บทที่ 1 ความจริงของดารินคือคุณหนูตระกูลดัง
“ฮึก….คุณแม่คะอย่าทิ้งดารินไปนะคะ หนูอยู่ไม่ได้ค่ะ….
ต่อจากนี้หนูต้องใช้ชีวิตต่อยังไง มาบอกดารินทีได้ไหมคะ…ฮือ”
เสียงสะอื้นไห้ฟูมฟายเสียงดัง จนร่างแน่งน้อยสั่นสะท้านไปทั้งร่าง
เธอร้องไห้จนตัวโยนอยู่หน้าเมรุเผาศพ ในขณะที่ผู้เป็นมารดากำลังถูกส่งตัวเข้าไปด้านใน ซึ่งผู้เป็นมารดาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย
“คุณแม่คะ ตอนนี้ดารินมีเงินพอจะรักษาแม่แล้วมันไม่ทันเหรอคะ….”
เจ้าของใบหน้าสวยพูดด้วยน้ำเสียงที่เบาหวิว ดวงตาหุบต่ำลงมองที่มือของตัวเอง เต็มไปด้วยความหยาบกร้านไม่เหมือนผู้หญิงโดยทั่วไป เนื่องจากเธอผ่านการทำงานมาอย่างหนัก
เป็นระยะเวลากว่า 4 ปี ที่ดารินโกหกแม่ว่าไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย ทว่าความจริงแล้ว คนตัวเล็กออกไปหางานเพื่อหาเงินมารักษาแม่ที่ป่วยเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
แต่การทุ่มเทในครั้งนี้กลับสูญเปล่าเพราะว่าตอนนี้ผู้เป็นแม่ไม่ได้อยู่เคียงข้างเธออีกต่อไปแล้ว
“หนูดารินจ้ะ แม่ไปสบายแล้วทำใจนะลูกเอ้ย”
เสียงของยายที่อยู่บ้านข้าง ๆ พูดเสียงนิ่มนวลเพื่อส่งกำลังใจให้
ดาริน ในขณะเดียวกันก็กอดร่างเล็กเอาไว้แน่น เนื่องจากดารินจะปรี่เข้าไปหาผู้เป็นแม่อยู่ตลอด
“ยายคะ…แม่ไม่รักดารินแล้วเหรอคะ…ทำไม…ฮึก...ทำไมถึงทิ้งดารินไป”
น้ำเสียงสั่นเครือของหญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงที่น้อยเนื้อต่ำใจ เธอรักแม่สุดหัวใจ ทว่าผู้เป็นแม่กลับมองเธอเหมือนไม่ใช่ลูกมาตลอด
“มันไม่มีแม่คนไหนไม่รักลูกหรอกดารินเอ้ย เพียงแต่ว่าแม่เขาหมดเวรหมดกรรมแล้วลูก อย่าร้องไห้เลย หากเอ็งไม่มีใครเอ็งก็มาอยู่กับยายนี่”
“ฮึก…ทั้งชีวิต ดารินมีแม่แค่คนเดียว…ดารินไม่รู้ว่าจะใช้ชีวิตต่อไปยังไง” เสียงหวานตัดพ้อ
“มาอยู่กับยายนี่ไง แค่เอ็งคนเดียวกับไอ้ขุน ยายเลี้ยงไหวหรอก ถึงเอ็งจะไม่ใช่ญาติ แต่ข้าก็เห็นเอ็งมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ตั้งแต่วันที่แม่แกหอบมากจากเมืองกรุงนู่น”
ยายพูดพร้อมกับเอื้อมมือเหี่ยวย่นลูบศีรษะของดารินเบา ๆ ดวงตาสีขุ่นของหญิงชราได้แต่ทอดมองร่างเล็กด้วยความสงสารจับใจ
“ฮึก…”
หญิงสาวสะอื้นหนักขึ้น แต่แล้วเนื่องจากความเหนื่อยล้าไม่ได้พักผ่อนมานานหลายวัน สติของเธอจึงค่อย ๆ ดับไป
ฟุบ!
