เปรมนัตย์มาทำงานด้วยสีหน้านิ่งเรียบ ปานเดือนทำอย่างกับเป็นเจ้าชีวิตของเขา แน่นอนว่าการแต่งงานในคราวนี้เขาไม่เคย และไม่คิดที่จะแต่งด้วย พอมาถึงที่ทำงานผอ.ชัชวาลก็เดินกุมหน้าขามาหา
“ขอบคุณที่รับลูกสาวผมเข้ามาทำงานนะครับ ตอนนี้เธอกำลังเรียนรู้งานที่แผนกการตลาดครับ”
“อือ” เขาตอบรับ เมื่อคืนยังไม่ได้เมาเลยจำได้ว่าตอบรับใครไปบ้าง ชายหนุ่มชอบที่เธอใจกล้าเข้ามาทักทายเขาทั้ง ๆ ที่ปฏิเสธกับพ่อเธอไปแล้วหลายหน
...เปรมนัตย์เดินขึ้นลิฟต์ของผู้บริหาร มองผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดคนนี้ที่ไม่ได้เดินตามเขามา ชายหนุ่มหรี่ตาลงเล็กน้อย ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้ต้องการแค่ให้ลูกสาวมาทำงานที่นี่ ผู้บริหารหนุ่มส่ายหน้าเบา ๆ ตั้งแต่ทำงานที่นี่มา ใครต่างก็เข้าหาเขาด้วยผลประโยชน์กันทั้งนั้น ไม่เว้นแม้นแต่พ่อแม่ของปานเดือน
เวลาต่อมา...
เสียงเคาะประตูดังขึ้นสามครั้ง เมื่อไร้เสียงตอบรับฝ่ามือบางก็ผลักประตูเข้า เป็นพิมลภัสที่เดินเข้ามาภายในห้องทำงานของผู้บริหารสูงสุด ทำเอาเจ้าของห้องไม่พอใจเท่าไรนัก
“ใครอนุญาตให้เธอเข้ามา” ใบหน้าเล็กเหวอเล็กน้อย โดยปกติเขาจะต้องขานรับก่อน หรือไม่ก็ต้องให้เลขาฯของเขาเป็นคนพาเข้ามา แต่เธอกลับเสียมารยาทเข้ามาเสียอย่างนั้น
“เอ่อ คือฉัน...”
“_” ดวงตาของเขานั้นดั่งพญามัจจุราช ใบหน้าหล่อเหลาทรงเสน่ห์ทำให้เธอหวั่นใจ พ่อของเธอบอกว่าเขามีปัญหาระหองระแหงกับภรรยาเสมอ แต่ทำไมเขาดูใจแข็ง ไม่สนใจผู้หญิงสวย ๆ หุ่นเอกซ์ ๆ อย่างเธออย่างที่คิด ซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเจ้าของหัวใจของเขาแท้จริงแล้ว...คือคนที่ตายไปแล้วต่างหาก
“ถ้าไม่มีอะไรก็ออกไป”
“เอ่อ คือฉันอยากตอบแทนคุณที่คุณรับฉันเข้าทำงานค่ะ คือฉันอยากชวนคุณไปทานข้าว” มุมปากหยักได้รูปยกขึ้นสูง ดูแค่นี้ก็รู้แล้วว่าหล่อนต้องการอะไร เผอิญว่าเขาไม่ใช่ผู้ชายเจ้าชู้มักมาก
“ไม่หรอก ฉันไม่อยากกินข้าวกับเธอ” เขาตอบอย่างตรงไปตรงมา ทำเอาพิมลภัสหน้าเสีย เธอกำฝ่ามือแน่น
“อ้อค่ะ ฉันแค่รู้สึกขอบคุณมาก ๆ ที่คุณเปรมอนุญาตให้เข้ามาทำงานได้”
“หึ จริง ๆ มีช่วงโปรสามเดือน ถ้าเธอทำงานไม่ผ่านโปรเดี๋ยวฝ่ายบุคคลก็ไล่ออกเอง” เขาพูดน้ำเสียงราบเรียบ ที่อนุญาตให้สาวเจ้าเข้ามาก็ใช่ว่าจะอยู่ได้นาน ซึ่งคำพูดของเขาทำให้เธอพูดไม่ออก แต่พอเป็นอย่างนี้ก็ยิ่งรู้สึกท้าทายเป็นอย่างมาก
“โอเคค่ะ ขอบคุณนะคะ ฉันจะตั้งใจทำงานค่ะ” เธอยอมถอยไปก่อน ไม่อยากมีปัญหา เกรงว่าเขาจะไม่ชอบใจ...
