บทที่ 3 เสี้ยม!

1426 Words
เสียงของไอติมทำให้ปานเดือนถึงกับต้องดึงโทรศัพท์ออกจากหู เขาตะคอกเสียงดังลั่น [เธอไม่เป็นไรใช่ไหมเดือน อยู่ไหน เราจะไปหา] “ไม่ ๆ ได้เป็นอะไรมากหรอก เราโง่เองแหละ” เพราะเขาตอกย้ำว่าเธอโง่เอง ปานเดือนเม้มริมฝีปากเข้าหากัน เขาไม่ถามสักนิดว่าเธอสบายดีหรือเปล่า เป็นไข้ไหมทำไมมือไม้อ่อนแรงจนทำชามร่วงหล่นลงพื้น [แล้วเกิดอะไรขึ้น] “คือ...” พอจะโกหกก็คงโกหกได้ไม่นาน เพราะไอติมนั้นรู้จักเธอดีที่สุด เขาถามเธอจนจนมุมเหมือนครั้งก่อน ๆ แน่ “คือว่าน้ำร้านลวกมือน่ะ” [อ่า....เธอ เจ็บไหม] “ก็นิดหน่อย” เสียเมื่อไรกัน มันทั้งเจ็บ ทั้งแสบมากเลยต่างหาก [นิดหน่อยก็คงไม่ถึงขั้นต้องเลื่อนงานหรือเปล่า เธอไม่ได้โกหกเราแน่นะ] “ไม่เลย เราไม่ได้เป็นอะไรมาก ทาว่านหางจระเข้ตอนนี้ก็ดีขึ้นมาแล้วล่ะ” [จริง ๆ นะ] “จริงสิ...” [เฮ้อ...เหนื่อยแทนว่ะ เมื่อไรเธอจะหลุดพ้นจากมันสักทีนะ อย่าพูดว่ารักมันนะ รักมันลงไปได้ไง] เพื่อนชายเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเต็มไปด้วยความเบื่อหน่าย เธอรักเขาก่อนที่เขาจะเป็นแบบนี้เสียอีก “แกก็รู้ว่าฉันหย่าไม่ได้หรอก” [เฮ้อ พวกผู้ใหญ่พวกนั้นมันจะไปรู้อะไร มีแค่เธอที่ทรมานอยู่กับลูกชายเลว ๆ] “อย่าว่าอย่างนั้นสิ ครอบครัวเขามีพระคุณกับครอบครัวเรา” เธอก้มหน้าลง พ่อแม่ของเปรมนัตย์ช่วยเหลือครอบครัวเธอจากมรสุมหนี้ ทำให้รอดพ้นจากปัญหาเศรษฐกิจ คุณพ่อเลยสัญญาว่าถ้ามีลูกก็จะมอบลูกให้มาทำงานรับใช้หนี้ แต่พอได้ลูกสาวก็กลายเป็นแต่งงานเสียอย่างนั้น ทว่าลูกสาวที่ว่ากลับมีสองคน [เฮ้อ...แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เธอต้องมาทนอยู่อย่างนี้นะ คนที่ควรได้แต่งงานตั้งแต่แรกไม่ใช่เดือนสักหน่อย] เขาทำให้เธออยากกดวางสาย [อย่างน้อยเดือนก็น่าจะบอก...] “พอแล้วติม เราบอกแล้วไงว่าอย่าพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก!” น้ำเสียงของเธอไม่พอใจเอามาก ๆ จนปลายสายนั้นรู้สึกผิด [โอเค ๆ เราจะไม่พูดอีก] “อือ แค่นี้ก่อนนะ” ไม่รอให้เพื่อนชายตอบกลับ ปลายนิ้วมือเรียวนี้กดตัดสายทิ้งไปก่อนแล้ว ...ปานเดือนวางโทรศัพท์ลง เธอเหม่อมองไปยังแม่น้ำเจ้าพระยาตรงหน้า เรื่องที่ไอติมพูด เธอไม่อยากรื้อฟื้นมันอีก...