Area 13 : ความทุเลาเริ่มเบาบาง

2849 Words
ชายปริศนากับการแต่งกายแปลกตา แต่จะว่าไปการแต่งตัวเช่นนี้ก็ไม่ได้ดูแปลกประหลาดเท่ากับเผ่ากรีนเคิร์ก หรือเผ่าคองกี้ที่มักจะใช้วัสดุที่หาง่ายและน้อยชิ้นที่สุด ทว่าหมู่บ้านหรือชาวกลุ่มชนเผ่าที่นี่ กลับมีแฟชั่นและสไตล์ที่ผสมผสานกันได้อย่างลงตัว ระหว่างชาวพื้นเมืองกับชาวชนเผ่าดั้งเดิม น้ำค้างผู้ที่ถูกเชื้อเชิญให้มาพำนักอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ หลังจากที่ชายปริศนาคนนี้เข้าไปพบน้ำค้างที่บ้านโพลิส จึงทำการตกลงกับเจ้าหน้าที่แห่งนั้นว่าจะพาตัวของน้ำค้างมาดูแลเอง เนื่องจากที่เกาะริชนั้นดูเหมือนจะเจริญก็จริง แต่กลับไม่สามารถติดต่อโลกภายนอกเลยด้วยซ้ำ ไม่มีแม้แต่โทรทัศน์ เครื่องมือสื่อสาร เรียกได้ว่าเป็นเพียงพื้นที่ส่วนกลางเปรียบดังกับเป็นตลาดเฉพาะกิจ ไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันเท่านั้น ดังนั้นทั้งทางฝั่งโพลิสกับอาร์ลจึงตกลงกันแล้วว่าจะให้น้ำค้างได้อยู่เผ่าเรดเมเปิลไปก่อน ซึ่งน่าจะง่ายต่อการประสานงานกับทางเกาะด้านนอกได้สะดวกกว่าที่เกาะริชนั่นเอง "ข้าชื่ออาร์ล ยินดีที่ได้รู้จักนะ น้ำค้าง" หลังจากการทักทายแนะนำตัวกันเพียงแค่สองสามประโยค น้ำค้างก็ได้ย่างกายเข้ามาขออาศัยอยู่ ณ หมู่บ้านที่มีชื่อชนเผ่าว่า เรดเมเปิล ซึ่งเป็นชนเผ่าที่ดูทันสมัยที่สุดในพื้นที่แอเรียแห่งนี้แล้ว อาร์ลบอกกับน้ำค้างในเรื่องที่เจ้าตัวพูดได้หลายภาษาของชนเผ่าต่างๆ ได้ นั่นเพราะต้องทำการค้าขาย รวมไปถึงต้องใช้ติดต่อกับผู้คนภายนอกในบางครั้งด้วย จึงต้องศึกษาแบบจริงจัง แล้วแต่ละชนเผ่านั้นจะมีสำเนียงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ซึ่งจะมีความต่างกันอีกมากด้วย มิน่าล่ะ ถึงคุยกันไม่ค่อยจะรู้เรื่องสักเท่าไหร่ ทั้งเออฟานที่มาจากแทบชายขอบ และ แคดัสที่มาจากทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ไหนจะพวกชาวโพลิสนั่นอีก แล้วที่ตนเองได้ร่ำเรียนภาษาท้องถิ่นมาจากชนเผ่าของคองกี้นั้นก็คงจะใช้เฉพาะแค่แถบนั้น น้ำค้างเริ่มปรับตัวได้ตามสถานการณ์ได้ง่ายมากขึ้นกว่าเมื่อก่อนแล้ว เพราะการทะลุมิติมายังพื้นที่แปลกๆ แห่งนี้มันคืออะไร น้ำค้างยังไม่สามารถหาคำตอบได้เลย จะเรียกว่าเป็นประเทศหรือไม่นั้น ก็ไม่ได้มีอะไรแสดงให้ประจักษ์แก่สายตาได้อีกเช่นกัน เฮ่ออ ใบหน้าเศร้าหมองนั่งคอตกอยู่คนเดียวท่ามกลางป่าทุ่งกว้าง