กัวเหม่ยอิงมองปากทางเข้าอำเภออย่างตื่นเต้น วันนี้เป็นครั้งแรกที่เธอได้เข้าอำเภอ แต่ก็ไม่เชิงว่าเป็นครั้งแรกเพราะกัวเหม่ยอิงคนก่อนก็เคยเข้ามาอยู่ในอำเภอเพราะมาเรียน แต่ถ้าถามถึงเธอ เธอพึ่งเคยมาครั้งแรก
“พี่สะใภ้จะไปสหกรณ์เลยไหมคะ” เป็นสะใภ้รองที่ถามขึ้นมา
“เดี๋ยวพี่จะไปทำธุระก่อน อีกสักพักจะตามไปที่สหกรณ์” พี่ใหญ่กัวว่า
เพราะกัวเหม่ยอิงอยากซื้อของไปตุนเอาไว้ก็เลยให้สะใภ้รองมาช่วย ส่วนพี่ใหญ่จะเข้าอำเภอพอดี พวกเธอจึงเช่าเกวียนคนในหมู่บ้านออกมา
ส่วนเสี่ยวลู่น้อยก็เป็นแม่กัวที่กัวเหม่ยอิงไปขอร้องให้มาช่วยเลี้ยงลูกสาวระหว่างเข้าอำเภอกับฝากดูแลแม่สามีด้วยซึ่งแม่กัวก็ไม่ปฎิเสธ
“เราจะดินดูรอบ ๆ ก่อน เดี๋ยวไปเจอกันที่สหกรณ์เลยก็ได้ค่ะ” ประโยคแรกบอกผู้เป็นน้องสะใภ้ ส่วนประโยคต่อมาเธอหันไปตอบพี่ชาย
“ได้” พี่ใหญ่กัวพยักหน้าพร้อมกับหันไปลากเกวียนวัวเดินห่างออกไป
กัวเหม่ยอิงหันมองรอบ ๆ ก่อนจะเดินนำสะใภ้รองเดินเข้าตัวอำเภอ เธอไม่ได้ตรงไปที่สหกรณ์เพราะอยากเดินดูที่อื่น ๆ อีกหลายปีถึงจะเปิดการซื้อขายแบบเสรี ที่นี่จึงไม่ได้มีอะไรมากยกเว้นร้านค้าของทางรัฐบาล
“เราไปดูน้องชายสามกันไหมคะ” สะใภ้รองถามเมื่อพวกเธอเดินถึงหน้าโรงเรียนมัธยมในอำเภอ
“ไปก็ได้ เดือนนี้เขายังไม่ได้กลับบ้านเลย” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
หานหรงอี้หรือน้องชายสามเป็นน้องชายคนเล็กของบ้านสามสกุลหาน ปีนี้กำลังศึกษาอยู่ระดับมัธยมตอนปลายปีสุดท้าย เขาเรียนและพักอยู่ในเภอเพราะนางหลิงซือไม่อยากให้ลูกชายตื่นเช้าและกลับบ้านดึกมันจะเหนื่อย จึงตัดปัญหาให้พักในตัวอำเภอแม้จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น
น้องชายสามรับรู้ว่าพี่ใหญ่เสียแล้วผ่านพี่ใหญ่กัวที่อาสามาบอกให้ แต่เนื่องจากช่วงนี้จะมีการสอบจึงไม่สามารถกลับบ้านได้ และเขาก็ได้เงินใช้จ่ายในอำเภอเดือนละสิบหยวน เป็นเงินจำนวนมากสำหรับชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเธอ แต่มันเป็นเงินที่คนในเมืองใช้ทุกเดือน
โรงเรียนมัธยมในอำเภอไม่ใช่โรงเรียนประจำ หอพักสำหรับนักเรียนจึงต้องหาเช่าเอาเอง แต่ห้องพักของน้องชายสามอยู่ไม่ไกลจากโรงเรียน พวกเธอจึงสามารถเดินถึงเพียงไม่กี่นาที
‘แอ้ แอ้ ฮึก แงงงง’
กัวเหม่ยอิงกำลังง้างมือจะเคาะประตูแต่ก็ต้องชะงักเพราะได้ยินเสียงเด็กร้อง เธอมองเลขห้องสลับกับมองหน้าน้องสะใภ้ก่อนจะพากันตกใจ
ในความทรงจำที่มี น้องชายสามยังไม่แต่งภรรยาเพราะเรียนยังไม่จบ และพักอยู่คนเดียวไม่ได้พักรวมกับใคร ทำไมถึงมีเสียงเด็กร้องได้?
