ตอนนี้นอกจากผู้ชายหน้าตาหล่อๆ ที่ตั้งป้อมรังเกียจแล้ว ขอเพิ่มคนมีหนวดเข้าไปอีกด้วยแล้วกัน
วันนี้เธออุตส่าห์ขับรถป้ายแดงคันใหม่เอี่ยมอ่อง ที่เพิ่งซื้อสดๆ ร้อนๆ หลังจากกลับมาจากไหว้พระเก้าวัดกับเพื่อนสนิทเพื่อเป็นของขวัญให้ตัวเอง และขับมาจากบริษัทอย่างอารมณ์ดีเพื่อมารอรับอภิรดี หัวหน้างานของเธอที่เดินทางกลับจากประเทศญี่ปุ่น ทว่าต้องมาเจอกับเรื่องที่ทำให้เสียอารมณ์ ไม่น่านึกอยากจะดื่มกาแฟเลยจริงๆ แต่ก็แอบสมน้ำหน้าผู้ชายคนนั้น เธอเหลือบเห็นท่อนแขนขาวๆ นั่นแดงปื้นทันตาเห็น
“น้ำอิง”
เสียงเรียกที่ดังขึ้นทำให้คนกำลังคิดอะไรเพลินๆ ถึงกับสะดุ้ง ครั้นหันไปตามเสียงเรียกก็อุทานออกมาอย่างดีใจ
“พี่แจง”
หญิงสาวร่างสูงโปร่งที่ปรากฏตรงหน้าของอิงลดาอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ชุดสูทเดินทางแบบทันสมัยที่สวมอยู่ช่วยขับเน้นบุคลิกให้ดูเป็นผู้หญิงคล่องแคล่ว ปราดเปรียว บวกกับทรงผมซอยสั้นรับกับศีรษะทุยสวย ทำไฮไลต์เฉดสีไว้อย่างเก๋ไก๋ แม้หน้าตาจะค่อนข้างอิดโรยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนเครื่องบินก็ตาม
“น้ำอิงรอพี่นานไหม พี่กลัวแทบแย่ตอนอยู่บนเครื่อง คิดถึงลูกขึ้นมาอย่างฉับพลัน”
หญิงสาวผู้อ่อนวัยกว่ายิ้มสดใส ลืมเรื่องความขุ่นมัวที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น “ไม่นานหรอกค่ะ แล้วตอนนี้พี่แจงหายตกใจหรือยังคะ”
สีหน้าของอภิรดีค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อได้ระบายความรู้สึกออกมาบ้าง “ดีขึ้นแล้วจ้ะ”
“ถ้าเป็นน้ำอิงก็คงตกใจเหมือนกันนะคะ”
น้ำเสียงสดใสรวมทั้งสีหน้าของลูกน้องสาว อภิรดีมองแล้วต้องลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก นั่นแสดงว่าเรื่องส่วนตัวที่กำลังประสบอยู่คลี่คลายลง เธอรับรู้เรื่องราวของอีกฝ่ายโดยตลอดแม้จะอยู่ต่างประเทศก็ตาม
“น้ำอิงดีขึ้นแล้วเหรอจ๊ะ เสียงสดใสเชียว”
คนถูกถามคลี่ยิ้ม “หายแล้วค่ะพี่แจง เรารีบไปที่รถกันเถอะค่ะ หรือถ้าพี่แจงหิว จะแวะทานอะไรก่อนก็ได้นะคะ”
“แวะก็ดีจ้ะ เพราะตอนนี้พี่รู้สึกหิวขึ้นมาเหมือนกัน” อภิรดีเอ่ยพร้อมกับตบพุงตัวเองเบาๆ
อิงลดาเดินนำหน้าหัวหน้างานโดยตรง เข้าไปในร้านแบล็กแคนยอนที่อยู่ใกล้ๆ หลังจากสั่งอาหารเรียบร้อย อภิรดีก็หันมาชวนหญิงสาวที่เธอให้ความรักเอ็นดูมากกว่าคนอื่นและคุยเรื่องที่ยังค้างคาใจต่อทันที
“ที่บอกพี่เมื่อกี้ว่าหายแล้วน่ะพูดจริงใช่ไหมน้ำอิง” น้ำเสียงห่วงใยของคนถาม สร้างความตื้นตันให้เกิดแก่อิงลดาไม่น้อย
“หายแล้วจริงๆ ค่ะพี่แจง” อิงลดายืนยันน้ำเสียงจริงจัง เวลานี้อาการจะเป็นจะตายที่เคยเกิดขึ้นในวันนั้น แทบจะไม่หลงเหลือให้เห็นเลยในวันนี้