จนเมื่อถูกคนที่เดินเข้ามาหาถึงกับต้องถ้วงติงเอ่ยถาม ว่าอยู่ที่นี่มันน่าเบื่อขนาดนั้นเลยเหรอ น้ำค้างยกยิ้มกลบเกลื่อนเพื่อปลอบใจให้กับอาร์ล เพราะน้ำค้างก็รู้สึกสำนึกบุญคุณของอาร์ลที่ได้ช่วยเหลือดูแลกันดีทุกอย่างเลย จนบางครั้งยังต้องแอบรู้สึกแปลกใจหรืออาจจะคิดมากไปเองอันนี้น้ำค้างก็ยังไม่แน่ใจสักเท่าไหร่นัก ว่าหัวหน้ากลุ่มชนเผ่าแห่งนี้นั้นจะมีใจให้กันด้วยจริงรึเปล่า แต่ถึงอย่างไรเสียน้ำค้างก็คงต้องขอปัดตกเรื่องนี้ไปก่อน เพราะสถานะที่จะหยิบยื่นตอบแทนกลับคืนให้กับอาร์ลนั้นคงจะหนีไม้พ้นคำว่าเพื่อนที่แสนดีแน่นอน คนต่างถิ่นต่างแดนน่าจะอยู่ที่นี่มาได้ราวๆ กว่าสี่สัปดาห์แล้ว ซึ่งน้ำค้างนั้นสามารถรักษาบาดแผลทางร่างกายให้ดีขึ้นจนเกือบจะหายดีแล้วเช่นกัน ส่วนรอยร้าวของบาดแผลทางจิตใจนั้นก็มีแนวโน้มไปในทิศทางที่ดีขึ้นเหมือนกัน เพราะน้ำค้างนั้นได้เปลี่ยนเวลาที่จะคิดฟุ้งซ่านให้ไปทุ่มเทใช้กับการเรียนรู้มากกว่านั่นเอง อาทิเช่นเรื่องของทางวัฒนธรรม ภาษาท้องถิ่นของแต่ละพื้นที่รวมไปถึงได้เรียนภาษาในเมืองนิดๆ หน่อยๆ อีกด้วย นอกจากนี้ยังได้เรียนรู้การทำอาหารของกลุ่มพวกชาวบ้าน กระทั่งความเป็นมาของการแต่งกายของชาวชนเผ่าด้วย อาร์ลบอกกับน้ำค้างว่า ภายในอีกประมาณสองถึงสามสัปดาห์ จะมีเรือมาเทียบท่าที่ชายฝั่งแห่งนี้ เพื่อพาผู้คนและสิ่งของที่ต้องการจะขายนำข้ามฝั่งไปยังเกาะแห่งนู้น พื้นที่เกาะที่สามารถเชื่อมต่อแผ่นดินใหญ่ให้ออกไปสู่ยังโลกภายนอกได้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพอากาศด้วย เพียงแค่ได้ยินแบบนี้ น้ำค้างก็รู้สึกดีใจมากแล้ว เพราะแลดูมีความหวังกับเรื่องของการกลับบ้านเกิดของตนเอง เจ้าตัวจึงเชื่อด้วยว่าหากได้ออกไปดูพื้นที่นอกจากแอเรียแถวนี้แล้วละก็ น่าจะทำให้ค้นพบว่าตนเองอยู่ที่ใดบนโลกใบนี้ได้แน่นอน น้ำค้างจึงเอาแต่ตื่นเต้นนับวันเวลารอที่จะได้ข้ามฝั่งไปยังเกาะแห่งนู้นอย่างใจจดจ่อ จนเกือบจะลืมเลือนใครบางคนที่เคยนึกถึงตลอดเวลา ตั้งแต่ตอนที่ได้หลงมิติเข้ามา ณ แอเรียแห่งนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ หากแต่ก้นบึ้งของจิตใจของน้ำค้าง ก็ยังคงหวนคำนึงนึกถึงชายผู้ร่างยักษ์ใหญ่โตที่น่านับถือน้ำใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะซามูร์แทบจะยอมสละชีพของตนเอง