ปานเดือนกลับมาบ้านของตัวเองในวันที่ไม่มีอะไรทำ แผลที่แขนก็ค่อย ๆ ดีขึ้นด้วยความรวดเร็ว เพราะเธอเป็นคนแผลหายไว
“อ้าว กินข้าวมาแล้วหรือยังล่ะ” มารดาเข้ามาหา มองใบหน้าของลูกสาวที่ไม่สู้ดีนัก ก่อนที่ปานเดือนจะสวมกอดที่พึ่งทางใจเดียวนี้
“แม่...ฮึก เมื่อคืนพี่เปรมมีผู้หญิงมาส่งที่บ้าน” ว่าไปร้องไห้ไป ไม่ได้อยากร้องไห้นักหรอก แต่มันมีผลกับหัวใจของเธอมาก
“เพื่อนหรือเปล่า คุณเปรมไม่ใช่คนเจ้าชู้สักหน่อย”
“ไม่ใช่เพื่อนค่ะ ฮึก เขาบอกจะมีเมียน้อยด้วย” น้ำเสียงของลูกสาวขาดห้วง แต่คนเป็นแม่กลับไม่เห็นด้วยที่ลูกสาวจะหวงเขา
“เดือน ถ้าคุณเปรมต้องการ...แม่ว่าเราก็ให้เถอะลูก”
“คะ?”
“ลูกก็รู้ว่าถ้าไม่มีเขา เราก็คงไม่ได้รักษาบ้าน รักษาบริษัทของพ่อไว้ได้ แม่อยากให้หนูเข้มแข็ง”
“อึก แต่หนูทำใจไม่ได้” เธอก้มหน้าลง มันไม่ได้ง่ายเลยหากจะแชร์ หรือแบ่งสามีกับผู้หญิงคนอื่น แต่ก็เลือกไม่ได้มากนักในเมื่อมันเป็นความต้องการของเขา...
หลังมื้ออาหาร...ห้องสี่เหลี่ยมนี้เป็นห้องที่เธอแชร์กันกับดุจดาว น้องสาวที่เสียชีวิตไปเมื่อหกปีที่แล้ว พอเดินเข้ามาไรขนอ่อนทั่วทั้งร่างก็ลุกเกลียว มองเห็นรูปถ่ายของน้องสาวฝาแฝดที่ยังอยู่เหมือนเดิม
“ดาว...ดาวคงสบายดีอยู่บนนั้น” เสียงทุ้มของคนเป็นพ่อดังขึ้นจากทางด้านหลัง การสูญเสียของสมาชิกในครอบครัวไม่เคยมีใครทำใจได้หรอก แม้นจะเป็นการสูญเสียที่ไม่ดีเท่าไรนัก
“ถ้าดาวยังอยู่ มันจะเป็นยังไงคะ”
“หึ ไม่รู้สิ พ่อคาดเดาอะไรกับน้องไม่ได้เลย” ชยุทธวางมือลงที่ไหล่ของลูกสาวเบา ๆ อย่างคนปลอบใจ “เรื่องมันผ่านไปแล้วล่ะ พ่อไม่อยากให้หนูพูดถึงมันอีก”
“_” เธอก้มหน้าลง การเสียชีวิตของดุจดาวไม่มีใครรู้ว่าวันนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ แม้นปานเดือนจะอยู่ในเหตุการณ์นั้น แต่ก็ใช่ว่าจะมีคนเชื่อเธอ
“หนูเข้าใจพ่อใช่ไหม”
“ค่ะ” น้ำตาของเธอร่วงเผาะ เพราะเธอเป็นคนสุดท้ายที่อยู่กับน้องสาวฝาแฝด เปรมนัตย์จึงเข้าใจเธอผิด เขาคิดว่าเธอคือต้นเหตุของอุบัติเหตุในครั้งนั้น แม้นจะไม่อยากยอมรับ แต่เธอเองก็เห็นด้วย เห็นด้วยว่าต้นเหตุการตายของดุจดาวคือตัวเธอเอง
“แต่ถ้าน้องอยู่ น้องคงได้เป็นดาว เจิดจรัสบนท้องฟ้า” เธอพึมพำออกมาเบา ๆ ดุจดาวอยากเป็นดารามีชื่อเสียง แต่ทุกอย่างก็พังลง
“อือ แต่มันก็ผ่านมาแล้วล่ะ เราอย่าพูดถึงเรื่องนี้กันอีกเลย” ฝ่ามือเหี่ยวย่นลูบหัวไหล่ของลูกสาวเบา ๆ ไม่ได้อยากให้ทั้งสองคนทะเลาะกัน ตั้งแต่เกิดทั้งคู่เป็นฝาแฝดที่เหมือนกันแค่ภายนอก แต่ภายในจิตใจนั้นช่างต่างกันราวฟ้ากับเหว ทุกคนรู้...ยกเว้นเปรมนัตย์ที่ไม่รู้อะไรเลย
...ปานเดือนไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเช็ดน้ำตาที่แห้งเหือดนี้ออกจากใบหน้า ดาวล้อมเดือนอย่างนั้นหรือ...ดาวดวงนั้นคอยกลั่นแกล้งเธอมาโดยตลอด แม้แต่วันสุดท้าย ดวงดาวดวงนั้นก็กลั่นแกล้งเธอ...