เพราะอย่างไรเสียก็ไม่มีใครเชื่อเธอ โดยเฉพาะเขา ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นสามีของเธอ อีกด้านหนึ่ง... สำนักงานใหญ่ของธนาคาร TTD ที่ย่อมาจากธนธาดา นามสกุลของตระกูล ธนธาดากรุปไม่ได้เป็นแค่ผู้ถือหุ้นสูงสุดของธนาคาร แต่เป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยของอีกหลายบริษัท ทำให้เปรมนัตย์ ธนธาดา คนนี้เป็นผู้ทรงอิทธิพลมากคนหนึ่งของประเทศ ชายหนุ่มวัยสามสิบเอ็ดปีนี้เนื้อหอมยิ่งกว่าอาหารมิชลินเสียอีก เขาถูกจับตามองทุกฝีก้าวเดิน ชีวิตของเขาไม่เคยมีพื้นที่ส่วนตัวตั้งแต่ถือสกุลนี้ “นายครับ” เสียงของเลขาฯคนสนิทดึงสติที่ล่องลอยของเขาให้กลับมา ชายหนุ่มสบตากับเลขาฯหนุ่มที่อายุไล่เลี่ยกันนี้ผ่านกระจกมองหลังรถยนต์คันหรู “มีไร” “เอ่อ...เมื่อเช้าผมเห็นแขนของคุณเดือนแดงเถือกเลยครับ ไม่ทราบว่านายเห็นไหม” “เห็นสิ โง่นักให้น้ำร้อนลวก” ว่าพร้อมกับส่ายหน้าเบา ๆ เขานั่งของเขาอยู่ดี ๆ ส่วนเธอก็เช่อซ่าทำชามหล่นจนได้รับบาดเจ็บ แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องของเขา “แล้วถ้าคุณหญิงเห็น จะไม่เป็นเรื่องอีกเหรอครับ” “หึ ก็ถ้าแบกหน้าไปฟ้อง...ฉันจะทำให้หนักกว่าเดิม” “ผมเกรงว่าเธอจะไม่ได้เอาไปฟ้องน่ะสิ วันนี้มีนัดกินข้าวกันไม่ใช่เหรอครับ” เปลือกตาหนากะพริบปริบ ๆ เขาลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท “อ่า ฉิบหายละ” เปรมนัตย์อดที่จะสบถออกมาไม่ได้ หรือคราวนี้เจ้าหล่อนเล่นใหญ่ยอมให้น้ำร้อนลวกเพื่อขอความเห็นใจอีก แม่นี่...ไม่เคยธรรมดาหรอก เสแสร้งแกล้งทำเป็นที่หนึ่ง อย่างที่ดุจดาวคนรักที่ตายไปชอบโดนเธอกลั่นแกล้งบ่อย ๆ “เอาไงดีครับ” “เฮ้อ เดี๋ยวบอกให้เธอใส่เสื้อแขนยาว” น่าจะไม่มีปัญหาอะไร หรือถ้าปานเดือนอยากมีปัญหากับเขา เธอก็คงทำให้พ่อแม่ของเขาเห็นรอยแผลเอง ถ้าเธอทำอย่างนั้น...ก็คงต้องเห็นดีกัน ชายหนุ่มลงจากรถหลังเครื่องยนต์เคลื่อนมาถึงตึกสูงระฟ้านี้ เบื้องหน้ามีผู้บริหารอาวุโสหลายคนยืนรอเขาอยู่ ฝ่ามือหนาติดกระดุมเสื้อสูทพร้อมกับก้าวขาเดิน “สวัสดีครับ...” หลายคนค้อมศีรษะให้เขา แต่เปรมนัตย์ก็ไม่ได้หยุดเดิน เขามุ่งหน้าตรงไปยังลิฟต์ไม่ทันสังเกตว่ามีผู้ชายสูงวัยคนหนึ่งพยายามขึ้นลิฟต์ตัวเดียวกับเขา โดยใช้สายตากดดันให้คนอื่นออกไป “เอ่อ คุณเปรมครับ เรื่องที่ผมบอกเมื่ออาทิตย์ที่แล้วคุณเปรมจำได้ไหมครับ” ชัชวาลเอ่ยพูดด้วยท่าทีนอบน้อม ก่อนที่คนอายุน้อยกว่าจะขมวดคิ้ว เขาทวนคำพูดของผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดคนนี้ “เรื่อง...