เพื่อปกป้องน้ำค้างให้มีชีวิตรอดมาได้เช่นทุกวันนี้เลยก็ว่าได้ การมีอยู่ของน้ำค้างในหมู่บ้านเรดเมเปิลนั้นทำให้หัวหน้าหมู่บ้านดูยิ้มง่าย หัวเราะง่ายและมีความสุขขึ้นมาก พวกชาวบ้านก็ดีใจและยินดีมากเลยที่มีน้ำค้างมาอยู่ด้วยเช่นนี้ แถมยังมีเรื่องเล่าสนุกๆ จากประสบการณ์ชีวิตในพื้นที่ที่พวกตนเองไม่รู้จักให้ฟังด้วย จนน้ำค้างเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสถานที่แห่งนี้ไปโดยปริยายแล้ว ช่วงสัปดาห์นี้มีการจัดพิธีแต่งงานของหญิงสาวชาวหมู่บ้านกับชายหนุ่มในหมู่บ้าน ทำให้น้ำค้างได้เรียนรู้วัฒนธรรมที่แปลกตาเพิ่มขึ้นอีกอย่างของที่นี่ด้วย การสู่ขอหญิงสาวเพื่อมาเป็นภรรยานั้น คือการใช้วัวนับสิบๆ ตัวของฝ่ายชายมาสู่ขอฝ่ายหญิง หากทางบ้านฝ่ายหญิงไม่ถูกใจหรือต้องการเลือกชายหนุ่มบ้านอื่นที่ร่ำรวยกว่า แบบที่มีจำนวนวัวที่มากกว่า ก็สามารถปฏิเสธคนที่กล้ามาสู่ขอก่อนได้ในทันที โดยที่ไม่ถูกประณามว่าหน้าเงินอีกด้วย อีกทั้งหากต้องการจะแต่งกับคนที่รักใคร่ชอบพอกัน ทางครอบครัวก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามขัดขวางอีกด้วย ซึ่งเป็นความแตกต่างจากเผ่าของซาเดียมากๆ เลย ว่าหากใครมาสู่ขอกันแล้วจำต้องตบแต่งกับคนนั้นแบบที่หลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ขนบธรรมเนียมประเพณีนี้ ทำให้น้ำค้างเกิดความย้อนแย้งทางความคิดและไม่เห็นด้วยอยู่ภายในใจ ว่ามันเป็นความเสียเปรียบของฝ่ายหญิงสาวอย่างยิ่ง ที่พวกเธอไม่สามารถเอ่ยปากแสดงความคิดที่ต้องการจะปฏิเสธชายที่ตนเองไม่ได้ชอบไม่ได้เลย ราวกับถูกตัดสิทธิ์และลิดรอนทางความคิดไม่ให้มีอิสรเสรีกับทางเลือกของตนเองมากจนเกินไป การแต่งกายของเจ้าสาวของชนเผ่าเรดเมเปิลนั้น จะมีการทาใบหน้าให้ออกเป็นสีแดงระเรื่อทั่วทั้งหน้า ซึ่งเปรียบได้ว่าหญิงสาวมีผิวพรรณที่สวยงดงาม แล้วจะต้องถูกปกปิดไว้ภายใต้ผ้าคล้ายๆ ซีทรูด้วย ยิ่งทำให้ดูเย้ายวนมีเสน่ห์น่าค้นหามากยิ่งขึ้น ส่วนฝั่งของเจ้าบ่าว จะมีเพียงแค่หมวกใบสูงๆ สวมทับลงบนศีรษะเพื่อปกปิดทรงผมที่ถูกหมักย้อมจนมีสีแดงฉานมาอย่างดี ซึ่งจะมีเพียงแค่คู่ของบ่าวสาวเท่านั้นที่จะได้เป็นคนปลดเปลื้องให้กันและกัน ทำเอาน้ำค้างคิดตามด้วยเลยว่ามันช่างคลาสสิคดูเย้ายวนและชวนน่าตื่นเต้นดีเหมือนกันนะ งานรื่นเริงสนุกสนานเช่นงานแต่งงานของที่นี่ จึงมีเรื่องให้น้ำค้างได้เรียนรู้และตื่นเต้นตามอย่างไม่แพ้คู่บ่าวสาวเลยสักนิด