“ แสงจันทร์นวลละมุนละมัยเพียงนี้ เหตุใดน้องสาวพี่จึงมีใจร้อนละอุนักเล่า ! “
คุณชายน้อยยิ้มละมุนขณะเดินเข้ามาหาน้องสาว ที่ยืนกระฟัดกระเฟียดอยู่กลางเนินหญ้า ข้างต้นอินจันสูงใหญ่หน้าเรือน
“ พี่ซีหยอกเย้าน้องเกินเลยไปแล้ว เหตุใดเอาคนโฉดชั่วเช่นนั้นเข้ามาถึงวังใน รู้หรือไม่ว่าถ้าโดนจับได้ เราสองคนมีหวังถูกโบยหลังขาดเป็นแน่ “
แม่หญิงจันจีนกล่าวเง้างอน ก้มตามองต่ำ คล้ายขุ่นเคืองอยู่มิคลาย
“ เหตุใดเจ้าโกรธเคืองพ่อพู่ระหงคนนั้นนักเล่า มันรูปงามอยู่มิใช่น้อยเลยหนา “
“ งามแต่รูป หากใจกลับกลอกยิ่งนัก “
คำตอบของน้องสาวทำให้นางหัวร่อคิกๆคักๆ คล้ายจะเข้าใจความนัยได้แจ่มแจ้งแล้ว
“ คิก คิก คิก ที่แท้เจ้าเกิดลมเพชรหึงขึ้นนี่เอง มันคงไปเกี้ยวหญิงอื่นให้เจ้าเห็นใช่หรือไม่ ? “
การกล่าวอย่างล่วงรู้ใจของพี่สาว ได้เข้าไปกระตุ้นให้เลือดลมนางฉีดซ่าน จนใบหน้าแดงกร่ำ ไม่รู้ว่าขวยเขินหรือเร่าร้อนด้วยโทสะอย่างไม่อาจจำแนกแยกชัด
“ ชิ !...ผู้ใดหึงหวงมันกัน ชายปากพร้อยพูดจาเพ้อเจ้อเช่นนั้น จะหาประโยชน์ใดได้ ! “
แม่หญิงจันจีนกล่าวแง่งอน พลางขยี้เท้ามองลงต่ำ ไม่แม้จะเงยหน้ามองพี่สาวที่อยู่ด้านหลัง
“ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความเคืองขุ่นเป็นรูปแบบหนึ่งของความรัก หากไม่ภิรมย์ภักด์ปักใจ ไหนเลยจะเร่าร้อนให้หมองใจเพียงนี้ คิก คิก คิก “
แม่หญิงในอาภรณ์ชายเอ่ยไปกับเสียงหัวร่อแผ่วหวาน กระตุ้นให้แม่หญิงจันจีนหน้าแดงกร่ำกว่าเก่า จนต้องเบี่ยงหน้าเอียงอายหนีพี่สาว
ทว่านางไม่อาจหลบเลี่ยงได้เนินนานไป เพราะพี่สาวนางเดินขึ้นมาขวางหน้า พลางดึงหมวกกำมะหยี่ที่สวมออกมาสวมใส่ให้น้องสาว
“ เจ้าขวยเขินเช่นนี้ จะแก้ปริศนาหาสมบัติเจอได้อย่างไร ? “
ถ้อยคำของพี่สาวลอยเลื่อนไปกับการดึงผมเปียของนางออกมาแกะปลาย ปล่อยให้ผมสยายคลอเคลียแผ่นหลัง กลับกลายเป็นหญิงสาวใบหน้าอ่อนหวานละมุนละมัย ประพิมประพรายคล้ายแม่หญิงจันจีนราวกับเป็นคนๆเดียวกัน
“ พี่ซี !..นี่พี่จะสลับตัวกับน้องจริงๆฤา ? “
แม่หญิงจันจีนถามด้วยความฉงน ไม่คิดว่าสิ่งที่นางกล่าวหยอกเอินกลับเป็นจริงเป็นจังขึ้นมาได้
“ เจ้าหลงลืมไปแล้วฤา ว่าเหตุใดพวกเราต้องมายังเมืองบางกอก เหตุใดต้องส่งเจ้าเข้ามาเป็นนางกำนัลในวังเจ้าฟ้า เหตุใดต้องให้เจ้าทำความรู้จักมักคุ้นกับนักเลงกลอนผู้นั้น ? “
พี่สาวเอ่ยถามอ่อนโยน ขณะเดินอ้อมมาด้านหลังน้องสาว แล้วบรรจงรวบผมยาวสลวยของนางมาถักเป็นเปียอย่างชำนิชำนาญ
“ น้องจดจำได้ขึ้นใจอยู่แล้วพี่ซี เพราะขุมทรัพย์พระสุรีย์ จึงทำให้พวกเราหลายร้อยชีวิตต้องรอนแรมมา… กว่าห้าปีที่น้องอยู่ในวังไม่เคยมีสักวันที่จะหลงลืมภาระสำคัญนี้ ! “
“ พี่เชื่อว่าเจ้าไม่หลงลืมจริงๆ มิเช่นนั้นเจ้าคงไม่สนิทชิดเชื้อกับพ่อภู่จนลึกซึ้งถึงเพียงนี้ คิก คิก คิก “
“ พี่ซี !...ล้อน้องอีกแล้ว ! “
แม่หญิงจันจีนสะบัดสะบิ่งไหล่ ขยี้เท้ากล่าวแง่งอนหนักกว่าเก่า
“ หาได้ล้อเล่นอันใดเลยน้องสาว ที่เจ้าสนิทชิดเชื้อกับพ่อภู่นั้นถูกต้องแล้ว จะอย่างไรเราต้องพึ่งพามันแก้ไขปริศนาให้ หากไม่พบพานพ่อภู่เกรงว่าการข้ามน้ำข้ามทะเลมา คงเสียเวลาเปล่าแล้วกระมั้ง “
“ เชอะ !...นักเลงกลอนเมาหยำเปทั้งวี่วันเช่นนั้น จะแก้ไขปริศนาอันใดได้ ? “
แม่หญิงจันจีนกล่าวอ่อมแอ่ม ขณะเหลียวมองพี่สาวทักเปียยาวให้เรียบร้อยงดงาม ไม่ต่างจากชาวจีนโพ้นทะเลอันหล่อเหลายิ่ง
“ เจ้าเห็นมันเป็เพียงชายสำมะเลเทเมาเท่านั้นเองฤา ไม่เคยเห็นความสามารถมันสักนิดเลยหรือไร …เจ้ารู้หรือไม่ว่าพ่อภู่เป็นผู้สืบเชื้อสายพราหม์จากเมืองพริบพรี อันถ่ายทอดสรรพวิชาโดยตรงจากอินเดียใต้มาหลายชั่วรุ่น แลปู่ของมันคือพระโหราธิบดีในแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี เป็นผู้ทรงปัญญาที่วางรหัสกลซุกซ่อนแผนที่ขุมทรัพย์ หากมิใช่มันจะมีผู้ใดแก้รหัสของปู่มันได้อีกเล่า ! “
“ น้องว่าพี่ซีให้ราคามันสูงไปกระมั้ง ตั้งแต่รู้จักมันมา ไม่เห็นมีสักคราที่มันจะเอ่ยถึงขุมทรัพย์พระสุรีย์ “
ถ้อยคำใส่ซื่อของน้องสาวกระตุ้นให้นางเบิกยิ้มสว่างไสว พลางเชยคางน้องสาวขึ้นมองเต็มตา
“ เจ้างดงามเพียงนี้ ไหนเลยมันจะเอนเอียงกล่าววาจาอื่นได้ คงมีแต่ร่ายเพลงยาวเกี้ยวเจ้ากระมั้ง “
“ พี่ซีอ่ะ !...”
ฮิ ฮิ ฮิ …พี่สาวหัวร่อระรื่นเริงร่าเมิ่อเห็นท่าทีขวยเขินของแม่หญิง พลางเลื่อนมือลงมาแตะสไบน้องสาวละมุนมือ
“ สมัยเด็กๆเจ้าชอบเล่นสับเปลี่ยนตัวกับพี่มิใช่ฤา ครานี้เจ้าคงได้สนุกสมใจแล้ว ให้พี่กลายเป็นแม่หญิงจันจีน สอบถามหาความจริงกับพ่อภู่เพียงครู่ ก็จะรู้ว่ามันมีสรรพรสหรือไม่ “
รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เจ้ากลของพี่สาวละเหยไปกับถ้อยคำรวยรื่น เปี่ยมล้นความซุกซนเช่นเด็กน้อย
จนแม่หญิงจันจีนรู้สึกสนุกสนานตามมิได้ นางปรบมือหัวร่อพึงพอใจ ก่อนจะจูงมือพี่สาวพาเดินเลี่ยง ไปยังซุ่มพุ่มไม้ใหญ่ เพื่อสับเปลี่ยนอาภรณ์
“ ประเสริฐยิ่งพี่ซี ครานี้น้องได้เป็นคุณหนูใหญ่ตระกูลอั้งที่มีแต่คนก้มหัวให้แล้ว ต้องเรียกน้องว่า ‘ ผิงซี ‘ หนา อย่าได้เรียกน้องอีกเจียว ..คิก คิก คิก ”...
เวลาภายในหีบเหล็กผ่านไปอย่างมืดมนอึดอัดยิ่ง
ทั้งที่พ่อภู่ถูกมัดมือ มัดเท้า มัดปาก ซ้ำยังถูกพาเคลื่อนที่ออกจากห้องแม่หญิงจันจีน แต่มันหาได้นึกหวาดกลัวขึ้นมาแม้แต่น้อย
เพราะเพียงได้ประสบพบพักตร์แม่หญิงในดวงใจ โลกรอบกายคล้ายดั่งนุ่มละมุนราวทอดน่องท่องในหมู่เมฆลอย
ต่อให้ต้องถูกจับมัดปากยัดลงหีบอีกครา พ่อภู่ยังรู้สึกเบิกบานใจอยู่ในที เข้าใจว่าเป็นการหยอกเย้าของแม่หญิงในดวงใจ ย่อมมีความรักแฝงอยู่ในเงาความรุนแรงทุกประการ
ตราบกระทั้งหีบเหล็กถูกวางลงกับพื้น แล้วพลิกเทให้พ่อภู่ทั้งร่างออกมาเกลือกกลิ้งกับพื้น
“ โอ้ย !..โอ้ย !...น้องจันจีนของพี่ ! “
พ่อภู่เพ้อเสียงแผ่ว เมื่อเงยหน้ามาประสบพบแม่หญิงจันจีนยืนกอดอก จัองมองมันด้วยดวงตาเฉิดฉายเฉียบคม
“ เจ้ายังเมามายอยู่หรือไม่ พ่อนักเลงกลอนปากกล้า ? “
ผิงซีในคราบแม่หญิงชาววังเอ่ยถามด้วยแววตาใส่กระจ่าง แฝงแววฉลาดเฉลียวอยู่ในที
พ่อภู่เบิกยิ้มกว้าง เมื่อผ้ามัดปากถูกปลดออก วาจามันพลันแพล่งพรายออกด้วยควาทโปร่งโล่งใจยิ่ง
“ ถึงเมาเหล้าเช้าสายก็หายไป
แต่เมาใจนี้ประจำทุกค่ำคืน ! “
คำกล่าวคลุ่มๆคลั่งๆของชายเมามาย กระตุ้นให้ผิงซีแย้มยิ้มร่า รู้สึกชายเบื้องหน้าน่าสนใจมิใช่น้อย
“ หากเจ้าเมาใจเฉกเช่นคนวิปลาส เกรงว่าข้าคงเสียเวลาเปล่าที่พาเจ้ามาถึงที่นี่แล้ว คงมีแต่ต้องพาเจ้ากลับไปส่งยังวังหลังกระมั้ง ? “
“ อุ๊บ๊ะ !.. น้องหญิงกล่าวเป็นร้องละครไปใย ที่ฉุดกระชากลากพี่มาไกลถึงวังล่าง ย่อมปราถนาช่วงใช้อันใดพี่มิใช่ฤา หากพาพี่กลับไปง่ายดาย มิสู่ให้พี่ล่องไปในโคมประทีปให้หมดทุกข์หมดโศกเลยมิดีกว่าฤา “
ถ้อยคำมันชักพาให้มุมปากหลายคนยกยิ้ม แม้แต่แม่หญิงจันจีนในคราบบุรุษยังไม่วายอมยิ้มบางๆ ทั้งที่ยังขุ่นเคืองมันมิคลาย
ดูเหมือนการปลอมแปลงของแม่หญิงจะแนบเนียนมิใช่น้อย เพราะพ่อภู่แทบจะไม่เหลือบแลใส่ใจ พ่อภู่ยังคงเอาแต่จ้องมองสาวชาววังปลอมไม่วางตา
โดยพ่อภู่แทบจะไม่ใส่ใจใยดีในสถานะอันยากลำบาก ที่ตกอยู่ในวงล้อมของชายฉกรรจ์นับสิบชีวิต ที่อยู่กลางลานโล่งอันอุดมด้วยต้นอินจันโชยกลิ่นหอมมาตามลม
“ หรือจริงๆแล้วน้องแค่อยากพบพานพี่ เพียงน้องกระดิกนิ้วเรียกเบาๆ พี่จะแหวกนภามาไวกว่าพระพายโชยชายเสียด้วยซ้ำ “
พ่อภู่กระดุกกระดิกเคลื่อนตัวนั่งคุกเข่า เงยหน้ากล่าวรื่นไหลสนุกปาก
“ ฮิ ฮิ ฮิ …หากท่านพี่มีสติปัญญาเท่าคมวาจา ย่อมนับเป็นบุญวาสนาของน้องหญิงแล้วที่ได้ยินยล “
“ อ่ะฮ่า !...เจ้ากล่าวเช่นนี้ แสดงว่ามีการละเล่นใดให้พี่แก้กลใช้หรือไม่ ? “
“ คิก คิก .. ท่านยังนับเป็นผีสุราที่พอจะฉลาดเฉลียวอยู่บ้าง ? “
ผิงซีเอ่ยปากพร้อมปรบมือให้สัญญาณสามครา จนมีชายกำยำห้า-หกคนเร่งใช้มีดสั้นต่างเสียมเร่งขุดดิน ตรงบริเวณไม่ห่างจากที่พ่อภู่นั่งอยู่นัก
โดยมีแม่หญิงจันจีนค่อยชี้บอกตำแหน่งเป็นมั่นเหมาะ เกรงว่าหลายปีที่อยู่ในวังในก็เพื่อหาตำแหน่งที่ซ่อนนี้เป็นแน่
ส่วนผิงซีที่แม้จะห่มคลุมสไบอย่างชาววัง แต่ในมือนางยังถือพัดจีบสีเงินยวงสะบัดพัดไปยังสองคนสนิท จนทั้งคู่รีบเร่งแก้มัดมือเท้าให้พ่อภู่ ทั้งยังยื่นน้ำเต้าบรรจุสุราให้มันดื่ม อย่างเอาอกเอาใจ
พ่อภู่คล้ายจะไม่ถือสาใดกับการถูกจับมัดพันธนาการ มันยังพยักหน้าขอบน้ำใจ ก่อนจะรับน้ำเต้าสุรามากระดกดื่มรื่นอารมณ์
“ ฮ่า !...สุธาสวรรค์ชั้นฟ้าชลาลัย ไม่ซ่านใจเท่าสุราจากมือโจร ฮ่า ฮ่า ฮ่า …”
“ ชิ !..คนสำทะเลเทเมา ! “
แม่หญิงจันจีนยังไม่วายสะบัดหน้าประชดประชัน
แตกต่างจากผิงซีที่ระบายยิ้มขบขัน มองดอกพู่ระหงที่ทัดหูชายเมามาย ด้วยใจเบิกบานยิ่ง
“ ดอกไม้แดงเช่นชบาหรือดอกพู่ระหง มีไว้เหน็บหูนักโทษประหารมิใช่ฤา ?...เหตุใดเจ้าจึงนำมันเหน็บหูมาหาน้องเล่า ? “
“ ฮ่า ฮ่า ฮ่า …ตกหลุมรักมิเท่านักโทษประหารดอกฤา จะอย่างไรย่อมไม่มีทางพ้นโทษเป็นอิสระ จนกว่าชีวีจะหาไม่กระมั้ง ? “
“ คิก คิก …เช่นนั้นเจ้าเอาชีวิตมาแลกกับความรักดอกฤา …เพียงขีวิตผีสุราจะมีค่าอันใดกัน น้องซื้อบ่าวทาสสักสิบยี่สิบคน ดูจะมีค่ามากกว่ากระมั้ง “
ผิงซีกล่าวหยอกเย้า หากยังปรายตามองไปยังเหล่าบริวาณ ที่บัดนี้ขุดลงไปถึงหีบไม้กว้างยาวด้านละสองศอก พวกมันกำลังช่วยกันฉุดดึงหีบไม้หนาหนักขึ้นมาวางไว้บนเนินดิน
“ ทาสใดไหนเล่าจะร่ายโคลงชมโฉมเจ้า
บ่าวขรึมเขลาจะเล่าลักษณ์งามฤาไฉน
พี่จะหุ้มถนอมกลอนป้อนโคลงพักตร์วิไล
ลึกสุดใจมีเพียงรักที่ภักดี ”...
พ่อภู่ร่ายกลอนหน้าระรื่น พลางกระดกสุราขึ้นดื่ม สายตาก็จับจ้องมองร่างละออองค์ ที่กำลังเดินแช่มช้าไปยังหีบไมัใบใหญ่ที่ถูกขุดมาวาง
พร้อมเพรียงกับแม่หญิงจันจีนที่ก้าวเข้ามาถึงหีบไม้ แล้วล้วงหยิบกุญแจลงมือไขเปิดสลัก
และในทันทีที่บ่าวร่างบึกบึนได้ยกสิ่งที่อยู่ภายในออกมาสู่สายตา ทุกผู้คนพลันเบิกตากว้าง มองจ้องมันท่ามกลางประกายพร่างพราวใต้แสงจันทร์กระจ่าง
แม้แต่พ่อภู่ยังสะดุ้งตัวยืน เขม้นมองไม่วางตา
“ อุ๊บ๊ะ !...นี่มันสิ่งประดิษฐ์อันใดกัน “
พ่อภู่ขมวดคิ้วงุนงง ขณะเยื่องย่างเข้าใกล้สิ่งประดิษฐ์ปริศนาสีเหลืองอล่ามตา
สิ่งประดิษฐ์นั้นถูกเรียกว่า “ กระถางแปดมังกร ” ด้วยรูปลักษณ์ของมันที่ถูกสร้างจากทองเหลืองทรงกลม โดยมีหัวมังกรทองเหลืองยื่นมาแปดทิศทาง ที่มีลักษณะเป็นทั้งหูจับและสิ่งประดับตบแต่ง คล้ายเครื่อง ’ โหวเฟิง ‘ อันเป็นเครื่องวัดแผ่นดินไหวของจีนโบราณ
จะต่างเพียงด้านบนกระถางกลับเป็นหน้าตัดเรียบๆ ที่มีตารางเหลี่ยมเล็กๆแนวตั้งกับแนวนอนดัานละแปดช่อง รวมเป็นหกสิบสี่ช่องเท่าตารางหมากรุก โดยแต่ละช่องมีอักขระบาลีสลักจารึกไว้ทุกช่อง
“ มันชื่อกระถางแปดมังกร เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่จะทดสอบว่าชีวิตเจ้ามีคุณค่าอันใดหรือไม่ ? “
ผิงซีกล่าวท้าทาย พลางคลี่พัดจีบปิดครึ่งใบหน้า เผยเพียงดวงตาเย้ยหยันอยู่ในที…
“ อ้อ !...ที่แท้จับพี่มาครึ่งค่อนคืน ก็เพื่อเจ้าไข่มังกรนี่นะฤา ? ”...