ความทุกข์และทรมานใจของฮูหยินหวังหนานโหวในสามปีนั้นมีมากมายเหลือเกิน ในสายตาบ่าวรับใช้ทั้งหมดปี้เหยาช่างมีชีวิตรักที่อาภัพนัก เดิมทีนางเป็นถึงคุณหนูสามจวนแม่ทัพใหญ่แต่กลับมาหลงรักโหวไร้ใจอย่างหวังหนาน
“ฮูหยินลุกขึ้นนั่งไหวหรือไม่เพคะ” อวี่ซินถามเสียงสั่นรู้สึกสงสารที่ฮูหยินล้มป่วยเช่นนี้
“พอไหว ท่านโหวกลับจวนหรือยัง” ปี้เหยาอดถามไถ่ไม่ได้ นานแล้วที่นางไม่ได้เห็นหน้าผู้เป็นสามี
อวี่ซินทำได้เพียงส่ายหน้าอย่างหมดหวัง ตั้งแต่แต่งคุณหนูจวนเสนาบดีเข้ามา ท่านโหวก็ไม่มาที่เรือนในอีกเลย ทอดทิ้งให้ฮูหยินใหญ่อ้างว้างเปลี่ยวเหงาใจอยู่เสมอ ครั้นเมื่อใกล้ป่วยตายก็ยังไม่เคยโผล่หน้ามาดูอาการสักครั้งเดียว
“ช่างเถิด ท่านพี่คงจะงานยุ่ง” แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าหวังหนานโหวไม่เคยงานยุ่งเลยก็ตาม
“ค่อย ๆ ดื่มเจ้าค่ะ” อวี่ซินต้มยาที่ท่านหมอจัดให้ฮูหยินตามเทียบยาแต่ดูเหมือนว่ามันจะมีอะไรผิดพลาด
ร่างบอบบางของปี้เหยาหนาวสั่นสะท้านราวกับถูกน้ำแข็งในหน้าหนาวห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ แต่ไม่นานก็รู้สึกร้อนจนแทบทนไม่ได้
“นะ หนาว...ข้า ร้อน ร้อนที่อก” ริมฝีปากที่ซีดเซียวสั่นระริก มือที่ถือชามยาอ่อนแรงกะทันหัน
“ฮะ ฮูหยินเจ้าคะ” อวี่ซินที่ไม่รู้เรื่องร้องเสียงหลง เมื่อเห็นว่าฮูหยินล้มตัวลงนอนบนเตียงแล้วดิ้นทุรนทุรายจนขาดใจตาย
ปี้เหยาเจ็บเหมือนอวัยวะถูกราดด้วยน้ำเย็นสลับน้ำร้อน ก่อนสิ้นใจนางน้ำตาไหลคล้ายมองเห็นสามีของตนเองยืนอยู่ที่ปลายเตียงนอน “ทะ ท่านโหว ท่านใจร้ายยิ่งนัก” หรือว่าเขาเป็นคนสั่งให้วางยาพิษ ความเข้าใจผิดนี้สุมอยู่ในใจของหญิงสาวผู้อาภัพ
“ชาตินี้พอเสียที ข้าไม่อยากรักท่านอีกต่อไปแล้ว” นางตัดสินใจผิดพลาดเองที่อยากแต่งงานกับเขามาก คิดว่าแย่งคนรักของฉินหนิงอี้และได้ครอบครองจะกลายเป็นผู้ชนะ แต่ทว่าก็ทำได้เพียงครอบครองร่างกายไม่เคยได้หัวใจของเขาเลย
“ฮูหยิน!” มีเพียงเสียงกรีดร้องดังระงมของอวี่ซิน เปลือกตาที่หนักอึ้งของปี้เหยาค่อย ๆ ปิดลง
“พอกันที...”