น้ำค้างคิดในใจว่าหากได้เกิดมาเป็นหญิงสาวของชนเผ่าแห่งนี้ คงจะได้เลือกสามีที่รวยที่สุดด้วยตัวเองแล้วละ ใบหน้าเล็กติดยิ้มคิดอะไรเรื่อยเปื่อยอยู่แบบนั้น ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้รู้ตัวเลยว่ารอยยิ้มเจิดจ้าของตนเองนั้นได้ไปกระแทกตาใครเข้า จนเป็นที่ถูกอกถูกใจแล้วถึงขนาดต้องถูกจ้องมองกันอย่างไม่อาจละสายตาได้เลย เวลาแห่งการได้ลิ้มรสทดลองดื่มเหล้าหมักที่มีหลากหลายสูตรของชาวเรดเมเปิลแห่งนี้ ทำให้น้ำค้างเพลิดเพลินดื่มด่ำตามไปด้วยจนต้องเผลอยกซดเอาๆ เทียวหยิบชิมตามคำเชิญชวนของบ้านนู้นที บ้านนี้ที จนใบหน้าที่เคยขาวนวลขึ้นสีระเรื่อพาดผ่านบนแก้มกลมทั้งสองข้างแล้ว "น้ำค้างพอแล้ว เจ้าน่าจะเมาแล้วล่ะ" คนที่เดินตามน้ำค้างอย่างห่างๆ มาสักพัก เพราะไม่อยากขัดจังหวะแห่งความสุขและการใกล้ชิดสนิทสนมกับชาวประชาของหมู่บ้าน อาร์ลจึงเลือกที่จะไม่ห้ามปรามมือเล็กที่ขยันยกซดน้ำเมาแบบมาราธอน จนดูราวกับว่าตนเองนั้นคอทองแดงเสียเหลือเกิน อาร์ลจึงใช้การเดินตามดูแลให้แทน เพียงเพื่อไม่อยากให้เจ้าตัวต้องรู้สึกอึดอัดขัดเคืองใจ "อือ ข้ายังไม่มาว ใครมาวอะ อาร์ลอ่ะเปล่า ใช่อาร์ลรึเปล่า คิก คิก" ใบหน้าหยาดเยิ้ม สายตาเชื่อมหยดย้อย ส่งรอยยิ้มหวานพลางหัวเราะคิกคักใส่คนที่เดินเข้ามาห้ามปรามตนเอง โดยการรั้งข้อมือเล็กเอาไว้ไม่ให้ยกแก้วโอ่งขึ้นไปที่ปากได้ "ข้าว่าเจ้าได้เวลากลับไปพักผ่อนบ้างแล้วนะ" สายตาเอ็นดูกับน้ำเสียงอ่อนโยนของอาร์ล ทำให้คนที่กำลังจะยัดเยียดเหล้าหมักสูตรพิเศษในมือของตนให้น้ำค้างชิม จึงได้รู้ตัวทันทีว่าไม่ควรทำอะไรแบบนั้นอีกต่อไปแล้ว "ข้าว่าท่านพาน้ำค้างไปพักผ่อนเถอะ ยกซดตั้งแต่หัวหมู่บ้านมาเรื่อย หากไม่ห้ามปรามเอาไว้คงได้ไปแวะนอนอยู่ท้ายหมู่บ้านแน่นอน ท่านอาร์ล" คนสนิทตามติดหัวหน้าเผ่าได้เอ่ยออกมาอย่างสัพยอก ซึ่งอาร์ลกลับเห็นด้วยอย่างยิ่ง "เอามาชิมก่อง ข้าจะชิมแก้วนั้นด้วยยย" คนขี้เมาเริ่มเอาแต่ใจ ใบหน้าแดงก่ำพูดด้วยน้ำเสียงยานคางไม่รู้ความ ชี้โบ๊ชี้เบ๊ไปทางชายแก่ที่บังอาจริบไหน้ำหมักกลับคืนไปแล้ว เนื่องจากชายแก่กริ่งเกรงสายตาตำหนิของท่านอาร์ลที่ส่งมาให้ซะเหลือเกิน "น้ำค้าง พรุ่งนี้ค่อยชิมใหม่เถอะ ข้าว่าวันนี้เจ้าพอได้แล้วนะ" คนเมาอ้อแอ้ที่เอาแต่พล่ามบอกว่าตนเองยังไหว ตัวเองไม่เมาเบ้หน้าอย่างขัดใจราวกับเด็กน้อยที่ไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ "อาร์ลใจร้าย" ริมฝีปากแดงจัดจากการดื่มของมึนเมามากบ่นนุ้บนิ้บออกมาเป็นที่เอ็นดูสำหรับอาร์ลยิ่งนัก กระแสเลือดที่น่าจะพลุ่งพล่านไปทั่วตัวอาจจะทำให้อวัยวะขึ้นสีแดงรามไปทั่วทั้งใบหน้าของน้ำค้างแล้ว เจ้าตัวถึงกับจะวูบทรุดตัวลงไปนั่งที่พื้น ดีที่ว่าได้ท่อนแขนแกร่งโอบรองรับน้ำหนักตัวคนตรงหน้าไว้ได้ทันซะก่อน "ไม่หวายยแล้วล้าาา ฮ่ะ ๆ ๆ เมา มาวแล้ว ไอ้ค้างมาวว" น้ำเสียงยานคางพูดไม่รู้เรื่องหลุดภาษาที่อาร์ลฟังไม่เข้าใจสักคำได้เปล่งออกมาตลอดทางที่อาร์ลต้องประคองช้อนร่างคนที่ปิดพับเปลือกตาลงไปแล้ว ทว่าปากยังขยับบ่นพึมพำอย่างไม่หยุดหย่อน ร่างสูงวางคนในอ้อมแขนลงบนฝูกนิ่ม จนเจ้าตัวขยับนอนในท่าทางที่สบายอย่างเอาแต่ใจ ซึ่งไม่รู้เลยว่านี่มันเป็นเตียงของใครเอาซะเลย อาร์ลผู้ที่ไม่เคยต้องตาถูกใจใครขนาดนี้มาก่อน กลับถูกชายหนุ่มต่างถิ่นคนนี้ทำเอาละสายตาไม่ได้ไม่พอ ยิ่งมองยิ่งได้ทำความรู้จักกัน อาร์ลกลับยิ่งเกิดความหลงใหลได้ปลื้ม จนยากที่จะแยกแยะอะไรถูกอะไรผิด ความคิดที่อยากจะได้คนตรงหน้ามาครอบครองเป็นชายา แล้วยัดเยียดสถานะให้เป็นเมียหัวหน้าเผ่าเรดเมเปิลแห่งนี้ให้รู้แล้วรู้รอดซะเลย เพราะไหนๆ ชาวบ้านก็ดูจะชื่นชอบน้ำค้างและสนิทสนมกันอย่างนับหน้าถือตาทั้งหมู่บ้านอยู่แล้วด้วย "น้ำค้าง ให้ข้าเช็ดตัวให้เจ้านะ" คนเอ่ยขออนุญาต ค่อยๆ ปลดเชือกมัดเป็นโบที่ด้านหน้าออก ดวงตาคมเข้มเป็นประกาย อกข้างซ้ายเต้นระส่ำ จนแทบจะกระดอนออกมาข้างนอกอยู่รอมร่อ ฝ่ามือใหญ่สั่นระริกราวกับประหม่า เมื่อนัยน์ตาสีอัลมอนด์สบเข้ากับแผ่นอกบางที่กำลังกระเพื่อมขึ้นลงอย่างเป็นจังหวะสม่ำเสมอ อื้อออ.. ผืนผ้าชื้นน้ำแตะสัมผัสลงไปบนลำคอได้เพียงนิดเดียว คนเมาหลับไปแล้วก็หลุดเสียงครางในลำคอออกมาให้คนที่ได้ยินต้องใจกระตุกคิดดีด้วยไม่ได้เลย อาร์ลผู้ที่เคยยับยั้งชั่งใจได้กับทุกสิ่ง บัดนี้กลับลืมเลือนความเป็นสุภาพบุรุษและสิ้นคิดไปชั่วขณะแล้ว ว่าสิ่งใดควร สิ่งใดไม่ควร เมื่อริมฝีปากหยักจรดแผ่วเบาลงบนหน้าท้องแบนราบ จนได้รับเสียงครางอื้ออ้าหลุดออกมา ริมฝีปากสีเชอร์รีนุ่มหยุ่นได้เผยออ้าออกราวกับกำลังยั่วยวนเชิญชวนกันนักหนา ☘ ซามูร์เตรียมตัวเพื่อออกเดินทางกลับเข้าสู่ผืนป่าอันกว้างใหญ่อีกครั้ง กับภารกิจการออกไปตามหาตัวคนที่ตนไม่เคยคิดเลยว่า คนคนนี้จะสามารถยึดกุมหัวใจของตนเองไปได้ถึงเพียงนี้ หลังจากที่ซามูร์ได้รับการรักษาร่างกายจากหมอผีราซิล จนเรียกได้ว่าหายดีเป็นปลิดทิ้งแบบร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เจ้าตัวจึงพรั่งพร้อมสำหรับการเดินทางอันแสนยาวนานอีกครั้ง ก่อนที่ซามูร์จะออกเดินทาง จึงมุ่งหน้าไปทางบ้านของผู้เฒ่าลาฟกี้ด้วย เพื่อที่จะได้ให้ท่านทำพิธีอวยพรเป็นสิริมงคล และ เพื่อให้ผู้นำทางจิตวิญญาณได้ช่วยเปิดทางสะดวกและนำพาซามูร์ให้ออกไปทำภารกิจค้นพบตัวน้ำค้างได้ง่ายขึ้น แล้วก็จะได้นำตัวว่าที่เมียคนที่ 4 ของหัวหน้าเผ่ากรีนเคิร์กแห่งนี้กลับมาตามคำบัญชา และน้อมรับคำทำนายตามที่ผู้เฒ่าลาฟกี้ได้ทำนายทายทักไว้ให้กับพวกเราชาวกรีนเคิร์กในเร็ววันด้วย "เจ้ารีบไปเถอะซามูร์ เจ้านั่นจะต้องทำให้เผ่ากรีนเคิร์กของเรามั่งคั่ง สุขสงบ และอุดมสมบูรณ์ในภายภาคหน้า หากว่าเจ้านั่นได้มาเป็นเมียของหัวหน้าเผ่าแห่งนี้ตามดวงชะตา" ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามกาลเวลาส่งมอบกระดาษสีเข้มที่ถูกพับไว้เป็นอย่างดี ราวกับยันต์กันภัยคุ้มครองชีวิตมาให้เหมือนกับทุกครั้ง ยามที่ซามูร์ต้องออกไปช่วยชนเผ่าอื่นๆ ออกรบกับพวกกองโจรทั้งหลาย ซามูร์รับกระดาษสีเข้มมาไว้ในมือ พร้อมกับได้รับฟังประโยคที่ทำให้รู้สึกค้างคาใจเล็กน้อย แต่ทว่าเมื่อเอ่ยถามกับผู้เฒ่าแล้ว กลับไม่ได้คำตอบใดออกมาเลยสักนิด “เจ้านั่นมีดวงชะตากับที่แห่งนี้ เผ่ากรีนเคิร์กต้องการเจ้านั่น และต้องเป็นเจ้าเท่านั้น..ที่จะต้องไปตามเขากลับมา ซามูร์” ประโยคที่ท่านผู้เฒ่าลาฟกี้พูดทิ้งท้ายไว้ให้ก่อนที่ซามูร์จะออกจากเผ่ากรีนเคิร์กแอเรียออกมา ซึ่งคำพูดนี้มันยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของซามูร์ตลอดทาง ไม่ว่าจะควบม้าห่างไกลออกมาขนาดไหนแล้วก็ตาม คนบนหลังม้าสะบัดหัวไปมาเพื่อให้เลิกนึกถึงเรื่องนี้ไปสักที แล้วเปลี่ยนเป็นเร่งฝีเท้าของม้าตัวเก่งให้รีบออกตามหาว่าที่เมียของผู้นำเผ่ากรีนเคิร์ก แบบที่ต้องรีบควานหาตัวน้ำค้างให้เจอซะก่อน แล้วจะได้นำตัวกลับไปยังที่กรีนเคิร์กให้จงได้ แต่ถ้าหากจะมีอะไรที่ดวงชะตาจะทำให้มันจะเกิดการพลิกผันพาให้เปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง ก็ค่อยว่ากัน เพียงแต่ขอแค่ว่าคนที่ตนเองกำลังออกตามหานั้นจะยังมีลมหายใจรอกันอยู่นะ "หวังว่าเจ้าจะยังคงปลอดภัยอยู่นะน้ำค้าง"
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD