หลังแยกกับน้องชายและเพื่อนสนิทแล้ว อภิรดีก็หันมาคาดคั้นถามอิงลดา ขณะอยู่ด้วยกันในรถอีโก้คาร์คันใหม่เอี่ยมอ่อง สีเขียวสดใส
“น้ำอิง บอกพี่มาตามตรงนะจ๊ะว่าทำไมถึงถามคุณลอราชเขาแบบนั้น มันมิใช่วิสัยของหนูเลยนะ”
ถ้าถูกเรียกด้วยถ้อยคำว่าหนู เสมือนเป็นคำบังคับกลายๆ ว่าอิงลดาจะต้องตอบความจริงทั้งหมด ห้ามบิดพลิ้วโดยเด็ดขาด แต่เจ้าตัวก็อดเฉไฉไม่ได้
“ถามอะไรเหรอคะพี่แจง”
“อย่ามาเฉไฉกับพี่นะน้ำอิง” น้ำเสียงดุๆ ที่เอ่ยออกมาจากปากของอภิรดี ไม่ได้ทำให้อิงลดาหวั่นกลัวแม้แต่น้อย เพราะรู้ว่าอีกฝ่ายแกล้งพูดไปอย่างนั้นแหละ แต่เป็นเพราะไม่เคยปิดบังจึงสารภาพออกไปเสียงอ่อยๆ
“เขาอยากมาปากเสียกับน้ำอิงก่อนทำไมล่ะคะ”
“ปากเสีย?” อภิรดีย้อนถามด้วยความงุนงง “พี่ไม่เห็นเรนจะพูดอะไรไม่ดีกับน้ำอิงเลยนะ มีแต่เรานั่นแหละไปแขวะเขาเรื่องนักเลงอะไรนั่น”
“เรื่องมันเป็นแบบนี้ค่ะพี่แจง” จากนั้นอิงลดาจึงเปิดปากเล่าเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้อภิรดีรับทราบ ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายฟังจบก็ถึงกับพ่นลมหายใจออกจากปาก
“พี่คิดว่าเรนไม่ได้ตั้งใจหรอกจ้ะ คงร้อนจากการถูกกาแฟหกรดมากกว่า แล้วน้ำอิงคิดว่ากาแฟที่ตัวเองถือร้อนหรือเปล่าล่ะจ๊ะ”
เมื่อถูกย้อนถาม คนช่างอคติจึงได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ก่อนอ้อมแอ้มตอบออกมา “ร้อนค่ะ”
“นั่นไงล่ะ ถ้าเป็นน้ำอิงถูกกาแฟร้อนๆ หกรดแบบนั้นจะโวยวายออกมาหรือเปล่าล่ะจ๊ะ” อภิรดีเอ่ยถามยิ้มๆ เพราะรู้ว่าปกติลูกน้องของเธอเป็นคนมีเหตุผลเสมอ ดังนั้นเมื่อถูกถามอิงลดาจึงได้แต่เงียบไม่ตอบ
“รู้ตัวไหมจ๊ะว่าสายตาของน้ำอิงเวลาที่มองเรนน่ะเหมือนโกรธแค้นกันมาตั้งแต่ชาติปางก่อน เพียงแค่เขาโวยวายออกมาเพราะร้อน น้ำอิงโกรธเขามากขนาดนั้นเลยหรือจ๊ะ”
คำถามดังกล่าวโดนใจอิงลดาอย่างจัง ทว่าเธอเองก็ไม่รู้จะอธิบายให้อีกฝ่ายทราบได้อย่างไรว่าที่เธอเกลียดขี้หน้าลอราช เป็นเพราะเธอตั้งปณิธานเอาไว้ว่า ต่อแต่นี้จะขออยู่ไกลๆ ผู้ชายหน้าตาหล่อๆ และตอนนี้เพิ่มมีหนวดเข้าไปอีก เพราะดูมันไร้เหตุผลเกินไปที่จะบอกกับอภิรดีเช่นนี้
“ถ้าในอนาคตเกิดเรนมาใช้บริการของบริษัทเราจริงๆ น้ำอิงจะทำงานลำบากนะจ๊ะ”
สิ่งที่อภิรดีพูดออกมาก็ถูกต้อง แต่อิงลดาคิดว่ารอให้ถึงวันนั้นก่อน แล้วค่อยมาพูดเรื่องนี้กันก็คงยังไม่สาย เธอรู้หรอกว่าลูกค้าคือพระเจ้า แต่เวลานี้ขอเกลียดคนหน้าหนวดคนนี้ไปก่อนแล้วกัน ทว่าปากก็จำต้องรับคำออกไป
“ค่ะพี่แจง”