เสียงร่างน้อยฟุบลงบนพื้น เพราะคุณยายค่อนข้างแก่ชราแล้วรับน้ำหนักคนวัยหนุ่มสาวไม่ไหว
“ไอ้ขุน เอ็งมาช่วยนังหนูหน่อยสิวะ เป็นลมไปแล้วเนี่ย” คุณยายร้องเรียกหลานชายอายุประมาณ 25 ปี มาช่วยประคอง
ดาริน ไปพักศาลาในร่ม
“ยาย ให้ดารินมาอยู่กับเราเถอะนะ เธอไม่เหลือใครแล้ว ต่อจากนี้ผมจะดูแลเธอเอง”
“ก็เออสิวะ ไอ้ขุน เอ็งกับข้าไม่ดูแล ใครจะดูนังหนูนี่ ญาติที่ไหนก็ไม่มี เฮ้อ ข้าละสงสารจริง ๆ”
“เดี๋ยวผมพาเธอไม่พักก่อน ดูเหมือนว่าดารินจะไม่ได้นอนมาหลายคืนแล้ว”
เช้าต่อมา
บรืนน…เอี๊ยดด
เสียงรถซีดานสีบรอนซ์เงินคันหรูได้ปราดแล่นเข้ามาจอดยังหมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นหน้าบ้านของยายสา ยายที่อยู่ข้างบ้านของดาริน
“บ้านเลขที่ 36 ไม่ผิดแน่”
เสียงของชายใส่สูทชุดดำสีเข้ม เดินลงมาจากรถพลางหันไปพูดกับชายคนที่มาด้วย
“ที่นี่มีคนชื่อดารินไหม”
เสียงของชายอีกคนเอ่ยถามขุน ในขณะที่ขุนกำลังรดนำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
“มี! เธอนอนหลับอยู่ มีอะไร”
เสียงของขุนขุ่นเคืองเล็กน้อย พร้อมกับระแวดระวังตัว สงสัยคนตรงหน้านั้นคือใคร จะมาหาเรื่องดารินหรือไม่ แต่ไม่ทันที่ขุนจะได้ถามอะไรต่อ ชายคนหนึ่งในชุดสูทสีดำเข้มก็รีบพูดอธิบายออกมาเสียก่อน
“คือ พวกผมมารับตัวคุณหนูกลับไปยังตระกูลไพศาลครับ”
“คุณหนู?”
ขุนทวนคำ พร้อมทั้งขมวดคิ้วอย่างประหลาดใจ ตั้งแต่เด็กดารินอยู่ที่นี่ตลอด ไม่เห็นผู้เป็นแม่ของเธอเอ่ยปากว่าตนมีฐานะที่ร่ำรวย
“ครับ คุณหนูดาริน อยู่ไหนครับ”
ชายในชุดสูทสีดำยืนยันหนักแน่น อีกทั้งกวาดสายตามองหาหญิงสาวที่เอ่ยถึง
“รอเดี๋ยว ผมขอตัวไปถามคุณยายก่อน”
ขุนพูดอย่างระแวดระวังตัว เพราะถึงอย่างไร คนมาจากเมืองกรุงจะไว้ใจไม่ได้ หากเป็นมิจฉาชีพหลอกลวงขึ้นมาจะแย่เอา
“มีอะไร ไอ้ขุนเอ้ย ใครมาหาข้ารึ”
คุณยายพูดด้วยเสียงที่เนิบนาบ เดินหลังค่อม มืออีกข้างถือไม้เท้าพยุงร่างกายออกมาจากในบ้านพอดี
“เอ่อ ยายคนพวกนี้ บอกว่ามาหาดาริน อีกทั้งบอกว่าดารินคือคุณหนูตระกูลอะไรสักอย่างนี่แหละ”
“สวัสดีครับคุณยาย”
ชายในชุดสูทสีดำกล่าวทักทาย โค้งศีรษะลงเล็กน้อย เมื่อเห็นผู้
อาวุโสกว่า
“อืม ไหว้พระเถอะ พวกเอ็งเข้ามาในบ้านก่อนสิ ไม่รู้ว่า
ยัยหนูดารินจะได้สติหรือยัง”
ยายสาเชื้อเชิญชายสองคนเข้าไปในบ้าน เพราะเห็นว่ามีสัมมาคารวะ ดูไม่น่าจะมาหลอกลวง
“ยายไว้ใจได้เหรอคนพวกนี้”
ขุนกระซิบถาม ยังคงหวาดระแวงไม่หาย
“ข้ามองตา ข้าก็รู้แล้ว พวกนั้นไม่ได้มาหลอกข้าหรอกโว้ย” คุณยายแย้ง พร้อมกับหันหลังก้าวเดินอย่างเนิบนาบ เข้าไปในบ้าน
ที่คุณยายยอมให้คนพวกนี้เข้ามาเพราะรู้ว่าในวันแรก ผู้เป็นแม่ของดารินเดินเข้ามาในหมู่บ้าน ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ล้วนเป็นของราคาแพงคนธรรมดาคงจับต้องไม่ได้ ยิ่งหากเป็นคนชนบทโดยแท้จริงของพวกนี้ไม่มีทางเห็นมันด้วยซ้ำ
