไม่กล้าพูด
“จะดีเหรอครับ”
“อืม กล้าทำก็ต้องกล้ารับ นายก็รู้จักนิสัยของแม่นายดี”
ก็เพราะรู้จักเขาถึงไม่อยากเข้าไป ไม่ใช่ว่ากลัวผู้เป็นแม่จะด่า แต่เขากลัวนางจะเป็นลม
กัวเหม่ยอิงส่ายหน้าตามหลังน้องชายสามีก่อนจะหันมาดูของที่ซื้อมา กัวเหม่ยอิงแบ่งของออกให้เหลืออย่างละชั่ง ของพวกนี้เธอจะเก็บไว้ในครัว ส่วนของที่เหลือเธอจะเก็บไว้ในห้องของเธอเพราะห้องของสะใภ้รองไม่มีตู้ และจะเป็นการรบกวนแม่สามีหากเอาของเข้าไปเก็บ ส่วนห้องของน้องชายสามยิ่งไม่ได้เลย ถึงจะเป็นคนในครอบครัวแต่น้องชายสามยังไม่ได้แต่งงานจึงไม่สมควรยิ่ง
เธอได้ยินเสียงภายในห้องของแม่สามีและเสียงตกใจของแม่สามีแต่เธอไม่ได้เข้าไปดู น้องชายสามเป็นคนผูกเรื่องราวนี้เขาก็ต้องเป็นคนแก้มันเอง
“เดี๋ยวแบ่งแอปเปิลกับสาลี่ไปให้บ้านกัวอย่างละ 5 ลูก” กัวเหม่ยอิงบอกสะใภ้รองที่ช่วยแยกของ
ถุงหนึ่งบรรจุแอปเปิลกับสาลี่ถุงละ 12-15 ลูก และมันก็ผลใหญ่มาก กว่าจะกินหมดกัวเหม่ยอิงคิดว่าพวกเธอจะกินมันไม่ทัน และเธอก็คิดก่อนจะซื้อเอาไว้แล้วว่าจะแบ่งไปให้บ้านกัว ที่เธอไม่ได้เอาให้เลยก็เพราะต่อให้หาเหตุผลอะไรมาแย้งแม่กับพี่ชายของเธอก็ไม่ยอมเอาไป เอาไว้ดึก ๆ ค่อยให้น้องชายสามเอาไปส่งก็ได้
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันแยกไว้ให้” สะใภ้ร้องพยักหน้า หล่อนไม่ได้ห้ามพี่สะใภ้ว่าไม่ให้เอาให้บ้านกัว ถ้าพวกเธอไม่ได้บ้านกัวช่วย ในตอนนี้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรกินหรือเปล่า
“อืม เราไปทำกับข้าวกันเถอะ”
เช้าวันใหม่ของกัวเหม่ยอิงไม่ใช่เช้าวันที่สดใสมากนัก เมื่อคืนเรื่องที่เธอพาเด็กกับน้องชายสามกลับบ้านเป็นเรื่องที่รู้กันทั้งหมู่บ้าน จริง ๆ มันจะไม่ใช่อะไรเลยหากเธอไม่ได้พาเด็กกลับมาด้วย
“ขอโทษครับ” น้องชายสามก้มหน้าสำนึกผิด
“เฮ้อ ต่อให้เรื่องนี้เราไม่พูดก็ต้องมีคนพูดอยู่ดี” กัวเหม่ยอิงอ้าปากหาวอย่างง่วงนอน เมื่อคืนเธอแทบจะไม่ได้นอนเพราะเสี่ยวลู่มีใครจึงต้องดูอาการ แต่ไม่คิดว่าตื่นเช้ามาจะมีคนให้ไปพบ
และใช่ บ้านใหญ่สกุลหานพอรู้เรื่องนี้ก็รีบให้คนมาเรียกไปพบ คงจะกลัวว่าพวกนางจะทำให้เสียหน้า แต่มาเรียกก็เขเาเกินไป กับข้าวมื้อเช้าจึงเป็นสะใภ้รองทำ ส่วเธอก็นั่งหาวอยู่บนโต๊ะกินข้าว พร้อมกับน้องชายสามีที่นั่งสำนึกผิด
“แต่เราแยกบ้านออกมาแล้ว” น้อวชายสามพูดอย่างไม่พอใจ ถึงวันที่เขาได้แยกบ้านออกมาเขาจะเด็ก แต่ก็รู้หลาย ๆ เรื่อง ไม่ใช่ไม่รู้ว่าที่บ้านถูกรังแก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ทุกคนทำเพียงบอกให้เขาเรียนไม่ต้องยุ่งเรื่องภายในบ้าน
“ใช่ เราแยกบ้านแล้ว” กัวเหม่ยอิงยกยิ้มมุมปาก
“?”
“เอาเถอะ นายจะกลับไปเรียนอีกสี่วัน คิดไว้ยังว่าจะทำยังไง” กัวเหม่ยอิงถาม ถึงเมื่อคืนเธอจะได้ยินคำที่แม่สามีพูดแต่เธอก็รอให้น้องสามีเป็นคนมาบอก
“แม่บอกให้ลองถามพี่สะใภ้ครับ”
“อืม นายก็ลองถามหล่อนดู ฉันไม่มีเวลาเลี้ยงให้หรอกนะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงนั่งคุยกับน้องชายสามเกือบครึ่งชั่วโมงสะใภ้รองก็เอากับข้าวออกมาให้ ส่วนของแม่สามีสะใภ้รองทำไปให้ตั้งแต่เช้าพร้อมกับแอบเปิ้ลหั่นเต๋าครึ่งลูก พวกเธอต่างรีบกินมื้อเช้าเพราะต้องไปบ้านใหญ่สกุลหานที่ส่งคนมาตามตั้งแต่เช้า