คล้ายว่าหลับตาไปได้เพียงไม่นานปี้เหยาก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดที่กึ่งกลางกาย “อ๊ะ...” บางสิ่งบางอย่างกำลังล่วงล้ำเข้ามา
“อาา” แล้วเสียงครางที่คุ้นหูก็ดังขึ้น ปี้เหยารวบรวมเรี่ยวแรงที่มีเปิดเปลือกตาขึ้นมาในทันที
“ทะ ท่านโหว!” ยิ่งกว่าตกใจกลัว แม้ว่าตอนนี้จะมีแต่ความมืดแต่นางก็จดจำกลิ่นกายของเขาได้
“หญิงแพศยา เจ้ากล้าวางยาข้า” ทว่าหวังหนานโหวกลับเอ่ยกระซิบเสียงลอดไรฟันพร้อมกับฝ่ามือหนาที่กุมข้อมือของนางแน่น
“วะ วางยาอะไร ข้าไม่ได้ทำ” แน่นอนว่านางไม่เคยทำจริง ๆ เรื่องพรรค์นั้น หรือว่าจะเป็นฝีมือของฉินหนิงอี้
“หึ...” แม้เขาจะก่นด่านางสารพัด แต่กลับครอบครองกันจนเหงื่อไหลซึมไปทั่วร่างกาย ปี้เหยารู้สึกเหมือนกับว่าร่างกายที่ไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง อยู่ ๆ ก็มีกำลังกายขึ้นมา แน่นอนว่าสิ่งแรกที่นางทำนั้นก็คือผลักหวังหนานโหวออกให้พ้นจากตัว
“พะ พอแล้ว” ปี้เหยาไม่อยากให้ตนเองกลายเป็นคนโง่เขลาอีก ความสับสนในหัวปะปนเข้ามาทำให้งุนงงไม่น้อย หวังหนานโหววางยาพิษนางจนถึงแก่ความตายไปแล้วมิใช่หรือ เหตุใดนางถึงยังไม่ตายอีก ที่สำคัญร่างกายยังคงดูแข็งแรงดีอีกด้วย
“คิดจะไม่รับผิดชอบหรือคุณหนูสาม” ทว่าหวังหนานโหวไม่ยินยอมให้ปี้เหยาลงจากเตียง เพราะฤทธิ์ยากำหนัดยังคงไม่หมดไป เมื่อมันยังไม่หมด คนวางยาอย่างนางก็ต้องรับผิดชอบ
“รับผิดชอบอะไร! ข้าไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น” ปี้เหยาดื้อรั้น นางจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ ไม่ยอมอยู่ให้เขาทรมานกันอีกต่อไปแล้ว
“นี่เจ้า!” หวังหนานโหวถูกปี้เหยาผลักจนหน้าหงาย
ร่างบอบบางที่เปลือยเปล่ารีบลงจากเตียงนอนทันที “เสื้อผ้าข้าอยู่ไหนนะ” ไม่คาดคิดว่าเขาจะโยนเสื้อผ้านางไปไกลเกือบถึงหน้าประตู
บุรุษองอาจทำตาโตมองสตรีที่ลืมอายกำลังสวมเสื้อผ้าทำเหมือนว่าตัวเองถูกข่มเหง ไม่นานเทียนก็ถูกจุดให้สว่างขึ้นมา ปี้เหยากวาดสายตามองไปทั่วห้องแล้วก็ต้องแปลกใจ
“วันนี้วันอะไรเจ้าคะ” เพราะรู้ว่าวันนี้ไม่ใช่วันที่นางถูกวางยาพิษอย่างแน่นอน การจัดห้องของหวังหนานโหวนั้นไม่ใช่ในรูปแบบนี้ ดังนั้นแสดงว่าการย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตสามารถเกิดขึ้นได้จริง เหมือนอย่างที่นางกับเจออยู่ในตอนนี้
“อย่ามาทำไขสือคุณหนูสาม อย่าคิดว่าข้าอยากแตะต้องตัวเจ้านัก” น้ำเสียงของหวังหนานโหวเต็มไปด้วยความเกลียดชัง
คำพูดแบบนี้ของเขานั้นทำให้นางที่ได้ฟังปวดใจนัก ปี้เหยารีบปาดน้ำตาที่หลั่งรินอาบแก้มใสออก “ท่านโหวไม่ต้องเป็นกังวล แม้ท่านกับข้าจะมีสัญญาหมั้นหมายกันอยู่ ต่อจากนี้ข้ากับท่านจะเป็นคนแปลกหน้าต่อกัน เรื่องที่เกิดขึ้นคืนนี้ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
สตรีที่แต่งตัวเสร็จแล้วก็รีบหมุนเท้าเดินออกจากห้องไป บ่าวรับใช้ที่ยืนเฝ้าหน้าห้องรีบหลบกันพัลวันเมื่อคุณหนูสามเดินออกมาจากห้องนอนท่านโหว
“นี่อาจเป็นอดีตเมื่อสามปีก่อนที่ข้าหลงลืมไปแล้ว” เพราะว่าเรื่องพวกนี้เกิดขึ้นนานแล้ว และนางก็มัวแต่ดีใจที่จะได้แต่งงานกับท่านโหวเลยมองข้ามเรื่องพวกนี้ไป