‘โอ๋ ๆ เสี่ยวหนิงไม่ร้องนะ’ เสียงข้างในดังตะกุกตะกักพร้อมกับน้ำเสียงร้องรนของผู้ชายวัยแตกหนุ่ม
‘ฮึก แงง’
‘โอ๊ย เสียงเด็กเวรนี่ร้องอีกแล้ว!’
‘ฉันจะไม่ทนแล้วนะคะ!’
เสียงดังออกจากห้องข้าง ๆ พร้อมกับการเปิดประตูออกมายิ่งทำให้กัวเหม่ยอิงตกใจ ผู้ชายตรงหน้าของเธอมีร่างที่สูงใหญ่ข้างหลังยังมีผู้หญิงที่ทำหน้าไม่พอใจ
“มองอะไร!” หล่อนรีบเดินมาขวางกัวเหม่ยอิงที่มองสามีของหล่อน
ด้วยความที่ห้องพักมีหลายห้องและอยู่ติดกันจึงไม่แปลกเมื่อมีเสียงดังแล้วทุกคนจะออกมาดู แต่สำหรับที่นี่พวกเขาเริ่มไม่พอใจเมื่อมีเสียงเด็กร้อง ห้องพักที่นี่ส่วนมากจะเป็นนักเรียนที่มาเช่าอาศัยและเป็นคนวัยทำงาน ทุกคนจึงต้องการที่จะพักผ่อน
“เอ่อ…นี่ใช่ห้องของหานหรงอี้หรือเปล่าคะ” กัวเหม่ยอิงชี้ประตูห้องที่เธอยืนอยู่
“ใช่”
“หล่อนเป็นใคร เป็นเมียมันเหรอ ทำไมต้องเอาเด็กเวรมาไว้ที่นี่ด้วย!” หล่อนบ่นออกมาด้วยความรำคาญ หล่อนพักอยู่ที่นี่มาหลายเดือน ทุกวันมีเสียงโวกเวกโวยวายก็รำคาญจะแย่แล้ว สัปดาห์นี้ต้องมาทนฟังเสียงเด็กร้อง
“ฉันเป็นพี่สะใภ้ของเขาน่ะค่ะ ยังไงต้องขออภัยด้วยนะคะ เดี๋ยวฉันจะจัดการให้” กัวเหม่ยอิงที่ประเมินสถานการณ์แล้วรีบก้มหัวขอโทษคนที่ออกมาดู
“ดี!” หล่อนว่าก่อนจะดึงแขนสามีเข้าห้องและปิดประตูเสียงดัง
“เธอเป็นพี่สะใภ้ของเขาใช่ไหม ช่วยเอาเด็กออกไปที พวกเราต้องการพักผ่อน”
“ใช่ ฉันไม่รู้ว่าน้องชายหานจะเอาเด็กมาเลี้ยงทำไม แต่เสียงของหล่อนทำพวกเรานอนไม่หลับ”
“เอาเด็กออกไปด้วย ก่อนที่ฉันจะแจ้งเจ้าของห้อง”
“ค่ะ”
ก๊อก! ก๊อก!
“น้องชายสามเปิดประตูที”
กัวเหม่ยอิงหันไปเคาะประตูหลังทุกคนแยกย้ายกันและเสียงเด็กในห้องเงียบลง ใบหน้าของเธอยังมีสีหน้ากังวลปรากฏอยู่
“พะ…พี่สะใภ้!”
คนที่เดินมาเปิดประตูมีสีหน้าซีดเผือกเมื่อเห็นเหล่าพี่สะใภ้ยืนอยู่หน้าประตู
กัวเหม่ยอิงมองลอดประตูเข้าไปข้างในเห็นเด็กที่น่าจะอายุเท่าเสี่ยวลู่นอนอยู่ เธอถอนหายใจก่อนจะเดินเข้าไปในห้องที่แคบ ที่บ้านก็ว่าไม่น่าอยู่แล้ว ที่นี่ยิ่งไม่น่าอยู่มากกว่า กลิ่นอับชื้นตีขึ้นจนเกือบจะอ้วก กัวเหม่ยอิงจึงยกแขนเสื้อขึนมาปิดแล้วเข้าไปอุ้มเด็กขึ้นมาดู
“เด็กคนนี้คือใคร” กัวเหม่ยอิงถามคนที่ยืนหลบสายตา “ไม่ได้ยินที่ถามหรือยังไง!”
“ละ…ลูก ผ ผมเอง” น้องชายสามหลับตาด้วยความกลัว
“เฮ้อ เรื่องราวมันเป็นยังไง” กัวเหม่ยอิงถอนหายใจ
เธอส่งเด็กไปให้สะใภ้รองอุ้มส่วนตัวเองก็หันมาถามน้องชายสามที่ไม่กล้าพูดอะไร ได้ความว่าปีที่แล้วมีการจัดงานเลี้ยงปีใหม่และเขาก็ไม่ได้กลับบ้าน เขาดื่มเหล้ากับสหายภาพก็ตัดไป ตื่นขึ้นมาอีกทีก็ได้นอนกับผู้หญิงคนหนึ่ง ในยามนั้นเขาไม่ได้รับผิดชอบเพราะหล่อนไม่ต้องการ
แต่แล้วไม่กี่เดือนต่อมาหล่อนก็มาบอกว่าท้องกับเขาและต้องการให้เขารับผิดชอบ หล่อนเป็นลูกสาวของหนึ่งในครูที่โรงเรียน หล่อนจบไปได้หลายปีแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ทำงานจึงมางานเลี้ยงของโรงเรียน ที่บ้านของหล่อนไม่มีใครต้องการเด็กเพราะอยากให้ลูกสาวแต่งงานกับคนในเมือง
ทว่าหญิงสาวกลับดื้อรั้นที่จะเอาเด็กไว้จึงมีปัญหากับคนในครอบครัว สุดท้ายหล่อนก็ต้องย้ายมาอยู่กับเขา และที่เขาไม่ได้บอกคนในครอบครัวก็เพราะยังไม่กล้าสู้หน้าใคร จนกระทั่งต้นปีที่ผ่านมาหล่อนได้คลอดลูกสาวยิ่งทำให้บ้านของหล่อนไม่พอใจ มีลูกก่อนแต่งงานก็ว่าเสียหายมากแล้ว ยังจะคลอดเด็กหญิงไร้ประโยชน์มาอีก
หล่อนกับลูกกลับไปอยู่ที่บ้านเดิมเพราะต้องอยู่ไฟ แม่ของหล่อนยังมีเยื่อใยอยู่บ้างจึงเป็นห่วงหล่อน แต่พอหมดช่วงอยู่ไฟหล่อนก็มาหาเขาประจำ จนกระทั่งเกิดข่าวร้ายกับพี่ชาย วันนั้นเขาจำได้ดี พี่ชายของพี่สะใภ้มาแจ้งว่าพี่ใหญ่พลีชีพไปแล้ว และพี่รองบาดเจ็บหนักน่าจะต้องออกจากทหาร วันนั้นเป็นวันที่เขาเสียใจแต่ยิ่งเสียใจหนักก็หล่อนเอาลูกสาวมาให้เขาเลี้ยง พร้อมกับบอกว่าอย่าติดต่อพวกหล่อนถ้ายังอยากจะเรียนให้จบอยู่ ซึ่งแม้พ่อของหล่อนจะเป็นเพียงคุณครู แต่ก็มีผลต่อการจบของเขาหากเขาไม่เชื่อฟัง
“เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ยังจะทำเหมือนเรื่องมันนิดเดียว!” กัวเหม่ยอิงโมโห
ยอมมีปัญหากับคนที่บ้านเพราะอยากจะเก็บเด็กเอาไว้ แต่พอน้องชายสามมีเรื่องกลับทิ้งเด็กไว้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่เพราะหล่อนต้องการจะมาเป็นน้องสะใภ้ของพวกเธอหรือจึงทำแบบนี้? ในโรงเรียนใคร ๆ ก็ต่างรู้ว่าบ้านของนักเรียนหานเป็นทหารหมดบ้าน
“กะ…ก็”
“ไหนบอกช่วงนี้มีสอบ ไม่ใช่ว่าต้องเลี้ยงเด็กแล้วไม่ไปสอบนะ!”