อภิรดีมองลูกน้องสาวที่ดวงตาทั้งคู่ยังฉายแววไม่ยินยอมแม้จะรับปากแล้วก็ตาม เพราะอิงลดานั้นบทจะดื้อขึ้นมาก็เอาเรื่องอยู่ ทำงานมาด้วยกันเกือบสามปีทำไมจะไม่รู้นิสัยกัน
ขณะเดียวกันบุคคลในหัวข้อสนทนาของอภิรดีกับอิงลดาก็กำลังถูกซักฟอกจากผู้เป็นเพื่อนเช่นกัน หลังจากขึ้นมานั่งบนรถคันหรูที่เพื่อนขับมารับ โดยดอนกับแดนนั่งอยู่ที่เบาะด้านหลัง
“ไอ้เรน มึงมีอะไรปิดบังกูหรือเปล่าวะ” ภูวดลเปิดปากถามทันควัน
“กูปิดอะไรมึง” ลอราชเลิกคิ้วถามทำสีหน้าไม่รู้ไม่ชี้ เมื่อเห็นสายคาดคั้นที่มองมา
สีหน้าของเพื่อนสนิททำให้คนถามรู้สึกหมั่นไส้ จนแทบอยากจะตะบันหน้าหนวดๆ ของเพื่อนสักเปรี้ยงสองเปรี้ยง
“ไม่ต้องมาเล่นลิ้นเลยไอ้เรน มึงมีปัญหาอะไรกับคุณน้ำอิง” ภูวดลถามพลางหรี่ตามองสีหน้าของเพื่อน
“กูจะไปมีปัญหาอะไรกับเขาได้ล่ะ หน้าก็เพิ่งจะเจอกันแค่สองครั้ง” พอภูวดลได้ยินคำว่าสองครั้ง ก็หันขวับไปทางเพื่อนสนิท
“แสดงว่ามึงเคยเจอคุณน้ำอิงมาก่อน?”
เมื่อหลุดปากพูดไปแล้วลอราชจึงจำต้องเล่าความจริงออกมา
“ก็ผู้หญิงคนนี้แหละที่เป็นคนทำกาแฟร้อนๆ หกรดใส่แขนแถมด่ากูฉอดๆ ไงล่ะ” ลอราชพูดด้วยน้ำเสียงขัดอกขัดใจ เพราะอดหมั่นไส้ท่าทางรังเกียจเดียดฉันท์ของคนที่กำลังเอ่ยถึงไม่ได้ และคำพูดดังกล่าวทำให้เพื่อนสนิทถึงกับหัวเราะก๊ากออกมาอย่างนึกไม่ถึง
“อ้าว คุณน้ำอิงเป็นคนทำกาแฟหกรดมึงเองเหรอ”
น้ำเสียงภูวดลกลั้วหัวเราะทันทีที่ได้ยิน ทำให้ลอราชรู้สึกหมั่นไส้เพื่อนสนิทเหลือกำลัง
“มึงหัวเราะเยาะกูรึไอ้เคน”
“เฮ้ย มึงอย่ามาทำเสียงพาลๆ ใส่กูนะไอ้เรน มันน่าหัวเราะไหมล่ะ กูก็เข้าใจผิดคิดว่าผู้หญิงที่ทำกาแฟหกรดใส่มึงคงจะหน้าตาเต็มกลืนเต็มทน แถมยังกล้าด่ามึงอีก ใครจะไปคิดว่าจะเป็นผู้หญิงสวยๆ อย่างคุณน้ำอิงละวะ ปกติมึงกับเหล่าสตรีเพศสวยๆ มักไม่ค่อยจะมีความขัดแย้งกันนี่หว่า แล้วมึงจะไม่ให้กูหัวเราะได้ยังไง” ภูวดลชี้แจงให้เพื่อนฟังด้วยน้ำเสียงยังไม่คลายจากอาการหัวเราะ
“ผู้หญิงอะไร ทำกาแฟร้อนๆ หกรดใส่แถมด่ากูฉอดๆ ไม่พอ ยังจะมาทำท่าจงเกลียดจงชังใส่อีก เหมือนกูไปทำเรื่องอะไรให้เจ้าหล่อนเจ็บช้ำน้ำใจแบบนั้นแหละ” ลอราชบ่นไม่เลิกกับท่าทางของหญิงสาวที่ถูกพูดถึง
“นั่นสิ! กูเห็นสายตาของคุณน้ำอิงที่มองมึง กูเองก็แปลกใจเหมือนกัน ว่าแต่มึงเคยไปทำอะไรให้คุณน้ำอิงช้ำอกช้ำใจบ้างหรือเปล่าวะ ลองคิดทบทวนดีๆ นะไอ้เรน” ภูวดลก็เอ่ยกระเซ้าไม่เลิกเช่นกัน
“มึงจะบ้าเหรอไอ้เคน” ลอราชเอ่ยปฏิเสธเสียงสูงพลางบ่นต่อตามหลังเสียงขรม “หน้ากูก็เพิ่งจะเคยเห็นวันนี้แหละ ผู้หญิงอะไรไม่น่ารักเอาซะเลย”