เป็นเวลาไม่ถึง 10 นาที
ดาริน ขุน และยายสา ได้ออกมานั่เก้าอี้ไม้รับแขกตั้งอยู่บริเวณกลางบ้าน โดยฝั่งตรงข้ามมีผู้มาเยือนใส่ชุดสูทสีดำเข้มจำนวนสองคนนั่งอยู่
“เอ็งจะตัดสินใจยังไงดารินเอ้ย”
หญิงชราเอ่ยปากถาม ในขณะที่เจ้าของร่างเล็กกำลังเนื้อตัวสั่นเทา เนื่องจากการที่เธอได้ได้ฟังคำพูดจากปากของชายตรงหน้า บอกว่า ผู้หญิงคนที่เสียชีวิตไปไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของเธอ ส่วนแม่ที่แท้จริงคือคุณหญิงผู้เป็นภรรยาหลวงของตระกูลไพศาล
เรื่องทุกอย่างมันเริ่มต้นตั้งแต่ที่เธอเกิด ผู้หญิงที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็น
เมียเก็บหรือเมียลับ ๆ ของหัวหน้าตระกูลไพศาล ได้แอบสลับ
ลูกแฝดของคุณหญิงไป จากนั้นเอาลูกของตัวเองไว้ให้คุณหญิงเลี้ยงจนโต ส่วนทางด้านคุณหญิงไม่ได้เอะใจแต่อย่างใด คิดเพียงแค่ว่าผู้หญิงที่เป็นเมียน้อยหนีไปให้พ้น นั่นก็เพียงพอแล้ว ไม่ได้สงสัยแม้แต่น้อยว่าทำไมลูกแฝดถึงได้หน้าตาไม่เหมือนกัน
เดิมทีได้ฟังเรื่องเล่าจากปากของชายพวกนี้ ดารินคิดว่ามันเป็นแค่เรื่องที่แต่งขึ้น ทว่าเมื่อได้เห็นจดหมายสารภาพความจริง เขียนด้วยลายมือของแม่ที่เสียไปของเธอ มันบ่งชี้ว่าทุกอย่างไม่ใช่เรื่องโกหก ที่แม่ทำไปเพราะอนาคตลูกของตัวเอง
‘แล้วฉันล่ะ?’
ดารินได้แต่คิดในใจ จนน้ำตาที่เหือดแห้งไป มันกลับคลออยู่เต็มเบ้าอีกครั้ง เธอมักจะรู้สึกได้อยู่เสมอว่าผู้เป็นแม่ไม่ค่อยรักเธอ
ในทุก ๆ ครั้งสายตาของผู้เป็นแม่มองมาทางดาริน มักจะมองเธอเหมือนเป็นคนอื่นเสมอ
“...!!”
เจ้าของใบหน้าสวยไม่รู้จะเอ่ยคำใดออกมา ได้แต่นิ่งงัน เพราะการที่เธอได้รู้ความจริง มันเจ็บปวดมากกว่าการที่ไม่รู้อะไรเลย
“ยัยหนูเอ้ย ไหน ๆ เอ็งก็มีแม่จริง ๆ รออยู่ที่บ้าน ก็กลับไปหาเขานะลูก อีกอย่างตอนนี้ชีวิตของเอ็งจะได้ดีขึ้น ไม่ต้องทนลำบากทำงานหนักอีกต่อไปแล้ว”
หญิงชราเสนอแนะ พลางเอื้อมมือเหี่ยวย่นไปบีบมือบางเบา ๆ เพื่อส่งกำลังใจให้
“...”
เรียวปากสีหวานไร้คำที่จะเอ่ย ช้อนดวงตากลมมองหน้าของคุณยายสลับกับมองใบหน้าของขุน
“หากเอ็งไม่ไปเอ็งก็อยู่กับยายได้ แต่ยายก็อยากให้เอ็งมีชีวิตที่ดี จะได้ไม่ต้องมาลำบากเหมือนพวกยาย”
“คุณหนูไปกับพวกเราเถอะนะครับ ที่บ้านมีคุณพ่อคุณแม่รอพบหน้าอยู่”
เสียงของชายชุดสูทสีเข้ม พูดโน้มน้าวใจในขณะที่ดารินกำลังลังเล
เรียวปากสีหวานเม้มเข้าหากันแน่น เพื่อชั่งใจ หากที่นั่นมีคุณพ่อคุณแม่ เธอก็อยากใช้ชีวิตแบบครอบครัวสักครั้งในชีวิต อยากรู้ว่าการมีพ่อนั้นเป็นยังไง มีแม่ที่รักเธอนั้นเป็นยังไง เพราะดารินเองมักจะโหยหามันมาโดยตลอด