หลายวันต่อมา...
ภายในบ้านหลังใหญ่นี้ช่างเงียบเหงา ปานเดือนนั่งเคลียร์งานในแล็บท็อป การทำงานเป็นช่างภาพอิสระนั้นมีอิสระในการจัดสรรเวลาก็จริง แต่ก็ไม่ได้ง่ายไปเสียหมด ยิ่งเพื่อนร่วมงานคนเดียวไม่สามารถทำงานด้วยกันได้นั้น ก็ยิ่งทำให้ยากลำบาก ต้องสื่อสารกันผ่านโทรศัพท์เป็นส่วนใหญ่
[ภาพที่ส่งมาแสงมันไม่ได้เลย พอเปลี่ยนเครื่องแสงมันก็ต่างกัน เราว่าเรามาคุยกันดี ๆ ดีกว่านะ] เสียงของไอติมดังผ่านลำโพงโทรศัพท์
“เราไม่อยากให้มีปัญหา” วันนั้นทั้งสามีของเธอและไอติมตีกันราวกับว่าจะให้อีกฝ่ายตายกันไปข้างให้ได้
[เฮ้อ ไอ้เลวนั่นมันแค่กลัวว่าเดือนจะมีความสุข มันไม่ได้หวงหรือหึงเธอหรอก] คนเป็นเพื่อนพูดถูก แถมยังพูดทำให้เธอเจ็บจี๊ดอีกด้วย
“ช่างเถอะ”
[แต่เราก็ไปเจอกันข้างนอกได้นะ ไม่ให้ใครรู้ เราก็ไม่ได้ทำอะไรเสียหาย ดีกว่างานจะเสียหายนะ] ไอติมพูดถูก การตัดต่อแบบนี้มันต้องมองหน้าจอด้วยกัน หากส่งภาพไปมาแสงและสีของรูปภาพอาจจะทำให้เพี้ยนได้
“งั้นเดี๋ยวเราหาวันนัดเจอก็แล้วกัน ตอนนี้ไอติมทำรูปที่เราส่งให้ก่อน โอเคไหม”
[โอเคเลย รีบนัดวันมานะ] ปานเดือนหนักใจ เธอเองก็รับรู้ว่าไอติมคิดอะไรด้วย แต่ก็ไม่อยากเสียเพื่อนไป เธอมีเพื่อนเพียงคนเดียว
“แค่นี้ก่อนนะ เรารู้สึกง่วง ๆ แล้ว” พออีกฝ่ายตอบกลับ เธอก็กดวางสาย ปานเดือนมองไปยังบานประตูหน้าบ้าน ตอนนี้เป็นช่วงหัวค่ำ สามีคงกำลังออกไปดื่มข้างนอกอีกเช่นเคย พยายามคิดว่าเขาคงไม่ทำอย่างที่เคยบอก คงแค่อยากประชดให้เจ็บช้ำ เพราะแท้จริงแล้วเขาคงไม่อยากนอกใจดุจดาวหรอกมั้ง เธอภาวนาให้เขาคิดอย่างนั้น แม้นแต่จะเปลี่ยนใจมารักเธอเขาก็ไม่เคยคิด
หญิงสาวนอนงีบสักพักบนโซฟา รอรับสามีที่น่าจะเมามาเหมือนกับทุกวัน ไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะหยุดดื่ม คงต้องรอให้เขาลืมเรื่องของน้องสาวฝาแฝดไปกระมัง
...เวลาผ่านไปไม่นานรถยนต์คันหรูก็แล่นเข้ามา เลขาฯคนสนิทเปิดประตูให้กับเขาเช่นเคย
“พรุ่งนี้นายไปไหนไหมครับ”
“ไม่ล่ะ เบื่อ” เขารู้สึกเบื่อ ๆ ชีวิต วันนี้ก็ไม่ได้อยากไปดื่มข้างนอก “ซื้อเบียร์มาให้ด้วยนะ”
“ครับ” พอเลขาฯหนุ่มตอบรับ เขาก็เดินเข้าไปในบ้าน ชะงักฝ่าเท้าเล็กน้อยเมื่อเห็นปานเดือนนอนหลับอยู่โซฟา เขากลอกตามองบนเล็กน้อย
ถ้าเธอเป็นดุจดาว...ก็คงจะดี