“สอบ! ผะ…ผมไปสอบอยู่นะ” น้องชายสามพยักหน้ารัว ๆ
“แล้วนายเอาเวลาไหนไปเรียน”
“สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ของการสอบ ใครจะสอบวันไหนเวลาไหนก็ต้องไปแจ้งครู ผมเข้าสอบสลับกับให้สหายช่วยเลี้ยงเสี่ยวหนิงให้” น้องชายสามอธิบาย ยังดีที่เขามีสหายให้ปรึกษาและสหายของเขาก็ช่วยเลี้ยงลูกสาวตั้งแต่หล่อนมาอยู่ที่นี่
“สอบเสร็จหรือยัง”
“เสร็จแล้ว”
“มีเรียนอีกวันไหน” เพราะน้องชายสามเป็นคนบอกว่าเป็นสัปดาห์ของการสอบ คุณครูทุกคนในโรงเรียนต่างก็อยากให้เด็กตัวเองสอบผ่านมีคะแนนสูง ๆ การเรียนจึงละเลยไป และแทนที่ด้วยการติวข้อสอบ ส่วนใครที่สอบเสร็จก็เจอกันวันเรียนได้เลย แต่ส่วนมากทุกคนจะเลือกสอบวันละหนึ่งวิชาแต่ไม่เกินสามวิชา เพราะการสอบสำคัญจึงไม่ต้องการจะกดดันตัวเองมาก
“สัปดาห์หน้าครับ”
เป็นไปตามที่กัวเหม่ยอิงคิด หลายปีก่อนเธอก็สอบแบบนี้โดยสอบเพียงวันละสองวิชาเท่านั้น
“เก็บของของหล่อนให้หมด สัปดาห์นี้นายต้องกลับบ้าน”
น้องชายสามสอบเสร็จก็จริงแต่เขายังต้องไปเรียนต่อ ในวันที่ต้องไปเรียนใครจะดูแลลูกสาวให้เขากันล่ะ จะหวังพึ่งสหายก็คงไม่ได้เพราะเขาก็เรียนเช่นกัน จึงมีวิธีเดียวก็คือต้องเอาเด็กกลับบ้านด้วย
“ตะ…แต่”
“ไม่มีแต่ ฉันกับพี่สะใภ้รองของนายจะไปซื้อของ ระหว่างที่พวกฉันจะกลับมารับนายต้องเก็บของ เอาชุดนายไปด้วย ไปอยู่บ้านสักห้าวันแล้วค่อยกลับ” กัวเหม่ยอิงว่า
กัวเหม่ยอิงเดินออกจากห้องพักของน้องชายสามเพื่อกลับไปซื้อของที่สหกรณ์ ข้างหลังก็มีสะใภ้รองตามออกมา ตอนแรกเธอจะให้สะใภ้รองรออยู่ที่นี่ แต่ก็เปลี่ยนใจเพราะถึงจะเป็นพี่สะใภ้กับน้องเขย แต่ที่นี่ก็ถือว่าเป็นผู้ชายกับผู้หญิง หรือแม้แต่สามีภรรยายังต้องถือใบสมรสไปไหนมาไหนด้วยหากเดินทางไกล แม้แต่เดินจับมือก็ยังไม่ได้
“พี่สะใภ้ใหญ่จะทำยังไงคะ” สะใภ้รองคิดไม่ตก
การที่น้องชายสามของสามีมีลูกก่อนที่จะแต่งงานก็ว่าผิดประเพณีแล้ว การที่ไม่มีแม่ของลูกยิ่งแย่ไปใหญ่ เด็กคนนี้ควรจะมีพ่อแม่คอยอยู่ข้าง ๆ ไม่ใช่ต้องรอฟังเสียงนินทาของชาวบ้าน
“เราค่อยไปคุยที่บ้านอีกที” กัวเหม่ยอิงตอบ
เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่เธอไม่สามารถตัดสินเองได้ จึงควรจะให้แม่สามีเป็นผู้ตัดสิน อีกอย่างเด็กคนนี้พวกเธอคงจะต้องเลี้ยงเอาไว้
กัวเหม่ยอิงเดินเข้าสหกรณ์ประจำอำเภอ ภายในสหกรณ์เต็มไปด้วยผลิตภัณฑ์ของชาวบ้านที่นำมาขายให้กับกองผลิตอำเภอที่จะนำมาวางจำหน่ายที่สหกรณ์ สินค้าบางส่วนก็เป็นสินค้าต่างมณฑล
สิ่งแรกที่กัวเหม่ยอิงต้องการนั้นก็คือนมผงสำหรับเด็กแรกเกิด ตอนแรกเธอคิดที่จะซื้อไปเพียงพอสำหรับกินหนึ่งสัปดาห์ วันหลังค่อยมาซื้อใหม่จะได้ไม่เป็นที่จับตาของชาวบ้าน แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะมีเด็กเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
“กระป๋องละ 5 หยวนเลยหรือ” กัวเหม่ยอิงอุทานเบา ๆ นมผงพวกนี้นอกจากต้องใชัเงินแล้วยังต้องใช้คูปองอีก
“ถ้านมผงหมดล็อตนี้ทางสหกรณ์จะเอามาอีกทีคือสิ้นเดือนเลยนะคะ” พนักงานของสหกรณ์เดินเข้ามาบอกกัวเหม่ยอิงที่ลังเลจะซื้อ
วันนี้พึ่งจะกลางเดือน แบบนี้แล้วหากเธอไม่ซื้อนมผงไปตุนเอาไว้ เธอก็จะไม่สามารถหาซื้อนมผงได้อีก จนกว่าจะขึ้นเดือนใหม่
“ถ้าหมดไม่ใช่ว่าต้องสั่งมาเพิ่มเหรอคะ” กัวเหม่ยอิงสงสัย เพราะนมผงเป็นสิ่งสำคัญ แต่ทางสหกรณ์กลับบอกว่าต้องรอหากต้องการจะมาซื้อ
“นมผงพวกนี้เราสั่งมาจากปักกิ่งค่ะ มันจึงต้องใช้เวลาในการขนส่ง และที่นี่ไม่ค่อยจะมีใครซื้อนมผงกันหรอกน่ะค่ะ” ค่านมผงทำให้พวกนางได้กินข้าวหลายมื้อ พนักงานในโรงงานหรือร้านต่าง ๆ จึงไม่ค่อยมีใครจะซื้อนมผงให้ลูก ส่วนมากถ้าไม่ให้กินน้ำนมตัวเองก็จะกินน้ำข้าวแทน
และนมผงพวกนี้ก็อยู่มาเกือบจะสองเดือนแล้ว เหลืออีก 10 กระปุกจึงจะหมดในล็อตนี้ นางที่เห็นชาวบ้านเข้ามาซื้อจึงรีบแนะนำ
“ขอบคุณค่ะ” กัวเหม่ยอิงพยักหน้า
กัวเหม่ยอิงมองกระป๋องนมผงอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจยกใส่ตะกร้าทั้ง 10 กระป๋อง แม้จะต้องใช้เงินเยอะมากแต่กัวเหม่ยอิงไม่ได้สนใจ เธอกลัวเด็กจะขาดสารอาหารมากกว่า
“เธออยากได้อะไรก็ไปเลือกเอาเถอะ” กัวเหม่ยอิงบอกน้องสะใภ้ที่ทำตัวเหมือนคนติดตามของเธอ
“ฉันไม่ต้องการจะซื้ออะไรค่ะ” หล่อนส่ายหัวปฎิเสธ
“ตามใจก็แล้วกัน”