“พี่ดีใจด้วยนะน้ำอิง” อภิรดียังไม่ทันพูดจบประโยค ก็ต้องหยุดค้างกะทันหัน พร้อมกับยิ้มออกมาด้วยความดีใจ เมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนเดินเข้ามาในร้าน
“อ้าวเคน ไม่นึกว่าจะมาเจอกันที่นี่ มารับใครหรือจ๊ะ”
คำทักทายดังกล่าวทำให้อิงลดาซึ่งนั่งหันหลังให้ประตูต้องเหลียวไปมอง แล้วก็พบเข้ากับสายตาคมดุของคนบางคนที่ถูกเธอด่าไปก่อนหน้านี้ จ้องมองมานิ่งๆ ทำให้ต้องรีบหันหลังกลับแทบไม่ทัน อุตส่าห์ลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิทแล้วเชียว ยังจะตามมาหลอกหลอนกันอีก หญิงสาวคิดในใจอย่างขุ่นเคือง
“ผมมารับเพื่อนครับพี่แจง แล้วไหนพี่แจงบอกว่าจะไปหลายวัน ทำไมรีบกลับนักล่ะ” น้ำเสียงทักทายแสดงความสนิทสนม บ่งบอกถึงความสัมพันธ์ที่ไม่ธรรมดาของทั้งคู่
“คิดถึงหลานชายของเคนแหละจ้ะ” อภิรดีบอกอีกฝ่ายยิ้มๆ ก่อนจะหันไปรับไหว้ชายหนุ่มอีกสามคนที่ยืนอยู่ พร้อมเอ่ยเชิญให้นั่งร่วมโต๊ะ แต่ได้รับการปฏิเสธจากหนุ่มคู่แฝด ที่ขอตัวออกไปยืนเตร็ดเตร่รออยู่ด้านนอก
“ผมมารับไอ้เรนไง พี่แจงจำเพื่อนสนิทผมได้ไหมครับ”
อภิรดีจ้องชายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างน้องชายอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยิ้มอย่างจำได้ “ไว้หนวดเคราจนพี่เกือบจำไม่ได้เหมือนกันจ้ะ”
เจ้าของหน้าหนวดๆ คลี่ยิ้มกว้างก่อนยกมือไหว้ “สวัสดีครับ แต่พี่แจงยังสวยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” ลอราชจำได้ว่าสาวสวยตรงหน้า เป็นญาติผู้พี่ของเพื่อนสนิท ที่เขาเคยพบหลายครั้งสมัยอยู่เมืองไทย
“ปากหวานเชียว ได้ข่าวจากเคนว่าเรนเป็นช่างภาพชื่อดัง แต่อยู่ต่างประเทศมากกว่าเมืองไทยหรือจ๊ะ”
“กำลังจะกลับมาอยู่เมืองไทยอย่างถาวรแล้วครับ” ลอราชตอบพี่สาวของเพื่อน แต่สายตาคู่คมเหลือบเห็นคนปากจัดนั่งเบ้ปากให้พอดี
“ตายแล้ว! พี่ก็มัวแต่คุยเสียเพลินเลยลืมแนะนำน้องที่ทำงานให้รู้จัก” อภิรดีอุทานอย่างนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันไปแนะนำอิงลดาให้รู้จักกับสองหนุ่ม
“น้ำอิงจ๊ะ คนนี้น้องชายพี่เองชื่อภูวดลหรือเคน ส่วนคนข้างๆ ชื่อเรน ส่วนชื่อจริงๆ ว่าอะไรนะจ๊ะ” อภิรดีหันไปถามลอราช
“ลอราชครับผม”
คำตอบของชายหน้าหนวดเรียกรอยยิ้มผุดขึ้นที่มุมปากของอิงลดานิดหนึ่ง พลางคิดในใจ คนอะไรชื่ออย่างกับพระเอกลิเก โบร่ำโบราณขัดกับหน้าตาและบุคลิกชะมัด ก่อนจะกดรอยยิ้มนั้นให้เลือนหายไป พร้อมกับคำพูดเรียบๆ ที่เอ่ยทักทายออกมา
“สวัสดีค่ะคุณภูวดล คุณลอราช”
“พี่ชอบชื่อของเรนจัง ดูเป็นไทยๆ ดี ส่วนน้ำอิงหรืออิงลดาเป็นลูกน้องคนเก่งของพี่เองจ้ะ” อภิรดีเอ่ยชมพร้อมกับแนะนำอิงลดาไปด้วย
“สวัสดีครับคุณอิงลดา”