อะไรนะครับ ขอโทษที่จำไม่ได้ครับ” “เรื่องที่ผมฝากลูกสาวผมมาเรียนรู้งานด้วยน่ะครับ” “หือ...ผมบอกว่าได้เหรอครับ” ชายหนุ่มไม่ชอบระบบอุปถัมภ์เท่าไรนัก “หากอยากทำงานก็ให้ไปติดต่อฝ่ายบุคคลก็แล้วกันครับ” “เอ่อ...แต่ว่าวันนั้นคุณเปรมอนุญาตแล้วนิครับ” คนอาวุโสกว่าเสียงแข็งขึ้นมาเล็กน้อย ไม่ชอบไอ้หมอนี่ตั้งแต่ไหนแต่ไร แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ด้วยความที่อีกฝ่ายมีเงิน มีอำนาจล้นฟ้า “วันไหน ผมเมาหรือเปล่า บอกแล้วไงถ้าผมเมา ทุกอย่างที่หลุดออกจากปากผมเป็นโมฆะ” ทุกคนที่ทำงานกับเขาจะรู้ แต่ว่าผู้อำนวยการคนนี้ปิดหูปิดตาหรืออะไร ยังไงกันแน่ ทำไมถึงเชื่อว่าเขาพูดความจริง “เอ่อ...” พอจะเอ่ยปากพูดอีก ประตูลิฟต์ก็เคลื่อนเปิดออก เปรมนัตย์เดินออกจากลิฟต์ด้วยสีหน้านิ่งเรียบ เรียกได้ว่าไม่ได้เก็บคำพูดของผู้อาวุโสคนนี้ไปคิดเลยสักนิด “โธ่เว้ย!” ฝ่ามือหนากำเข้าหากัน อีกไม่กี่ปีเขาก็เกษียณแล้ว อยากให้ลูกสาวได้เข้ามาทำงานในตำแหน่งงานของเขาแทน อีกทั้งหวังสูงอยากให้ลูกสาวได้เป็นสะใภ้ของตระกูลนี้ แม้นว่าอีกฝ่ายจะแต่งงานแล้วก็ตามที เห็นท่าไม่ดี ทุกอย่างไม่เป็นไปตามแผน ฝ่ามือเหี่ยวย่นล้วงโทรศัพท์ออกมาโทรหาลูกสาวทันที “มันลืมสัญญาไปแล้วลูก” [หมายความว่าไงคะ หนูจะไม่ได้เข้าทำงานเหรอ อ้าว...หนูลาออกจากที่เดิมแล้วนะ] “นั่นสิ เดี๋ยวพ่อไปคุยให้อีกที” [เฮ้อ ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวหนูจัดการเองก็ได้ค่ะ หนูเคยเจอเขาที่คลับอยู่เหมือนกัน] “เอางั้นเหรอลูก ยังไงหนูก็ทำให้เขาใจอ่อนให้มาทำงานที่นี่ก่อนนะ ส่วนเรื่องอื่น ๆ ค่อยว่ากันอีกที” [โอเคค่ะ] “อีกหน่อยมันก็น่าจะหย่า ก็ไม่คิดว่ามันจะอยู่ด้วยกันได้นานขนาดนี้ เขาลือกันว่ามีปัญหาทุกวัน ถ้ามัวแต่รอคงแก่กันพอดี” ชัชวาลนั้นรับรู้ปัญหาภายในบ้านของธนธาดามาโดยตลอด เชื่อว่า อีกฝ่ายคงแต่งงานแล้วอยู่กินกันได้ไม่นาน แต่นี่เวลาก็ล่วงเลยมาห้าปีกว่าแล้ว...ทั้งสองกลับไม่หย่ากันสักที [ถ้ามีปัญหากันอยู่แล้ว เสี้ยมหน่อยเดี๋ยวบ้านก็แตกค่ะ ไม่ต้องห่วง] ชัชวาลยกยิ้มมุมปาก เขาไม่ได้อยากให้ลูกสาวทำเรื่องผิดศีลธรรมนักหรอก ถ้ามองในแง่ดีก็อยากจะช่วย เห็นเขาลือกันว่าคุณเปรมนัตย์อยากหย่าใจแทบขาดแล้ว...
Free reading for new users
Scan code to download app
Facebookexpand_more
  • author-avatar
    Writer
  • chap_listContents
  • likeADD